ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 537 ตกลง
ตอนที่ 537 ตกลง
เว่ยหานไม่แน่ใจในท่าทีของแม่ทัพใหญ่ลั่วไปชั่วขณะ
หากมีคนมากมายมาสู่ขอจริงๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วอยากจะตั้งใจเลือกให้ดีสักครานั้น เขาก็สามารถเข้าใจได้ แต่ตอนนี้คล้ายว่าจะไม่มีใครมาแย่งกับเขา…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับปฏิเสธโดยไม่ลังเล เช่นนั้นก็คือไม่ชอบเขาอย่างยิ่ง?
แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วเคยเป็นฝ่ายเผยท่าทีที่จะผูกสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงานกับเขาก่อน…
ในปีที่เอ่ยเรื่องสัญญาที่จะแก่เฒ่าไปด้วยกันกับคุณหนูลั่วใต้ต้นพลับออกมาในปีนั้น เขาก็รออยู่นานมาก ในที่สุดก็รอจนถึงตอนที่คุณหนูลั่วพยักหน้า สำหรับอุปสรรคที่มาจากคนอื่นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องข้ามไปให้ได้
อาจจะใส่ใจมากเกินไป ทันทีที่พบเจอปัญหา เว่ยหานจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมากเกินไป
ความระมัดระวังของเขาตกอยู่ในสายตาแม่ทัพใหญ่ลั่ว เขาจึงลนลานขึ้นมา ‘แย่ล่ะ นี่ไคหยางอ๋องคิดจะถอนตัวกลางคันแล้ว!’
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องควบคุมเอาไว้ให้ได้ ไม่อาจเป็นฝ่ายยอมเปิดปากก่อน
แม่ทัพใหญ่ลั่วปลอบใจที่วิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตนเองและรักษาความเคร่งขรึมบนใบหน้าเอาไว้
อย่างน้อยก็ขออีกครั้ง เขาถึงจะสามารถรับปากได้
สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมา กิ่งใบต้นพลับสั่นไหว ใบไม้ร่วงลอยผ่านหน้าเว่ยหานไปอย่างเชื่องช้า
เว่ยหานเม้มริมฝีปากบาง พยักหน้าแน่วแน่ ‘ในเมื่อเอ่ยปากแล้ว วันนี้จะต้องขอจนแม่ทัพใหญ่ลั่วรับปากให้ได้’
“ท่านลุงลั่วรักและทะนุถนอมคุณหนูลั่ว ต้องการจะเลือกให้ดี ข้าเข้าใจ แต่ข้าขอรับรองกับท่านว่า แม้ว่าจะมีคนมากมายมาสู่ขอคุณหนูลั่ว ข้าก็เป็นคนที่จริงใจที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้น…”
“ข้าตกลงแล้ว”
เว่ยหานอึ้ง
เขายังเอ่ยไม่จบเลย
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าจริงจัง ในใจกลับถอนหายใจเงียบๆ ‘จะไม่ใช่คนที่จริงใจที่สุดได้อย่างไร หลายปีมานี้คนที่มาสู่ขอ นับรวมทั้งหมดแล้วมีแค่คนเดียว…’
เมื่อเห็นเว่ยหานไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ไอเสียงหนัก “เห็นแก่ความจริงใจของท่านอ๋อง ข้าจึงฝืนใจเห็นด้วย”
เว่ยหานโค้งมุมปาก “ขอบคุณท่านลุงลั่ว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอารมณ์เบิกบานยิ่ง พยายามรักษาความสงบเงียบเอาไว้ “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีความคิดอย่างไรกับวันมงคล”
เว่ยหานเอ่ยอย่างกล้าหาญ “ท่านลุงลั่วคิดว่าหลังจากซวงเจี้ยง[1]เป็นเช่นไร”
เวลาเร่งรีบอยู่บ้างจริงๆ แต่เขารอมานานเกินไปแล้ว
เขาอยากใช้สถานะสามีกอดนางเข้านอนในเทศกาลโคมไฟปีหน้า ไม่ใช่หวนคิดถึงความทรงจำที่บิดามารดาถูกทำร้ายยามวัยเยาว์ในตอนเข้าสู่ช่วงค่ำคืนทุกเทศกาลโคมไฟแล้วต้องลืมตาตื่นจนฟ้าสว่าง
“ซวงเจี้ยงหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้ง คำนวณเงียบๆ อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เดือนเจ็ด ห่างจากซวงเจี้ยงแค่สองเดือนกว่าเองนะ
คิดไม่ถึงว่าจะสามารถแต่งบุตรสาวออกไปได้เร็วขนาดนี้!
แม่ทัพใหญ่ลั่วดีใจจนเลิกคิ้ว เห็นความกระตือรือร้นและรีบร้อนในแววตาของชายหนุ่มแล้วก็กดมุมปากที่จะยกขึ้นแล้วบ่นพึมพำ “กระชั้นไปหน่อย…”
เว่ยหานพยักหน้าอย่างละอายใจ “กระชั้นอยู่บ้าง…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเกือบจะกลอกตาเล็กน้อย
เจ้าเด็กนี่ไม่ได้รีบร้อนแต่งภรรยาหรือ ทำไมถึงได้คล้อยตามเสียล่ะ
หวั่นเกรงเพียงว่า ยิ่งนาน อุปสรรคก็ยิ่งเยอะ แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงไอเบาๆ “แม้ว่าจะรีบร้อนไปหน่อย แต่ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขแล้ว เหมาะสมที่จะจัดงานมงคล…เช่นนั้นก็เลือกวันมงคลซึ่งเป็นฤกษ์งามยามดีหลังซวงเจี้ยงแล้วกัน!”
ความตรงไปตรงมาของแม่ทัพใหญ่ลั่วทำให้เว่ยหานชะงัก ก่อนจะรู้สึกตัวขึ้นมา “ขอบคุณท่านลุงลั่วที่ช่วยให้สมปรารถนา”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมีสีหน้าสงวนท่าที “หลักๆ คือเห็นแก่ที่ท่านอ๋องค่อนข้างมีความจริงใจ”
“เช่นนั้นข้าจะกลับจวนไปเริ่มเตรียมการ” เว่ยหานลุกขึ้นยืน
“ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองส่งเว่ยหานจากไปแล้วสั่งหงโต้วที่ไปยกอาหารในครัวมาว่า “รีบไปเรียกคุณหนูพวกเจ้ามาเร็วเข้า”
ไม่นานนัก ลั่วเซิงก็เดินเข้ามาในลานด้านหลัง นั่งลงตรงข้ามแม่ทัพใหญ่ลั่ว
“ท่านพ่อเรียกหาลูกหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาว ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุข
เซิงเอ๋อร์อายุสิบแปดแล้ว เป็นอายุที่เหมาะแก่การแต่งงาน
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ในบรรดาบุตรสาวทั้งสี่คน เซิงเอ๋อร์จะได้ความที่สุด เป็นคนแรกที่ทำให้เขาได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นพ่อตา
พ่อตา…
เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วนึกถึงตอนไคหยางอ๋องมาสวัสดีปีใหม่ในวันปีใหม่แล้วเรียกเขาว่าท่านพ่อตาอย่างเรียบร้อย ในใจก็มีความสุข
ลั่วเซิงเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วมัวแต่ยิ้มโง่งมจึงถามว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อเพิ่งจะหารือเรื่องการแต่งงานกับท่านอ๋องหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหุบยิ้ม “เป็นสาวเป็นนาง ทำไมมาถึงก็ถามถึงเรื่องนี้กัน”
ลั่วเซิงเงียบ เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ลูกเห็นว่าท่านพ่อดีใจมากน่ะเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่ว “…” ชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ
เมื่อมองดูบุตรสาวที่อมยิ้มมุมปากแล้วก็พลันรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย
“แค่กๆ กำหนดวันมงคลหลังซวงเจี้ยง เซิงเอ๋อร์ตั้งใจเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ”
ลั่วเซิงครุ่นคิด เอ่ยตามจริง “ไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวอะไรเจ้าค่ะ”
ตอนนางยังเป็นท่านหญิงชิงหยาง ผ่านการออกเรือนมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นทุกอย่างล้วนมีคนจัดการให้ รอแค่ออกเรือนก็พอ
ตอนนี้นางกลายเป็นองค์หญิงใหญ่ก็คล้ายว่าจะยิ่งไม่ต้องเตรียมอะไรแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วถูกถามจนชะงักไป คิดไตร่ตรองอยู่นานก็เอ่ยอย่างลังเล “ดีร้ายอย่างไรก็ปักปลอกหมอนยวนยางสักคู่…”
เผชิญกับแววตาตื่นตะลึงของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตกตะลึง รีบเปลี่ยนคำพูด “พ่อว่าของพวกนี้ล้วนไม่ต้องเตรียมแล้ว เซิงเอ๋อร์แต่งตัวให้งดงามแล้วแต่งไปก็เป็นวาสนาของเจ้าเด็กนั่นแล้ว”
ปักปลอกหมอนอันใดกัน หากปักยวนยางเป็นเป็ด จะไม่กระอักกระอ่วนหรอกหรือ
“หลังซวงเจี้ยงหรือ” ลั่วเฉินข่มความไม่สบอารมณ์ในใจ พยักหน้าเล็กน้อย “เวลาหนึ่งปีกว่าในการเตรียมการ ก็เพียงพอเช่นกัน”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ใช่ซวงเจี้ยงของปีหน้าพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นซวงเจี้ยงในปีนี้”
“ปีนี้หรือ” ลั่วเฉินเกือบจะกระอักเลือด “ท่านพ่อ เหตุใดจึงเร่งรีบเช่นนี้ หรือกลัวว่าพี่สาวจะแต่งไม่ออก?”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะเหอะๆ
นี่ยังต้องถามอีกหรือ
ลั่วเฉินตั้งสติ ข่มความโมโห พลางเอ่ย “แม้ว่าพี่สาวจะแต่งไม่ออก ข้าก็สามารถเลี้ยงนางได้ชั่วชีวิต นางเป็นองค์หญิงใหญ่ ยังมีคนกล้าดูแคลนอีกหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองบุตรชายแวบหนึ่ง “ตระกูลพวกเราขาดแคลนเงินเลี้ยงดูพี่สาวพระองค์หรือ หลังจากนี้ฝ่าบาทไม่อยากเป็นท่านน้าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วเฉินถูกถามจนพูดไม่ออก
กล่าวตามตรง เขาไม่มีความสนใจในการเป็นท่านน้า
ทว่าเขารู้ว่านี่คือความตั้งใจของพี่สาว
นางยินยอมแต่งให้ไคหยางอ๋อง เขาย่อมให้นางได้สมปรารถนา
“เช่นนั้นกลับไปก็ให้สำนักหอดูดาวหลวงเลือกวันที่เป็นฤกษ์งามยามดีสักวันหนึ่ง” ลั่วเฉินครุ่นคิด เอ่ยเตือนว่า “ทางด้านบ้านท่านตาท่านยาย…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้กระหม่อมให้คนไปส่งข่าวแล้ว เชิญพวกท่านน้าของฝ่าบาทมาเข้าร่วมงานแต่งงานที่เมืองหลวง”
รอแม่ทัพใหญ่ลั่วจากไปแล้ว ลั่วเฉินก็สอบถามเสนาบดีจ้าว “ได้ยินมาว่าเมื่อวานที่มีหอสุราเปิดกิจการ บุตรสาวคนรองของอันกั๋วกงลอบโจมตีพี่สาวเรา สรุปว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เสนาบดีจ้าวเข้าใจถึงความสำคัญที่คุณหนูลั่วมีต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่นานแล้ว การเข้าวังในครานี้ก็อยู่ในการคาดเดา ย่อมทำความเข้าใจในสิ่งที่ควรจะเข้าใจมาหมดแล้ว
“ทูลฝ่าบาท เรื่องเป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ เดิมฮูหยินอันกั๋วกงไม่ได้เสียชีวิตเพราะเกี๊ยวปูติดคอ แต่ตอนที่ขัดขวางอันกั๋วกงลงโทษคุณหนูรองจู ถูกอันกั๋วกงพลั้งมือสังหาร…คุณหนูรองจูกลัวการลงโทษจึงหนีออกจากจวนกั๋วกงและได้รับความช่วยเหลือจากท่านหญิงน้อยของจวนผิงหนานอ๋อง เปลี่ยนแปลงรูปโฉมและรูปร่างเปิดร้านขายชาดทาแก้มอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับมีหอสุรา…”
ฟังเสนาบดีจ้าวเล่าจบ ลั่วเฉินก็มีสีหน้าเย็นชา “นั่นก็หมายความว่า บุตรสาวคนรองของอันกั๋วกงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะลอบสังหารพี่สาวเราหรือ”
เสนาบดีจ้าวหลุบตาไม่เอ่ยอันใด
สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินฮ่องเต้พระองค์ใหม่ตรัสเรียบๆ ว่า “ลอบสังหารองค์หญิงใหญ่มีโทษอันใด เสนาบดีจ้าวจัดการตามบทลงโทษทางกฎหมายก็พอ สำหรับจวนอันกั๋วกง…อันกั๋วกงไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี ยากจะหนีพ้นความผิด ยึดบรรดาศักดิ์ลดขั้นให้เป็นสามัญชนทั่วไปแล้วกัน”
[1] ซวงเจี้ยง เป็นช่วงที่เกิดน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะเกิดในวันที่ 23-24 ตุลาคมของทุกปี