ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 62 อาหลี่
ตอนที่ 62 อาหลี่
ลั่วเซิงนึกถึงเว่ยหาน
เย็นชา เฉียบไว อันตราย หากไม่ใช่เพราะรู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันและรู้ว่าชายผู้นี้กินจุมาก สิ่งเหล่านี้ก็คือภาพจำทั้งหมดที่เว่ยหานทิ้งไว้ให้ลั่วเซิง
ไม่แปลกที่ไคหยางอ๋องที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าจะปรากฏตัว ณ จวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกทิ้งร้างนั่น ที่แท้ก็เป็นเพราะได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ไปเพื่อกวาดล้างคนที่รอดชีวิตของจวนเจิ้นหนานอ๋องให้สิ้นซาก
ก้นบึ้งหัวใจลั่วเซิงเยือกเย็น นึกถึงเรื่องที่อวิ๋นต้งกล่าวว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องมีนักโทษหลบหนีไปได้ก็มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
นี่หมายความว่านอกจากซิ่วเย่ว์และน้องชายแล้ว วันนั้นที่จวนเจิ้นหนานอ๋องยังมีคนอื่นที่หลบหนีออกมาได้อีกหรือ
ลั่วเซิงผ่อนคลายอารมณ์ลงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “ในเมื่อท่านพ่อได้รับมอบหมายให้นำทหารไปปิดล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋อง เหตุใดจึงยังมีนักโทษหลบหนีไปได้อีกเล่า”
“แต่ละจวนล้วนมีทหารประจำจวน ทหารของจวนเจิ้นหนานอ๋องเก่งกาจและน่ากลัวนัก แม้ถูกล้อมสังหาร แต่ทั้งจวนมีคนมากขนาดนั้นก็ต้องมีคนโชคดีหนีรอดออกมาได้อยู่แล้ว ท่านพ่อบุญธรรมสามารถขัดขวางพระชายาของเจิ้นหนานอ๋องและลูกชายคนเล็กไว้ได้ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หากอยากจะหนี ก็ให้หนีไป…”
ลูกชายคนเล็กหรือ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของลั่วเซิงก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ สมองว่างเปล่าในชั่วพริบตา
ซิ่วเย่ว์ไม่ได้บอกว่าเป่าเอ๋อร์หนีออกไปได้หรือแล้วเหตุใดอวิ๋นต้งถึงเอ่ยเช่นนี้
“เจ้าของจวนถูกจับไปหรือไม่”
อวิ๋นต้งพยักหน้า
“เวลานั้นลูกชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องน่าจะยังเด็กมาก หรือว่า…ก็ถูกสังหารเช่นเดียวกัน”
อวิ๋นต้งเห็นลั่วเซิงมีน้ำเสียงลังเล สีหน้าทนไม่ได้จึงอดรู้สึกขำไม่ได้
ท่าทางของคุณหนูสามในตอนนี้เหมือนท่าทางที่เด็กสาววัยเดียวกันควรมี ชวนให้รู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลยจริงๆ
น้ำเสียงของอวิ๋นต้งเฉยเมย ตอบคำถามของลั่วเซิง “หากรังคว่ำแล้วไซร้ก็ยากจะเหลือไข่ที่สมบูรณ์ คนของจวนเจิ้นหนานอ๋องอุ้มลูกชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องหลบหนีออกจากจวน โชคดีที่ท่านพ่อบุญธรรมมาพบทันเวลา ภายใต้การแย่งชิงระหว่างลูกน้องของท่านพ่อบุญธรรมกับคนของจวนเจิ้นหนาน ลูกชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องก็หล่นกระแทกพื้นจนตาย…”
ลั่วเซิงรู้สึกว่าเลือดที่สูบฉีดในร่างกายแข็งเป็นน้ำแข็งไปชั่วขณะ แม้กระทั่งปลายนิ้วก็เย็นเป็นน้ำแข็ง
หลังจากสิ้นหวัง ไม่มีอะไรโหดร้ายยิ่งกว่าการให้ความหวังแล้วกำจัดทิ้ง
การควบคุมตัวเองของนางต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ช่วงเวลานี้ก็ยากที่จะควบคุมอารมณ์ทั้งหมดไว้ได้ ดวงตาจึงมีแสงน้ำตาวาววับอยู่เล็กน้อย
“คุณหนูสาม” อวิ๋นต้งพบความผิดปกติของลั่วเซิง
นี่คุณหนูสาม…ร้องไห้หรือ
ลั่วเซิงกะพริบตาเล็กน้อย ให้ละอองน้ำตาไหลกลับเข้าไปแล้วเอ่ยเสียงเบา “ฟังดูน่าสงสารมาก”
อวิ๋นต้งเผยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
คุณหนูสามเปลี่ยนเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายตั้งแต่เมื่อใด
อาจจะกำลังแสดงละครอยู่!
จุดประสงค์ของการแสดงละครเช่นนั้นคือ…อวิ๋นต้งระแวดระวังขึ้นมาทันที
เด็กสาวคนหนึ่งแสร้งทำเป็นอ่อนแอ อ่อนโยนจิตใจดีต่อหน้าชายหนุ่ม จุดประสงค์นั้นชัดเจนมาก
อวิ๋นต้งเดินห่างจากลั่วเซิงเล็กน้อยอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
ลั่วเซิงระงับความเศร้าโศกราวกับคมมีดกรีดเฉือนเอาไว้ สีหน้ากลับมานิ่งสงบเช่นเดิม “หลังจากนี้หากพี่ห้ารู้เหตุการณ์มากกว่านี้ จำไว้ว่าต้องบอกข้า ระหว่างทางที่ข้ากลับเมืองหลวงประสบกับการลอบสังหาร ต้องการฟังเรื่องราวให้มากเพื่อลดความตกใจ”
อวิ๋นต้งปากสั่นเล็กน้อย
เขาคิดมากไปแล้ว!
คุกทั้งชื้นและมืด เพียงแค่เข้าไปก็ตัดขาดจากแสงแดดอันสว่างไสวภายนอก เหลือเพียงแค่ความเหน็บหนาวที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
ด้านหน้าที่มืดสลัวแว่วเสียงร้องน่าสยดสยองดังออกมาเป็นครั้งคราว
“คุณหนูสาม ทางนี้”
ลั่วเซิงเดินตามอวิ๋นต้งไปข้างหน้า ถัดจากรั้วมองเห็นชายคนหนึ่งที่มือสองข้างถูกห่วงเหล็กมัดไว้แน่น
ถึงแม้ว่าผมยาวสยายปกปิดไปครึ่งใบหน้าก็ยังคงมองเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นยังอายุน้อยมากแล้วยังหล่อเหลงมากด้วย
ตั้งแต่ลั่วเซิงฟื้นขึ้นมา ในบรรดาชายหนุ่มที่พบเจอมีซูเย่ากับไคหยางอ๋องและชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงกันได้
ซูเย่าคือความงดงามอ่อนโยนของเด็กหนุ่ม ไคหยางอ๋องราวกับหิมะบนภูเขา พระจันทร์ท่ามกลางหมู่เมฆ ทำให้คนมองแล้วต้องหยุดชะงัก ชายหนุ่มตรงหน้ากลับเป็นบุคลิกอีกประเภทหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นยาวแคบและเฉียงขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวก็เหลือบมอง ต่อให้จนตรอกก็ปกปิดความโดดเด่นที่ทะลุออกมาจากในใจไม่ได้
ลั่วเซิงต้องยอมรับว่าคุณหนูลั่วฉุดชายหนุ่มเช่นนี้กลางตลาดกลับจวนเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้จริงๆ
และเด็กคนนี้ นางรู้จัก
นี่ก็คือหลานชายของพ่อบ้านรองแห่งจวนเจิ้นหนานอ๋อง เพราะเกิดมาใบหน้าหล่อเหลาจึงเคยถูกเสด็จแม่เอ่ยชื่นชมมาก่อน
“ไขกุญแจ ข้าจะเข้าไปพูดกับเขาสักหน่อย” ลั่วเซิงเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชาในคุกที่มืดสลัวฟังชัดเจนเป็นพิเศษ
“นี่…” ผู้คุมห้องขังอดมองอวิ๋นต้งไม่ได้
“พี่ใหญ่ให้คุณหนูสามเข้ามา” อวิ๋นต้งเอ่ยขึ้น
ที่แห่งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของผิงลี่ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงก็เป็นผิงลี่ที่รับผิดชอบ เขาไม่จำเป็นต้องทำให้คนอื่นเกลียด
ผู้คุมห้องขังไขกุญแจอย่างเงียบๆ กล่าวเตือนอย่างระวัง “คุณหนูอย่าเข้าใกล้นักโทษมากนักนะขอรับ”
ลั่วเซิงมองผู้คุมห้องขังเล็กน้อย พลางเอ่ยอย่างเฉยเมย “พูดมาก เจ้าออกไปเถอะ”
ผู้คุมห้องขังยืนนิ่งไปชั่วขณะ
ลั่วเซิงเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม คำที่ข้าจะพูดกับนายบำเรอของข้า เจ้าก็ยังอยากฟังหรือ”
“ข้าน้อยมิบังอาจ…”
“ไม่บังอาจแล้วยังไม่ไสหัวไปอีก!” ลั่วเซิงเผยสีหน้าเย็นชา
ผู้คุมห้องขังกล้าล่วงเกินบุตรสาวอันเป็นที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่วเสียที่ไหนจึงรีบก้มศีรษะถอยออกไป
“พี่ห้า รบกวนท่านเฝ้าดูแทนข้าหน่อย อย่าให้ใครแอบฟัง”
อวิ๋นต้งลังเลชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย
เขารู้ว่านี่คือการให้เขาออกไปด้วย ถึงอย่างไรคุณหนูสามอยากจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ที่นี่เป็นคุกองครักษ์จิ่นหลิน คุณหนูสามถึงมีกลอุบายก็ใช้ไม่ได้มากนักหรอก
ไม่นานห้องขังก็เหลือเพียงแค่ลั่วเซิงกับซือหนาน
ลั่วเซิงเดินเข้าไปใกล้ซือหนานทีละก้าว จนระยะระห่างเหลือไม่ถึงหนึ่งฉื่อก็หยุดลง
ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้เกินกว่านี้แล้ว
ซือหนานมองนาง แววตาเผยความรังเกียจและเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้อีก
“ได้ยินว่าเจ้าคือคนของจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกสังหารทั้งตระกูลเมื่อสิบสองปีก่อน” ลั่วเซิงน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างยิ่ง เมื่อดังเข้าหูของซือหนานกลับรู้สึกเหมือนเสียงสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัว
ดวงตางดงามคู่นั้นลุกวาบ มองลั่วเซิงด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ใช่แล้วจะอย่างไร คุณหนูลั่วเสียใจที่ชักนำหมาป่าเข้าบ้านงั้นหรือ น่าเสียดายที่เจ้ามันโง่เขลา โทษคนอื่นไม่ได้”
เขาต้องขอบคุณนังโง่ตรงหน้า ทำให้เขามีโอกาสแก้แค้นให้กับคนในครอบครัวและจวนเจิ้นหนานอ๋อง
“แม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นคนล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่คนที่ทำร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องจนมีจุดจบเช่นนี้คือจวนผิงหนานอ๋องต่างหาก” น้ำเสียงลั่วเซิงฟังดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง
ซือหนานหัวเราะขึ้นมา ดวงตายาวแคบเปล่งแสงบางเบา “น่าเสียดายท่านหญิงน้อยของจวนผิงหนานอ๋องไม่เลี้ยงนายบำเรอ สามารถใช้กำลังอันน้อยนิดของของข้าฆ่าเจ้าคนโฉดที่ล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋องได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ลั่วเซิงหลุบตาถอนใจ พลางเอ่ยเสียงเบา “แต่ว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วฟื้นแล้วล่ะ”
ซือหนานสีหน้าเปลี่ยน เสียงแหบแห้งอ่อนลง “เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
เขาเอากริชแทงเข้าไปที่หน้าอกของคนผู้นั้นด้วยตัวเอง จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร
“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล” ลั่วเซิงมองซือหนานอย่างแน่วแน่แล้วเรียกชื่อหนึ่งออกมา “อาหลี่”
ซือหนานสะท้านไปทั้งตัว โพล่งออกมาว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
ลั่วเซิงมองซือหนานด้วยแววตาที่แฝงความรักเอ็นดูและความคิดถึง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเรียกเจ้าว่าอาหลี่”
นางท่องเสียงพึมพำ “หญ้าริมฝั่งแม่น้ำเขียวขจี ความคิดถึงทอดยาวไปไกล ระยะทางไม่อาจคิดคะนึง ได้พบกันในฝันโดยเร็ว…มีแขกจากแดนไกลมา มอบปลาหลี่อี๋ว์คู่ให้ เรียกคนใช้เปิดห้องไม้ ภายในมีจดหมายไหมยาว อ่านจดหมายสามีด้วยความเคารพ ในจดหมายเขียนสิ่งใด ท่อนแรกบอกให้กินดีรักษาสุขภาพ สุดท้ายบอกคิดถึงเสมอ”
ซือหนานสีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด สุดท้ายเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “เหตุใดเจ้าถึงรู้”
เขาเคยมีชื่อเล่นว่าอาหลี่ ตอนเด็กมีครั้งหนึ่งตามบิดาเข้าจวนอ๋องได้พบกับพระชายา พระชายาเห็นเขาใบหน้าหล่อเหลาจึงตั้งชื่อให้ว่าอวี้หนู นับจากนั้นก็ไม่มีใครเรียกเขาว่าอาหลี่อีกเลย
นานวันไป อย่าเอ่ยถึงคนอื่นเลย แม้แต่เขาเองก็แทบจะลืมชื่ออาหลี่นี้ไปแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่องครักษ์จิ่นหลินสืบสาวไม่พบอย่างแน่นอน!