ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 72 รัชทายาท
ตอนที่ 72 รัชทายาท
หยางซื่อฮูหยินฉางชุนโหวถูกสาดไปทั่วศีรษะและใบหน้า น้ำแกงไหลลงมาจากแก้มทั้งสองข้าง ล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของนาง
น้ำแกงหวานแค่อุ่นๆ เท่านั้น ไม่ถึงกับถูกลวกจนเป็นอะไรไป แต่สภาพอเนจอนาถคงเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะสถานการณ์เช่นนี้ พูดได้ว่าอนาถอย่างมาก
ฮูหยินทุกคนตกใจจนพูดไม่ออก
ลั่วเซิงหน้าขรึม ตำหนิอย่างเยือกเย็นว่า “แม้แต่น้ำแกงถ้วยหนึ่งยังยกได้ไม่ดี นี่คือสาวใช้ของจวนอ๋องหรือ”
สาวใช้ที่ยกน้ำแกงมาตกใจจนขวัญหาย นางคุกเข่าลงดังตุบ “บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย”
นางแค่อยากสาดน้ำแกงเล็กน้อยลงบนตัวคุณหนูลั่ว เหตุใดคุณหนูลั่วจึงได้ตอบโต้รวดเร็วเช่นนี้นะ นางปัดมือตนออกแล้วน้ำแกงก็สาดไปโดนใบหน้าของฮูหยินฉางชุนโหว…
เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ร่างกายของสาวใช้ก็สั่นไหวเจียนจะล้ม
เว่ยเหวินมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา จับผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
นางส่งสัญญาณให้สาวใช้แกล้งทำพลาดและทำน้ำแกงหกใส่ลั่วเซิง ลั่วเซิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกออกจากที่นี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงครานั้นนางก็จะได้ไปสวนดอกไม้ตามแผน
ใครจะไปคิดว่าลั่วเซิงจะมีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นนี้ ฮูหยินฉางชุนโหวกลายเป็นคนถูกลูกหลง
“ไสหัวออกไปรับโทษเสีย” พระชายาผิงหนานอ๋องน้ำเสียงราบเรียบ ในใจเดือดดาลยิ่งนัก
งานเลี้ยงของนาง สาวใช้กลับทำพลาดทำให้น้ำแกงหกใส่หน้าของแขก ช่างเสียหน้าจวนอ๋องจริงๆ
สาวใช้มองเว่ยเหวินอย่างสิ้นหวัง ละถูกลากลงไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะร้องขอความเมตตา
พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มให้ฮูหยินฉางชุนโหวอย่างขออภัย “เป็นเพราะข้าไม่เข้มงวดพอทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต้องขออภัยจริงๆ”
หยางซื่อเอาแต่เช็ดหน้า มีเวลาตอบพระชายาผิงหนานอ๋องเสียที่ไหน
พระชายาผิงหนานอ๋องเหลือบมองเว่ยเหวิน “เหวินเอ๋อร์ พาฮูหยินหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพทำให้แขกต้องมาเจอความอับอายเช่นนี้ แม้พระชายาผิงหนานอ๋องมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งกว่าหยางซื่อมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องให้บุตรสาวออกหน้าเอง
เช่นนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จวนผิงหนานอ๋องจึงจะน้อยลง
เว่ยเหวินไม่เต็มใจนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นางเดินไปย่อเข่าให้หยางซื่อเล็กน้อย “ฮูหยินหยาง ข้าพาท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”
หยางซื่ออยู่ในสภาพทุลักทุเล ไหนเลยจะสนใจคำพูดเป็นพิธีนั่นอีก นางรีบตามเว่ยเหวินไปอย่างเร่งรีบ
ลั่วเซิงค่อยๆ ลุกขึ้น “พี่น้องทั้งสองยังอยู่ในสวนดอกไม้ ข้าเองก็ต้องไปแล้ว”
พระชายาผิงหนานอ๋องฝืนยิ้ม สั่งสาวใช้คนหนึ่งไปส่งลั่วเซิงอย่างไม่สนใจนัก
มองดูแผ่นหลังงดงามของเด็กสาวจากไป สายตาของพระชายาผิงหนานอ๋องมีเพียงความเย็นชา
หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ทำพลาดจริงๆ นางคงสงสัยว่านังหนูคนนี้จงใจมาสร้างปัญหาให้นางโดยเฉพาะ
ลั่วเซิงเดินออกจากประตู นางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อแสงแดดส่องกระทบหน้า
สิบสองปีผ่านไป พระชายาผิงหนานอ๋องกลับแทบไม่เปลี่ยนไปเลย เห็นได้ว่าหลายปีมานี้นางมีชีวิตสุขสบายมาก
จะไม่สุขสบายได้อย่างไร บุตรชายคนโตส่งไปเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดของฮ่องเต้ บุตรชายคนรองก็จะเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋องในอนาคต แม้ตามธรรมเนียมแล้วบุตรชายคนโตจะไม่ได้มีความสัมพันธ์แม่ลูกกันแล้ว แต่สายใยแม่ลูกกลับไม่สามารถตัดขาดได้
เมื่อรัชทายาทขึ้นครองราชย์ในอนาคต จวนผิงหนานอ๋องก็จะยิ่งมีหน้ามีตาและมั่นคง
มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายถึงจะมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องชราหรือไม่ชรา
ลั่วเซิงยกมุมปากขึ้น ปากโค้งยิ้มด้วยความประชด
“คุณหนูลั่ว เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงหรี่ตามองสาวใช้ พูดอย่างสงบว่า “ไม่ต้องรีบไป ข้าจะเดินเล่น”
ไม่มีโอกาสเจอเว่ยเชียงก็ไม่เป็นไร ทำความคุ้นเคยกับจวนผิงหนานอ๋องไว้ก็ไม่เลว
“แต่ว่า…” สาวใช้ร้อนรนจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ลั่วเซิงสีหน้าเยือกเย็น “ทำไมรึ จวนอ๋องห้ามให้คนดูหรือ”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นอยากจะกลอกตา
เห็นจวนอ๋องเป็นถนนใหญ่เดินเล่นเช่นนี้ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว เหตุใดเมื่อเอ่ยออกมาจากปากคุณหนูลั่วจึงดูมีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้นะ
แต่นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง จะห้ามบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็คงไม่ได้ นอกเสียจากว่าฝ่ายตรงข้ามจะบุกเข้าไปฝั่งแขกผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี
“คุณหนูใหญ่ลั่ว ข้างหน้าล้วนเป็นแขกผู้ชาย ผู้ที่มาล้วนเป็นขุนนางใหญ่สูงศักดิ์ ยังมีรัชทายาท” สาวใช้เตือนนางอย่างกล้าหาญ
ลั่วเซิงยิ้ม “ข้ารู้ ท่านพ่อข้าก็อยู่ที่นั่น ข้าไม่ได้บอกว่าจะไปที่นั่นเสียหน่อย แค่เดินไปรอบๆ เล่นๆ ชื่นชมทิวทัศน์จวนอ๋อง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สาวใช้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คุณหนูลั่วเซิงท่านนี้กล้าลงมือแม้แต่บุตรสาวของจวนอัครมหาเสนาบดี หากทำให้นางไม่พอใจ สาวใช้เช่นนางคงรับมือไม่ไหว
ไม่มีเสียงหนวกหูข้างกาย ลั่วเซิงเดินทอดน่องอย่างสบายๆ ราวกับเดินในสวนดอกไม้ในจวนของตน แอบจดจำทุกอย่างที่เห็นไว้ในใจ
นางไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านี้ได้ในทันที การรู้จักพวกเขามากขึ้นถือเป็นเรื่องดี
จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้น
สาวใช้หน้าเปลี่ยนสี ครั้นกำลังจะพูดอะไรก็ถูกมือข้างหนึ่งปิดปากไว้ แรงมหาศาลดึงนางไปข้างหลังพุ่มต้นไม้ดอกไม้หนึ่งข้างๆ
“พี่ใหญ่ เสด็จแม่รอพี่นานแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
สาวใช้จำเสียงนี้ได้ นางตกใจจนไม่กล้าดิ้น
เสียงไพเราะของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้น “เว่ยเฟิง บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าพี่ใหญ่ เจ้าควรเรียกข้าว่าองค์ชาย ผู้อื่นได้ยินแล้วจะได้ไม่เข้าใจผิด”
ลั่วเซิงหรี่ตาลง แง้มกิ่งไม้และใบไม้ออกเป็นช่องว่างเล็กๆ
ชายสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล รูปร่างของทั้งสองใกล้เคียงกัน คนหนึ่งยังแผ่ซ่านความสดใสของเด็กหนุ่ม อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่
สายตาของลั่วเซิงหยุดอยู่ที่ตัวของบุรุษที่มีอายุมากกว่า
เดิมเว่ยเชียงมีอายุเท่ากับนาง บัดนี้อายุยี่สิบเก้า
ยี่สิบเก้า สำหรับผู้ชายที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์คนหนึ่งแล้ว แทบจะเป็นช่วงวัยที่มีเสน่ห์ที่สุด
สายตาของเขาลุ่มลึกมากขึ้นกว่าเดิม บุคลิกของเขาดูทรงภูมิยิ่งขึ้น ท่าทางของเขาดูสง่างามและมั่นใจยิ่งกว่าเดิม
ต่างจากซื่อจื่อผิงหนานอ๋องเมื่อสิบสองปีก่อนที่ต่อหน้านางมักจะแสดงความตื่นตระหนกและความซุ่มซ่ามของหนุ่มน้อยที่ชวนให้ผู้คนอดยิ้มไม่ได้
ลั่วเซิงย้อนคิดถึง หัวเราะให้ตนเองเงียบๆ
บางทีหนุ่มน้อยซุ่มซ่ามเมื่อสิบสองปีที่แล้วอาจไม่เคยมีอยู่
เพราะว่าใส่ใจจึงรู้สึกเขินอายและเงอะงะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนๆ นั้น
แต่หากใส่ใจจริงๆ เหตุใดเว่ยเชียงจึงมอบหลักฐานที่ว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องก่อกบฏและยังสังหารนางอย่างไร้ความปรานี
ลั่วเซิงเคียดแค้นมากจริงๆ
แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่ง นัยน์ตากลับลุกโชนราวกับเปลวไฟจะปะทุออกมา
กลีบดอกไม้อ่อนถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ น้ำจากดอกไม้ย้อมปลายนิ้วสีขาวดั่งหยกให้เป็นสีแดง
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป
“รู้แล้ว องค์ชาย” เว่ยเฟิงตอบด้วยความหงุดหงิด
เว่ยเชียงสีหน้าคร่งขรึม “แล้วก็ต่อไปเจ้าพูดกับอาสะใภ้หน่อย อย่าสนใจข้าที่เป็นหลานคนหนึ่งเช่นนี้นักเลย”
“องค์ชาย!”
“ทำไม”
“วันนี้วันเกิดของเสด็จแม่…”
เว่ยเชียงยิ้ม “ข้าก็เลยมานี่ไงเล่า”
ความหมายอีกนัยหนึ่งคือโดยปกติแล้วเขาไม่มีความจำเป็นต้องมา
ลั่วเซิงได้ยินดังนั้นรู้สึกแปลกใจ
เว่ยเชียงเมื่อสิบสองปีก่อนเด็กกว่าเว่ยเชียงตรงหน้านี้ เมื่อพูดถึงพระชายาผิงหนานอ๋อง เขาไม่เคยปกปิดความชื่นชมที่มีต่อพระชายาผิงหนานอ๋อง แต่ก็ไม่เคยเฉยเมยขนาดนี้
เป็นเพราะเขากลัวว่าฮ่องเต้จะขุ่นเคืองและเหินห่างจากจวนผิงหนานอ๋องหรือ
การปรากฏตัวของเว่ยเชียงส่งผลกระทบต่อลั่วเซิงค่อยข้างมาก นางมองชายคนนั้นตาไม่กะพริบ คาดเดาไปต่างๆ นานา
เว่ยเฟิงยิ้มเจื่อน “องค์ชาย ยังโทษเสด็จพ่ออยู่หรือ…”
จู่ๆ เว่ยเชียงก็ทำหน้าเย็นชา น้ำเสียงราวจับกันเป็นน้ำแข็ง “ไม่หรอก ข้ามีวันนี้ได้จะขอบคุณยังไม่ทันเลย เว่ยเฟิง เจ้าก็โตแล้ว อย่าพูดโดยไม่คิด…”
จู่ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะสนทนาของพวกเขา