ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 73 ไม่รู้ความ
ตอนที่ 73 ไม่รู้ความ
เสียงกรีดร้องเป็นเสียงของสตรี น้ำเสียงดูหวาดกลัว และเสียงนี้ก็ทำให้เว่ยเชียงและเว่ยเฟิงวิตกขึ้นมาทันที
แม้บทสนทนาของทั้งสองจะไม่อุกอาจเกินไป แต่ถึงอย่างไรผู้อื่นได้ยินก็คงไม่ดี โดยเฉพาะด้วยสถานะละเอียดอ่อนของเว่ยเชียง ยิ่งง่ายต่อการสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ครั้นเว่ยเชียงกำลังจะตะโกนถาม เสียงเยือกเย็นและหมดความอดทนของหญิงสาวดังขึ้น “ก็แค่ให้เจ้าพาข้าไปพบไคหยางอ๋อง เจ้าก็แค่สาวใช้คนหนึ่งบังอาจขัดขวาง คงไม่ใช่อาศัยว่าตนเป็นคนของจวนผิงหนานอ๋องจึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาหรอกนะ”
เว่ยเชียงและเว่ยเฟิงอดสบตากันไม่ได้
คุณหนูจวนไหนกำเริบเสิบสานเช่นนี้ บังอาจข่มขู่สาวใช้จวนอ๋องเพื่อให้พาไปหาผู้ชาย
และยังเป็นไคหยางอ๋องด้วย!
เว่ยเชียงสาวเท้าเดินเข้าไป เว่ยเฟิงตามไปติดๆ
“ใคร?” เดินอ้อมต้นไม้และดอกไม้ไป เงาสีเขียวอ่อนร่างหนึ่งปรากฏในสายตา เว่ยเชียงถามเสียงขรึม
สตรีเช่นนี้ เขาอยากจะเห็นหน้าจริงๆ
หญิงสาวหันมา งูน้อยลวดลายสีเขียวตัวหนึ่งในมือกำลังแลบลิ้นและเลื้อยไปมา
องค์ชายผู้สำรวมหนักแน่นตกใจ แค่งูตัวหนึ่งเขาย่อมไม่สนใจ แต่เด็กสาวคนหนึ่งจับงูตัวหนึ่งเล่นด้วยสีหน้าปกติ ทำเอาเขาสะเทือนไปไม่น้อย
ผู้ที่ตกใจเช่นกันยังมีเว่ยเฟิง
ช่วยไม่ได้ แม่นางน้อยเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นกัน
ไม่สิ เขาหมายความว่าแม่นางน้อยที่จับงูเล่นเช่นนี้เขาไม่เคยเจอ แต่เขารู้จักแม่นางน้อยตรงหน้าคนนี้!
นี่ไม่ใช่บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือ
ท่านอ๋องน้อยที่ชะงักไปรู้สึกตัวในที่สุด
หลังจากเขาชะงักไปครู่หนึ่ง ลั่วเซิงก็ย่อเข่าคารวะ “องค์รัชทายาท ท่านอ๋องน้อย”
เมื่อนางคารวะเสร็จก็มองทั้งสองคนด้วยสายตางุนงง ความหมายนั้นชัดเจน ‘พวกท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’
เว่ยเชียงกระตุกมุมปากเล็กน้อย พูดเสียงขรึมว่า “เอ่อ ที่แท้ก็คุณหนูลั่วนี่เอง”
เขาเคยเจอบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วท่านนี้ไม่บ่อยนัก แต่กลับจดจำได้อย่างแม่นยำ
ไร้ซึ่งเหตุผลอื่น สตรีที่เที่ยวเล่นและเลี้ยงผู้ชายเช่นนี้มีไม่กี่คนจริงๆ
สายตาของเว่ยเชียงกวาดมองงูน้อยลายสีเขียวที่อยู่บนนิ้วเนียนขาวของหญิงสาวตัวนั้นเงียบๆ ขอเพิ่มอีกข้อหนึ่ง ยังเล่นงูด้วย!
หากจะพูดถึงสตรีที่ไม่กลัวงู อันที่จริงเขารู้จักอยู่คนหนึ่ง…
เว่ยเชียงเม้มปากแน่น ความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตา
สตรีตรงหน้าไม่คู่ควรจะเปรียบเทียบกับนาง
เว่ยเฟิงที่อยู่ข้างๆ อดถามไม่ได้ว่า “คุณหนูลั่วนี่กำลังทำอะไรหรือ”
ขณะที่พูด สายตาของเขายังเหล่มองเจ้างูตัวน้อยเป็นครั้งคราว
พูดตามความจริง เขาไม่กลัวงู แต่เมื่อเห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งเล่นงูเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ
เป็นเพราะอาหารในงานเลี้ยงไม่อร่อยหรือ หรือว่าทิวทัศน์ของจวนอ๋องไม่งดงามพอ คุณหนูลั่วมาไม้ไหนกันแน่
เมื่อได้ยินเว่ยเฟิงถาม ลั่วเซิงก็ยิ้ม นิ้วที่มีงูตัวน้อยพันรอบๆ ชี้ไปที่สาวใช้ “กำลังจะบอกท่านอ๋องน้อยว่า สาวใช้ของจวนท่านไม่รู้ความเลยจริงๆ แค่คำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ ของแขกก็ยังไม่ทำตาม ข้าก็เลยให้เจ้างูตัวน้อยตัวนี้เล่นกับนางเสียหน่อย”
เดิมทีความสนใจของเว่ยเชียงและเว่ยเฟิงถูกลั่วเซิงดึงดูดไปหมด ตอนนี้เพิ่งมีเวลามามองสาวใช้ผู้โชคร้ายคนนั้น
สาวใช้ผู้สวมเครื่องแบบของสาวใช้จวนอ๋องกองอยู่กับพื้น จนตอนนี้ก็ยังแสดงสีหน้าตกใจและหวาดกลัว ใบหน้าที่งดงามขาวซีด
เมื่อได้รับสายตาของเว่ยเชียงและเว่ยเฟิง สาวใช้ตั้งสติได้ในทันที นางรีบหมอบตัวขอโทษ “ทำให้องค์รัชทายาทและท่านอ๋องน้อยตื่นตระหนก บ่าวสมควรตาย!”
หน้าผากนางแนบติดพื้น ทั้งร่างของนางสั่นระริก เห็นได้ชัดว่ายังตกใจกลัวไม่หาย
เว่ยเชียงย่อมไม่พูดกับสาวใช้คนหนึ่งมากมาย เขาเก็บสายตากลับมามองไปที่ลั่วเซิง พูดอ่อนโยนว่า “วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของพระชายา คุณหนูลั่วรีบไปเสียจะดีกว่า”
แม้จะเหยียดหยามสตรีคนนี้ในใจอย่างไร เขาก็ไม่จำเป็นต้องสร้างความบาดหมางกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ลั่วเซิงสบตาเว่ยเชียง ยิ้มหยันในใจ
เว่ยเชียงในอดีตนั้นอ่อนโยน น่าเสียดายที่นางตาบอด คิดว่าเขาอ่อนโยนเพียงกับว่าที่ภรรยาที่หมั้นหมายแต่เด็ก กลับคิดไม่ถึงว่าต่อหน้าสตรีที่ทั้งๆ ที่เขาเกลียดชังแล้วยังสามารถพูดจาอ่อนโยนได้ด้วย
อยากจะโยนเจ้างูตัวน้อยใส่ใบหน้าเสแสร้งสุดฤทธิ์นั่นจริงๆ
ปลายนิ้วของลั่วเซิงขยับเล็กน้อย
เว่ยเชียงขนหัวลุกอย่างไร้สาเหตุ เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว
ลั่วเซิงยิ้มเบาๆ “ออกมาจากฝั่งพระชายาแล้วเพคะ องค์ชายและท่านอ๋องน้อยกำลังจะเข้าไปหรือเพคะ”
“อืม” เว่ยเชียงหงุดหงิดเพราะเสียอาการเมื่อครู่นี้ เขาตอบเสียงราบเรียบ
เว่ยเฟิงอดเตือนไม่ได้ว่า “คุณหนูลั่ว เจ้าปล่อยงูไปเถอะ จะทำผู้อื่นตกใจเอา”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว เผยสีหน้ากระจ่าง “ที่แท้ท่านอ๋องน้อยกลัวงู”
เว่ยเฟิงกระตุกมุมปาก รู้สึกโมโหในใจ
ใครบอกว่าเขากลัวงูกัน!
คุณหนูลั่วคนนี้ไม่รู้จักมารยาทจริงๆ พูดไม่คิด
เว่ยเชียงรู้ว่าน้องชายคนนี้ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เขาจึงห้ามและพูดขึ้นว่า “เว่ยเฟิง เราไปกันเถอะ”
เว่ยเฟิงพยักหน้าข่มอารมณ์โมโห พูดกับลั่วเซิงด้วยใบหน้าบึงตึงว่า “ในเมื่อคุณหนูลั่วออกมาจากฝั่งพระชายาก็รีบกลับไปหาน้องสาวข้าเถอะ พวกนางอาจจะรอจนร้อนใจแล้วก็ได้”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบราวกับไม่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจเลย
เมื่อเดินจากไปไกลแล้ว เว่ยเฟิงก็ก่นด่าด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ไร้กาลเทศะจริงๆ!”
เว่ยเชียงยิ้มๆ “อย่าถือสาแม่นางน้อยคนหนึ่งเลย”
“องค์ชาย ท่านไม่ได้ยินหรือ นางขู่สาวใช้ให้พานางไปหาเสด็จอาเล็ก”
“แล้วอย่างไรเล่า นางก็ไม่ได้เจอมิใช่หรือ” เว่ยเชียงสีหน้ากลับมาเฉยเมย “ถึงจะเจอก็ทำอะไรเสด็จอาเล็กไม่ได้มิใช่หรือ”
เว่ยเฟิงพยักหน้า “ก็ใช่ ฝีมือเช่นนั้นของเสด็จอาเล็ก สตรีคนหนึ่งย่อมไม่สามารถทำอะไรได้ นอกเสียจากว่าเขายินยอม…”
คำพูดที่เหลือหยุดลงกะทันหัน เว่ยเฟิงทำหน้าแปลกๆ
เว่ยเชียงมองเขา
เว่ยเฟิงค่อยๆ สูดหายใจเข้า พูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “องค์ชาย ท่านยังจำเรื่องที่คุณหนูลั่วปลดเข็มขัดของเสด็จอาเล็กกลางถนนใหญ่ได้หรือไม่”
“อืม”
“ท่านคิดว่าคุณหนูลั่วทำได้อย่างไร”
เว่ยเชียงไม่ได้พูดอะไร
เงียบไปครู่หนึ่ง เว่ยเฟิงก็พูดตะกุกตะกักว่า “คะ คงไม่ใช่ที่จริงแล้วเสด็จอาเล็กเต็มใจหรอกนะ”
เว่ยเชียงดวงตาวูบไหวพูดว่า “อย่าเดาซี้ซั้ว อาจจะประมาทไปก็ได้”
“ประมาทหรือ” เว่ยเฟิงส่ายศีรษะ
หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาอาจจะประมาทก็ได้ แต่เสด็จอาเล็กเป็นบุคคลปลายดาบเคยเปื้อนเลือดมาก่อน จะพลาดพลั้งเช่นนี้ได้อย่างไร
บอกว่าเต็มใจยังดูน่าเชื่อถือกว่า
แต่เสด็จอาเล็กชอบคุณหนูลั่ว ความเป็นได้เช่นนี้ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่า
เว่ยเฟิงสงสัยอย่างยิ่ง
ทว่าเว่ยเชียงที่คิดถึงความเป็นไปได้ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ใจเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า
ลั่วเซิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เห็นสองคนนั้นจากไปจนไม่เห็นเงาแล้วก็โยนงูตัวน้อยกลับไปในกอหญ้า พูดราบเรียบว่า “ยังคุกเข่าอยู่ทำไม ลุกขึ้นเถอะ”
งูตัวน้อยที่ได้รับอิสระเลื้อยหนีไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้ลุกขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือด แขนขาอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว
ในตอนแรกนางตกใจกลัวงูที่จู่ๆ เลื้อยมาบนกระโปรงของนาง ต่อมานางเกรงกลัวองค์รัชทายาทและท่านอ๋องน้อย
ตอนที่ร้องอุทานออกมานั้น นางรู้สึกสิ้นหวังไปแล้ว
การถูกจับได้เพราะแอบฟังรัชทายาทและท่านอ๋องน้อยคุยกัน สิ่งที่รอนางมีเพียงความตาย
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูลั่วจับงูน้อยตัวนั้นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอดพ้นวิกฤตได้อย่างง่ายดาย
“แค่งูตัวหนึ่งตกใจร้องโวยวายเช่นนี้ ไม่รู้ความจริงๆ” ลั่วเซิงทำหน้านิ่งเชิดคางขึ้น “นำทางสิ”