ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 75 ดีมาดีตอบ
ตอนที่ 75 ดีมาดีตอบ
ครานี้ลั่วเซิงเดินผ่านภูเขาเทียมบริเวณหนึ่ง เห็นศาลาที่ก่อนหน้านี้ถูกพาไป
มีผู้คนจำนวนมากเดินไปเดินมาในศาลา เสียงดังวุ่นวาย เหมือนกับเกิดบางอย่างขึ้น
ลั่วเซิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้าไป
“คุณหนูลั่วมาแล้ว!” ท่ามกลางสาวรูปงามมากมาย ไม่รู้สตรีสูงศักดิ์ท่านไหนตะโกนออกมา
ทุกคนมองไปพร้อมกัน ทันทีที่เห็นลั่วเซิงก็มีสีหน้าแตกต่างกัน
ลั่วเซิงมองเพียงปราดเดียวก็เห็นลั่วเย่ว์ปิดหน้าตนเองไว้ ดวงตาเมล็ดซิ่งของนางแฝงโทสะ ลั่วฉิงกอดนางไว้ด้วยสีหน้าขาวซีด สาวใช้คนหนึ่งคุกเข่ากับพื้นร่างสั่นเทา
“พี่สาม…” เมื่อเห็นลั่วเซิงเดินมา ลั่วเย่ว์ก็เอ่ยเรียกออกไป ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวแดงขึ้นมาทันใด
“เอามือลง” ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและยังแฝงความรังเกียจจางๆ
ทุกคนส่งสายตาให้กันเงียบๆ
คุณหนูลั่วไม่ใช่คนที่ควรยุ่งด้วย เรื่องนี้พวกนางรู้ดี เดิมคิดว่านางจะออกมาปกป้องเพราะเห็นพี่น้องของตนถูกรังแก แม้จะเพื่อศักดิ์ศรีก็ตาม ตอนนี้เห็นทีจะคิดมากเกินไป
ก็ใช่ คุณหนูลั่วเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ อยู่ในจวนก็ใช้อำนาจเช่นกันแล้วจะออกตัวปกป้องพี่น้องได้อย่างไร
ลั่วเย่ว์ได้ยินคำพูดนี้ก็กัดปากเบาๆ ลดมือลง นางหลุบตาลงเพื่อซ่อนความสิ้นหวังและความเย้ยหยันตนเอง
เมื่อครู่นี้นางต้องเสียสติไปแน่ๆ เห็นลั่วเซิงแล้วจึงคิดว่านางจะออกมาปกป้องตน
สายตาของลั่วเซิงหยุดอยู่ที่ใบหน้าของลั่วเย่ว์
แก้มขวาของลั่วเย่ว์แดงเล็กน้อย เนื่องจากผิวที่ขาวดุจหิมะจึงเห็นรอยฝ่ามือได้ชัดเจนมาก
ลั่วเซิงนัยน์ตาเย็นยะเยือก ถามอย่างสงบว่า “ใครทำเจ้า”
คนคนนี้ย่อมไม่ใช่ลั่วฉิง
ทุกคนมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากลั่วเย่ว์โดยมิได้นัดหมาย
หญิงสาวมีร่างสูงโปร่ง ท่าทางหยิ่งผยอง นางสบตากับลั่วเซิง เม้มปากโดยไม่รู้ตัว
ลั่วเซิงไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร
การที่ไม่มีความทรงจำของคุณหนูลั่วเป็นสิ่งที่น่าปวดศีรษะจริงๆ
แต่คนที่เม้มปากโดยไม่รู้ตัวทันทีที่เจอนาง ฐานะก็คงไม่ได้สูงศักดิ์ไปกว่าท่านหญิงเว่ยเหวิน อีกทั้งอาจจะมีปัญหากับคุณหนูลั่วด้วย
เพียงแค่เวลาสั้นๆ ลั่วเซิงก็คาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้
“เจ้าทำน้องสี่ข้าหรือ” ลั่วเซิงมองหญิงสาวและถามตรงๆ
ปากของหญิงสาวเม้มแน่นเป็นเส้นเดียว “ใช่แล้วจะทำไม”
เว่ยเหวินกลับมาก่อนลั่วเซิง บัดนี้ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพก็ควรต้องก้าวออกมา “คุณหนูลั่ว เหตุการณ์เป็นเช่นนี้…”
ลั่วเซิงขัดจังหวะคำพูดของเว่ยเหวินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงเงียบก่อน”
เว่ยเหวินขมวดคิ้วมองลั่วเซิง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดหมายถึงอะไร
สายตาของทุกคนจับจ้องที่ลั่วเซิง ภายนอกที่ดูเงียบงันมีหัวใจที่กำลังตื่นเต้น
ตราบใดที่ตนเองไม่ใช่ผู้เดือดร้อน การดูผู้อื่นเดือดร้อนคือธรรมชาติของมนุษย์ สตรีสูงศักดิ์ในเหตุการณ์ก็ไม่เว้นเช่นกัน
ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าหญิงสาวทีละก้าว ง้างมือขึ้นตบหน้านางต่อหน้าทุกคน
เสียงที่คมชัดทำให้ทุกคนตกใจ แม้แต่หญิงสาวที่ถูกตบก็อ้ำอึ้ง นางกุมใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึง
ลั่วเซิงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางนวดมือเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้เว่ยเหวิน “ตอนนี้ท่านหญิงพูดได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
เว่ยเหวินตั้งสติได้ พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “คุณหนูลั่ว เจ้าทำแบบนี้ก็เกินไปแล้ว”
ลั่วฉิงตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง “น้องสาม…”
ลั่วเย่ว์มองลั่วเซิงนิ่งน้ำตาไหล ในดวงตากลับเปล่งประกาย
สาวใช้ที่พาลั่วเซิงเข้ามามองหน้าของหญิงสาวด้วยความรู้สึกซับซ้อน มือของคุณหนูลั่วจับงูมานะ…
“ข้าแค่ดีมาดีตอบ คืนของขวัญให้ก่อนค่อยคุยเรื่องอื่น” ลั่วเซิงเหลือบมองสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นเทา พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสนักว่า “ดูเหมือนกับเป็นปัญหาที่สาวใช้ก่อขึ้นเสียอีก”
เว่ยเหวินตกใจ คำพูดตำหนิเหล่านั้นอดกลืนลงไปไม่ได้
คำพูดของลั่วเซิงฟังดูสบายๆ แต่ก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้น
เรื่องที่สาวใช้ทำน้ำแกงหวานหกใส่หน้าของฮูหยินฉางชุนโหวทางฝั่งเสด็จแม่ยังไม่ถูกแพร่งพรายออกมา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปและถูกลั่วเซิงโยงไปถึงสาวใช้จวนอ๋อง ชื่อเสียงของจวนอ๋องจะเสียหาย
ไม่ใช่เรื่องอื่น ดูแลคนใช้ไม่ดีมีแต่จะเสียชื่อเสียง
เว่ยเหวินมองลั่วเซิง
ดวงตาดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วงสงบและลุ่มลึก มองความตื้นลึกไม่ออก
ลั่วเซิงแม้แต่หลานสาวของอัครมหาเสนาบดียังกล้าตบ จะมีอะไรไม่กล้าทำอีก
หญิงสาวที่ถูกตบคือเฉินรั่วหนิงหลานสาวของท่านอำมาตย์เฉิน
หากจะพูดจริงๆ ในราชวงศ์ก่อนอำมาตย์แตกต่างจากอัครมหาเสนาบดีอย่างมาก แต่ในหมู่ประชาชนยังคงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าอำมาตย์หรืออัครมหาเสนาบดี
เว่ยเหวินคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็อดลดน้ำเสียงลงไม่ได้ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าแค่มาเร็วกว่าคุณหนูลั่วเล็กน้อย รายละเอียดให้พี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าจะดีกว่า”
ศาลาเงียบงัน
ดูผู้อื่นเดือดร้อนน่ะดี แต่การเข้าไปเกี่ยวโยงกับความเดือดร้อนของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาด
เว่ยเหวินขมวดคิ้ว
อันที่จริงนางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องบางเรื่องให้นางผู้เป็นเจ้าภาพพูดไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เมื่อคิดเช่นนี้ เว่ยเหวินก็พยักหน้าให้จูหานซวงเบาๆ “หานซวง เจ้าพูดเถิด”
จูหานซวงไม่ถูกกับลั่วเซิงอยู่แล้ว นางจึงไม่ได้สนใจมากนัก เอ่ยปากพูดว่า “ก่อนหน้านี้ทุกคนกำลังดื่มชา สาวใช้คนนี้ยกผลไม้จานหนึ่งมาให้คุณหนูรองลั่ว ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็เกิดลื่นจนจานหลุดจากมือ คุณหนูสี่ลั่วเข้ามาปกป้องคุณหนูรองลั่วด้วยการปัดจานใบนั้นออกไป ผลไม้จึงกระเด็นใส่ตัวของคุณหนูใหญ่เฉิน”
จูหานซวงพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มๆ “ผลไม้กระเด็นใส่คุณหนูใหญ่เฉินทั้งตัว แต่คุณหนูสี่ลั่วกลับไม่ขอโทษ คุณหนูใหญ่เฉินโมโหตบคุณหนูสี่ลั่ว เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
ลั่วเซิงฟังจูหานซวงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ้มหยันในใจ
คำพูดของจูหานซวงฟังดูไม่มีปัญหาอะไร ในความเป็นจริงนางโยนความผิดให้ลั่วเย่ว์
ผลไม้ตกกระเด็นไปโดนคุณหนูใหญ่เฉินโดยไม่ตั้งใจกลับไม่ขอโทษ ฟังอย่างไรลั่วเย่ว์ก็เป็นคนผิด
เปรียบเทียบกันแล้ว คุณหนูใหญ่เฉินโมโหจึงลงไม้ลงมือ กลับกลายเป็นว่ามีเหตุผล