ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 81 มีฆาตกรสองคน
ตอนที่ 81 มีฆาตกรสองคน
จูหานซวงเดินกลั้นลมหายใจพยายามก้าวเดินอย่างสง่างามที่สุด นางค่อยๆ เดินไปข้างหน้าเว่ยหาน ย่อเข่าให้เล็กน้อยอย่างเขินอายเจือเกรงกลัว “คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
แก้มที่แดงระเรื่อของหญิงสาวทำให้เว่ยหานอดเหลือบมองลั่วเซิงไม่ได้
เห็นทีความคิดของเขาคงถูกต้อง คุณหนูลั่วต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ
นางเคยทำหลายสิ่ง แต่ไม่เคยเห็นนางหน้าแดงเลย
“คุณหนูจูดูเสร็จหรือยัง” ลั่วเซิงถามอมยิ้ม
จูหานซวงพลันหน้าร้อนผ่าว ประหม่าจนเหงื่อออกที่ฝ่ามือ
นางไม่อยากทำตัวเกร็งเช่นนี้ ปกติแล้วนางเป็นคนกล้าดุด่าและโมโห ไม่เช่นนั้นก็คงไม่แสดงความเป็นปรปักษ์กับลั่วเซิงอย่างเปิดเผย แต่เมื่อยืนต่อหน้าเว่ยหานหัวใจนางก็เต้นระรัวราวกับตีกลอง เหมือนกับว่าจู่ๆ ภูเขาลูกหนึ่งหล่นทับหัวใจนาง
เพราะว่าใส่ใจมากเกินไปจึงไม่สามารถทำตัวเป็นธรรมชาติได้
“ดูเสร็จแล้ว” จูหานซวงลอบสูดหายใจ พยายามสงบอารมณ์ลง
นางไม่เคยยืนใกล้เขาเช่นนี้มาก่อน ทว่าภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง นางอยากจะมองเขาอีกสักเล็กน้อยก็มิอาจทำได้
นางไม่ใช่สตรีไร้ยางอายเช่นลั่วเซิง เห็นคนที่ชอบก็เอาตัวเข้าแลก
“เช่นนั้นกริชในมือของท่านอ๋องใช่ของข้าหรือไม่”
สายตาของจูหานซวงหยุดอยู่ที่มือที่ถือกริชเล่มนั้น
มือของเขาขาวเนียนเรียวยาวและสะอาดสะอ้าน เมื่อถูกกริชที่ประกายระยิบระยับสะท้อนก็ทำให้นางมิอาจละสายตาไปได้
มือของเขางดงามจังเลย
จูหานซวงเงยหน้ามองเว่ยหานด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบหลุบตาลงอีกครั้ง นางลังเลในใจครู่หนึ่งตอบว่า “ใช่ของคุณหนูลั่วเจ้าค่ะ”
นางอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ถึงอย่างไรบนกริชก็ไม่มีชื่อลั่วเซิงสลักไว้ แม้กริชฝังอัญมณีพบได้น้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
แต่ลั่วเซิงบอกแล้วว่านางมอบกริชให้ไคหยางอ๋อง ไคหยางอ๋องก็ยอมรับ หากนางปฏิเสธ นางจะไม่กลายเป็นหญิงชอบพูดปดในใจของเขาหรือ
นางไม่อยากให้เขามีความรู้สึกเกี่ยวกับนางเช่นนั้น
เพราะเหตุนี้ แม้นางจะไม่เต็มใจก็ต้องยอมรับ
เมื่อคิดเช่นนี้ จูหานซวงมองไปที่ลั่วเซิง เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจคู่หนึ่ง
จูหานซวงอดโมโหไม่ได้ นังคนเลวนี่จงใจชัดๆ!
ลั่วเซิงไม่สนใจว่าจูหานซวงจะโมโหอย่างไร เมื่อเห็นนางยอมรับกับปากแล้วก็ยิ้มให้เสนาบดีจ้าว “ท่านเสนาบดีจ้าว กริชที่แทงคุณหนูใหญ่เฉินตายไม่ใช่ของข้า เช่นนั้นข้าจะพ้นข้อสงสัยได้หรือยังเจ้าคะ”
“ย่อมได้ ย่อมได้” เสนาบดีจ้าวผู้ไม่ถนัดไขคดีพยักหน้าหงึกๆ
“เสนาบดีจ้าว!” อำมาตย์เฉินที่ปกติหนักแน่นดั่งภูเขาโมโหจนขึ้นเสียงสูง “เรื่องนี้อย่างมากที่สุดก็บอกได้เพียงว่าคุณหนูลั่วเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกับแม่นางน้อยทั้งหมดที่อยู่ในสวนแห่งนี้ จะกลายเป็นว่านางพ้นข้อสงสัยทั้งหมดได้อย่างไร คุณหนูลั่วมอบกริชให้ไคหยางอ๋องก็จริง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าหลังจากนั้นนางซื้อกริชอีกเล่มหนึ่งหรือไม่”
เสนาบดีจ้าวพยักหน้าหงึกๆ “ท่านอำมาตย์เฉินพูดมีเหตุผล”
ทุกคน “…”
“กริชหนึ่งเล่มสามพันตำลึง คิดจะซื้อก็ซื้อรึ” สือเยี่ยนพึมพำ
หืม?
ทุกคนมองไปยังองครักษ์น้อยที่ส่งกริชมาให้
เมื่อสายตาเยือกเย็นของนายท่านจวนตนมองมา สือเยี่ยนก็ก้มศีรษะลงเงียบๆ
ผิงหนานอ๋องในฐานะที่เป็นเจ้าภาพ ในที่สุดก็มีโอกาสพูดแทรกแล้ว “แค่กๆ เสนาบดีจ้าว แม่นางน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นบุตรสาวของจวนต่างๆ ต้องตัดสินคดีอย่างรอบคอบและระมัดระวัง”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของพระชายา ช่างโชคร้ายจริงๆ
ลั่วเซิงรอจนผิงหนานอ๋องพูดเสร็จแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเสนาบดีจ้าวฉลาดเฉียบแหม ท่านไม่กล่าวหาผู้บริสุทธิ์อย่างไม่ยุติธรรมและปล่อยผู้กระทำผิดที่แท้จริงลอยนวล”
นางพูดพลางมองเว่ยเหวินอย่างเลื่อนลอย “ถึงอย่างไรท่านหญิงก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ผิงหนานอ๋องหน้าแข็งทื่อ
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าบุตรสาวตนก็เป็นผู้ต้องหาหนึ่งในนั้น!
พระชายาผิงหนานอ๋องที่เร่งเดินมาถึงสวนตั้งแต่ที่ทราบข่าวก็อดตำหนิไม่ได้ “คุณหนูลั่ว อย่าพูดซี้ซั้ว”
ลั่วเซิงหันไปสบตากับพระชายาผิงหนานอ๋อง ไม่ลดละท่าทีลงเลย “ข้าขอให้เสนาบดีจ้าวตรวจสอบให้ละเอียด อย่ากล่าวหาผู้บริสุทธิ์ อยากถามพระชายาว่าคำพูดไหนซี้ซั้วหรือเจ้าคะ”
พระชายาผิงหนานอ๋องถูกถามดังนั้นก็ชะงักงัน ลอบด่านังหนูน้อยฝีปากกล้า รับมือยากจริงๆ
ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ พระชายาผิงหนานอ๋องจะโมโหอย่างไรก็ไม่ควรแสดงออกมา ได้แต่แสดงความอ่อนโยนและรอยยิ้ม “ขอให้ท่านเสนาบดีจ้าวตรวจสอบอย่างละเอียดนั้นย่อมไม่ผิด เพียงแต่ว่าเหวินเอ๋อร์เป็นเด็กดีมาโดยตลอด คุณหนูลั่วอย่าดึงนางเข้ามาเกี่ยว จะทำให้นางตกใจเอา”
พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มอธิบาย ถือว่าไว้หน้าหญิงสาวไม่น้อย
ลั่วเซิงจะรับไว้หรือ
แน่นอนว่านางไม่รับ
นางมองหญิงสาวสูงศักดิ์ที่อยู่รอบๆ ยิ้มบางๆ “แม่นางในนี้ล้วนเป็นสตรีสูงศักดิ์ คิดว่าทุกคนก็เป็นเด็กดีทั้งนั้น”
ทุกคนที่เดิมทีไม่ได้รู้สึกดีกับคุณหนูลั่วเท่าไร บัดนี้อดพยักหน้าไม่ได้
นั่นน่ะสิ ใครไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ที่เชื่อฟังและเป็นเด็กดีเล่า
คุณหนูใหญ่เฉินตายแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนตกเป็นผู้ต้องสงสัย เหตุใดท่านหญิงน้อยจึงไม่เกี่ยวข้อง
ท่านหญิงมีสถานะสูงส่งกว่าพวกนางก็จริง หากจะตรวจสอบก็คงตรวจสอบไปถึงตัวท่านหญิงจริงๆไม่ได้ เรื่องแบบนี้รู้และเก็บไว้ในใจก็พอ ดันทุรังพูดออกมามีแต่จะทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ
ผิงหนานอ๋องเห็นลมเปลี่ยนทิศ รีบพูดว่า “พระชายาอย่าพูดอีกเลย ให้เสนาบดีจ้าวตรวจสอบก่อนดีกว่า”
เสนาบดีจ้าวปวดศีรษะแทบจะระเบิด เขาไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนนี่!
ในขณะที่เสนาบดีจ้าวปวดศีรษะอยู่นั่นเอง ลูกน้องที่มีความสามารถที่เขาส่งคนไปเรียกในที่สุดก็มาถึง
ผู้ที่มาคือชายหนุ่มสีหน้าจริงจังคนหนึ่ง
“ใต้เท้า…”
เสนาบดีจ้าวโบกมือ “รีบไขคดี”
ชายหนุ่มทราบคดีแล้ว เขาเดินไปที่พุ่มดอกโบตั๋น
จนถึงบัดนี้ ร่างของเฉินรั่วหนิงไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายเลย ส่วนร่างของสาวใช้ที่อยู่ในสวนไผ่ถูกยกมาที่นี่แล้ว
ชายหนุ่มคุกเข่าลง ตรวจสอบศพทั้งสองอย่างละเอียด
ทุกคนเงียบไม่พูดไม่จา สตรีสูงศักดิ์จำนวนหนึ่งที่เห็นชายหนุ่มยื่นมือไปสัมผัสบาดแผลบริเวณท้องก็หน้าซีด
ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะสูงส่งเพียงใด เมื่อตายไปจะเจออะไรล้วนไม่สามารถควบคุมได้เลย
ดีจังที่มีชีวิตอยู่ ฆาตกรบัดซบนั่น!
ในสวนเงียบงัน แม้แต่เสียงซุบซิบก็ไม่มี
สิ่งที่ต้องพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับลูกน้องของเสนาบดีจ้าวว่าจะตรวจสอบอะไรได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ชายหนุ่มกลับไปยืนข้างหน้าเสนาบดีจ้าวอีกครั้ง ประสานมือกล่าวว่า “ผู้ตายทั้งสองถูกกริชแทงตาย แต่หลังจากการตรวจสอบบาดแผลของผู้ตายทั้งสองแล้ว ข้าน้อยคาดว่าฆาตกรไม่ใช่คนๆ เดียวกันขอรับ”
“อะไรนะ” ทันทีที่คำพูดของเขาดังขึ้น ทุกคนตกใจ จู่ๆ เสียงก็ดังเซ็งแซ่
มีฆาตกรสองคน? นี่มันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ!
เหล่าสตรีมองหน้ากันไปมา สีหน้ายิ่งย่ำแย่
มีฆาตกรปรากฏตัวในงานรวมตัวเล็กๆ นี้ก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว ฆาตกรยังมีถึงสองคน!
“เหตุใดจึงคาดว่ามีฆาตกรสองคน” เสนาบดีจ้าวรีบถาม
ชายหนุ่มตอบ “แม้ผู้ตายทั้งสองจะถูกกริชแทงตายเหมือนกัน แต่องศาการแทงบนร่างของทั้งสองกลับสลับกัน คนที่แทงสาวใช้ตายน่าจะเป็นผู้ถนัดซ้าย…”
ผู้ถนัดซ้าย?
เมื่อมีข้อสรุปเช่นนี้ เหล่าสตรีก็อดใช้ความคิดอย่างหนักไม่ได้
ในบรรดาพวกนาง ใครชอบใช้มือซ้ายนะ
อาจจะเป็นเพราะพวกนางถูกกระทบกระเทือนมากเกินไป จิตใจของพวกนางจึงสับสนว้าวุ่นอย่างยิ่ง ไม่สามารถคิดอะไรออกได้เลย
ครานี้ลั่วเซิงเอ่ยขึ้นว่า “แน่ใจหรือว่าฆาตกรที่แทงสาวใช้ตายถนัดซ้าย”
“ขอรับ” ชายหนุ่มพยักหน้า
“ข้ารู้จักคนถนัดซ้ายคนหนึ่ง” ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ