ปล้นสวรรค์ - 134 ตาแก่ใจร้อน
SPH:บทที่ 134 ตาแก่ใจร้อน
ฉีฉวนเหรินมองไปที่หวูใต้ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตะโกนออกมาว่า ”ตาแก่หวู อย่าเพิ่งเก็บภาพวาดเก้ามังกรทยานฟ้าที่นายตั้งใจวาดล่ะ ฉันกําลังเข้าไปที่นั่น นายอยากให้ฉันเห็นมันด้วยตาเปล่าด้วยใช่มั้ยล่ะ ”
หวูไต้ขบเม้มริมฝีปากของเขา “ตาแก่ฉีพูดเป็นเล่นไป นายไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งหรือไงล่ะ อย่างน้อยๆถ้านายจะมาที่เมืองหมิงโจว ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน!”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ฉีฉวนเหรินได้พูดแทกขึ้นมามาด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย ” ตามนั้นแหละ อย่างเพิ่งเก็บ กําลังไป!”
“ตุ๊ด…ตู๊ด …”
หวูไต้ที่ยังพูดไม่จบประโยคเขาเห็นว่า ฉีฉวนเหรินได้วางสายวิดีโอไปเสียแล้ว
“ตาแก่คนนี้นิ!” “ ใจร้อนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!” หวูไต้เอ็ดเขาด้วยรอยยิ้ม
“เย่หยู่ นั่งก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะต้องบอกให้เธอรู้”
หวูไต้กวักมือเรียกเย่หยู่ที่กําลังยืนอยู่ให้นั่งลงแล้ว พูดพร้อมกับรอยยิ้ม
เย่หยูพยักหน้าตอบเขาและนั่งลงบนโซฟารับแขก หลังจากนั้นเขาได้ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “อาจารย์หวู่มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ”
หวูไต้โบกมือของเขาพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้เย่หยู่ ไม่ต้องกลัว มันเป็นข่าวดีสําหรับเธอเลยนะ การแข่งขันพรินซ์ตันน่ะที่ฉันเคยบอกเธอไง การแข่งนี้กําลังจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า และผู้เข้าแข่งขันจะต้องไปเข้าร่วมที่ปักกิ่ง แน่นอนว่าพวกเราเองก็กําลังจะออกเดินทางไปที่นั่นด้วยกัน”
เย่หยู่พยักหน้ารับด้วยความเข้าใจในความหมายของอาจารย์ของเขาและพูดตอบว่า “ครับ ไม่มีปัญหา! ผมพร้อมแล้ว”
เมื่อได้ยินคําตอบของอีกฝ่าย หวูไต้จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา และจิบน้ำในถ้วยไปหนึ่งอีก เขาได้ถามเย่หยู่ด้วยความสงสัยที่ยังค้างคาอยู่ใจว่า “นี่เธอกลายเป็นปรมาจารย์แห่งการวาดภาพตั้งแต่อายุเท่านี้ได้อย่างไร? คือเธอฝึกฝนมันอย่างหนัก แล้วก็ฝึกมันไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรอ?””ยังไงกัน?”
เย่หยู่ได้พึมพํากับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเขาว่า “อาจจะเป็นพรสวรรค์!”
จู่ๆใบหน้าของหวูไต้จากที่คาดหวังในคําตอบได้เปลี่ยนเป็นมืดมนและหม่นหมองขึ้นมาในทันที่ที่ได้ยินคําตอบของเขา คําตอบนี้ช่างเป็นคําตอบที่ฟังแล้วน่าเจ็บใจยิ่งนัก! )
ครืน …
เสียงของใบพัดดังขึ้นเหนือโรงเรียนมัธยมเซียงหยู่
นักเรียนบางคนเงยหน้าขึ้นไปมองมัน ต่างอุทานออกมา
“ดูนั่น เฮลิคอปเตอร์!”
“จริงด้วยๆ ! ดูๆ มันกําลังลงจอดบนอาคารโรงเรียนแล้ว!”
“ใครกําลังมาอ่ะ” “ตื่นเต้นจังเลย!”
ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดได้สําเร็จ ประตูเครื่องได้เปิดออกและปรากฏร่างของชายชราตัวผอมที่มีเส้นผมสีขาวกําลังเดินออกมา
“เขาคือผู้อาวุโสฉี!”
ฮันเสวี่ยที่กําลังนั่งอยู่ในห้องเรียนของเธอนั้น เธอเห็นฉีฉวนเหรินเดินออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ผ่านทางหน้าต่างห้อง
“ทําไมผู้อาวุโสฉีถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” แล้วทําไมเขาต้องนั่งเครื่องบินมาด้วยนะ”
ฮันเสวียนึกสงสัยอยู่ในใจ จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ฉีฉวนเหรินถึงได้นั่งเครื่องบินมาที่นี่
เย่หยู่และคนที่ไม่ได้สนใจผู้มาใหม่กําลังนั่งสนทนากันอยู่ที่ออฟฟิซ
ไม่นาน หูของเยี่หยู่ก็ได้ยินเสียงของใบพัดที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านนอก
“เสียงเฮลิคอปเตอร์เหรอ?”
เย่หยู่แสดงท่าที่งุนงงเล็กน้อย ทําไมถึงมีเฮลิคอปเตอร์จอดบนอาคารเรียนของโรงเรียนได้
แกร๊ก!
โดยไม่รอช้าเย่หยู่ลุกขึ้นยืนและต้องการที่จะไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทันใดนั้นประตูออฟฟิซก็เปิดออกในทันที
“ตาแก่หวูตาแก่หวู! ไหนภาพอยู่ไหน เอามาให้ฉันดูเร็วๆสิ!”
ฉีฉวนเหรินเจ้าเข้ามาในออฟฟิสอย่างเร่งรีบและตะโกนอย่างกระวนกระวาย
“ตาแก่ฉี!” “ทําไมถึงอยู่ที่นี่!”
หวูไต้อุทานเมื่อเขาเห็นฉีฉวนเหริน
ฉีฉวนเหรินเดินไปที่โต๊ะของหวูไต้อย่างรีบร้อนและพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกนายเหรอ?
หวูไต้ยกมือก่ายหน้าฝากของตัวเองเขาพูดออกมาเหมือนคนปวดหัวว่า “ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนายยังอยู่ในปักกิ่ง แต่ตอนนี้นายมาปรากฏตัวในออฟฟิซของฉันมันไม่เร็วไป หน่อยหรอ”
ฉีฉวนเหรินเจ้าจ้องมองไปที่ภาพเก้ามังกรทยานฟ้าบนโต๊ะโดยไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เขาตอบคําถามของหวได้ว่า “ฉันบินมาจะไม่เร็วได้ยังไง”
“เครื่องบิน?” หวูไต้อุทาน “ตาแก่ฉีนี่บินมาจริงๆเรื้อะ! เครื่องบินส่วนตัวซะด้วย!”
ฉีฉวนเหรินโบกมือของเขา “ ก็แค่เครื่องบินไม่เห็นมีอะไร เลยถ้ามีจรวดฉันก็คงมาด้วยจรวดแล้ว!”
หวูไต้พูดด้วยท่าทางที่ลําบากใจ ” ตาแก่ฉีทําไมถึงใจร้อนแบบนี้!” มันไม่ใช่แค่ภาพวาดหรือไง? ฉันรู้นะจะต้องมีอะไร สักอย่างแน่ รออีกสักวันสองวันค่อยมาไม่ได้ไง!”
“นายจะไปรู้อะไร! ภาพวาดนี้เป็นกุญแจสําคัญที่จะทําให้ฉันได้เป็นปรมจารย์เลยนะ”
“โอ้…” หวูไต้อ้าปากค้างเขาหันไปมองที่เย่หยู่ด้วยความตะลึงแล้วพูดว่า “ลายเส้นนี้มันสําคัญจริง ๆ เหรอ?”
“แน่นอน!” ฉีฉวนเหรินพูดว่า “ภาพวาดของบรรพบุรุษ แม้ว่าจะสร้างขึ้นโดยผู้เชียวชาญเมื่อวันเวลาผ่านไปเสน่ห์ของภาพก็จะเลือนลางตามไปด้วยแต่กับภาพนี้มัน ช่างแตกต่างลายเส้นนี้เมื่อมองดูแล้วกลับรู้สึกเหมือนมองภาพที่เพิ่งวาดใหม่!
ฉีฉวนเหรินมองที่ภาพวาดด้วยสายตาที่เร่าร้อน “เมื่อฉัน เข้าใจลายเส้น ฉันเชื่อว่าฉันสามารถเป็นปรมาจารย์ได้!”
ออฟฟิซของหวูใต้
เงียบ
ฉีฉวนเหรินก้มลงไปที่โต๊ะและจ้องไปที่ภาพวาดตรงหน้าเขา นั่นก็คือดวงตาของมังกร
หลังจากนั้นไม่นาน ฉีฉวนเหรินเจ้าหยุดการกระทําทุกอย่างและยืนนิ่งๆ เขาหลับตาลงและใช้ความคิด
หวูฝผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆเขานั้นไม่เข้าใจการกระทําของอีกฝ่าย เขาต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา
เมื่อเย่หยู่เห็นท่าทีดังนั้น เขาได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามเขาเอาไว้แล้วชี้ไปทางฉีฉวนเหรินเพื่อส่งสัญญาณให้หวใต้นั้นอยู่นิ่งๆสักครู่
เวลาได้ผ่านไปแล้วถึงครึ่งชั่วโมง ฉีฉวนเหรินได้ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เขารู้สึกราวกับมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา “วิธีนี้ แหละ!” เขาพึมพํา “ในที่สุดฉันก็พบวิธีที่จะทําให้ฉันได้เป็นปรมจารย์แล้ว!”
ฉีฉวนเหรินหันหลังกลับมามองเหยู่และก็โค้งคํานับขอบคุณ “ขอบคุณอาจารย์เย่สําหรับคําอธิบาย!”
เย่หยุตกใจในท่าทีของเขาและรีบเข้าไปหยุดฉีฉวนเหรินไว้ เย่หยู่พยุงเขาขึ้นมา“ ผู้อาวุโสณีเกิดอะไรขึ้นนี่ช่างเป็นโชคร้ายจริงๆ!”
ฉีฉวนเหรินได้มองไปที่เย่หยู่ในสายตาของเขาได้ปรากฏคําว่าขอบคุณ เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “ชายชราคนนี้ขอให้ ฉันเรียกคุณว่าเพื่อนตัวน้อย” “เพื่อนตัวน้อยลายเส้นนี้ไม่เพียงสมบูรณ์ แต่มันกําลังทําให้ฉันก้าวผ่านคอขวดได้!”
เย่หยู่เข้าใจในความหมายของฉีฉวนเหรินสําหรับคนที่ไม่มีความหวังที่จะก้าวต่อไปแม้ความหวังนั้นจะน้อยนิดเพียงใด แต่นั่นก็นับว่าเป็นสมบัติ!
เย่หยู่จับแขนของ ฉีฉวนเหรินเขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การได้ช่วยเหลือผู้อาวุโสณีนั้นถือเป็นเกียรติของเด็กน้อยคนหนึ่ง”
ฉีฉวนเหรินหัวเราะออกมาและหันไปหาหวูไต้” ตาแก่หวู! ไหนๆฉันกับนายก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี ขอฉันมีส่วนร่วมในรูปเก้ามังกรทยานฟ้าด้วยสิ”
หวูไต้หยุดดูรูปภาพบนโต๊ะ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
” ตาแก่ฉี ไม่ต้องทําตัวสุภาพขนาดนั้นก็ได้ถ้ามันมีประโยชน์กับนาย ก็เอาไปสิ”
“ แต่…” หวูไต้ลังเลที่จะพูดต่ออยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วเขาก็ได้ พูดต่อจนจบประโยคว่า “ แต่ส่วนที่สําคัญที่สุดของภาพเย่หยู่นั้นเป็นคนวาดมัน ฉันคิดว่ามันควรเป็นของเขา!”
ฉีฉวนเหรินหันไปทางเหยู่และมองเขาด้วยความคาดหวัง “เพื่อนตัวน้อยภาพผืนนี้สําคัญกับชายชราคนนี้ยิ่งนัก มันเป็นไปได้ไหมที่”
เย่หยู่ที่ได้ยินไม่จบประโยคได้หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาตอบฉีฉวนเหรินว่า “ถ้าผู้อาวุโสฉีชอบก็เอาไปเถอะครับ! และผมหวังว่าจิตรกรคนอื่นๆจะได้เห็นมันด้วยนะครับ!”
ฉีฉวนเหรินตกตะลึงครู่หนึ่ง ต่อมาดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่เขาพูดอย่างตื่นเต้น “ ขอบคุณอีกครั้งนะเพื่อนตัวน้อย!”
ฉีฉวนเหรินหันหลังกลับไปหยิบภาพวาด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ค้นหารายชื่อผู้ติดต่อและกดโทรออก
“เฮ้!” “ฉันเองฉีฉวนเหริน!”
ฉีฉวนเหรินถือโทรศัพท์ไว้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “ฉันมีเรื่องที่ต้องการให้นายจัดการให้โดยเร็วที่สุด!”
เย่หยู่ได้ยินเสียงจากปลายสายของโทรศัพท์ “ได้ตามที่คุณต้องการ ผมจะจัดการเรื่องนี้ในทันที!
ฉีฉวนเหรินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โอนโรงแรมอี้หยุ่นฉวนที่เหยียนจิง ให้คนอื่น!”
ปลายสายโทรศัพท์เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะมีคําถาม ถามด้วยความสงสัย “ขอถามได้ไหมครับว่าต้องการโอนไปให้ใคร”
“เย่หยู่!”
“เข้าใจแล้วครับ!” ผมจะจัดการให้คุณในทันที! ”
“อืม!” “อย่าช้าล่ะ!”
ฉีฉวนเหรินวางสายโทรศัพท์และหันไปส่งยิ้มให้เย่หยู่ “เพื่อนตัวน้อยฉันไม่รู้จะตอบแทนเธอยังไง ถือว่านี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากฉันแล้วกันนะ!”
เมื่อหวูไต้ได้ยินดังนั้นเขาได้อุทานออกมาด้วยความตกใจ หลังจากนั้นเขาก็พูดกับฉวนเหรินว่า ” ตาแก่ฉี นายช่างมีน้ำใจ!”
“โรงแรมอี้หยุ่นฉวนเป็นโรงแรมที่ลูกชายมอบให้นายใช่ไหมล่ะ นั่นเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในปักกิ่งทํากําไรหลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี! นายจะยกให้เขาจริงๆเหรอ”
ฉีฉวนเหรินโบกมือไปมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับความช่วยเหลือของเพื่อนน้อยเย่หยู่ สมบัติเหล่านั้นถือว่าเล็กน้อย!”
บนใบหน้าของเย่หยู่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา “ผู้อาวุโสณีนี่ความหมายว่ายังไง ผมไม่ได้วาดภาพนี้ให้คุณ!”
ฉีฉวนเหรินเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของเย่หยู่ เขาจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลน่าฟังมากกว่าเดิม “เพื่อนตัวน้อยอย่าถือโทษโกรธฉันเลยนะ ฉันรู้ว่าเธอไม่สนใจสิ่งเหล่านี้”
“แต่ตอนนี้นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้สิ่งเดียวที่ฉันมีก็คือกระดูกเก่าๆที่ใกล้จะผุพังอยู่ลอมล่อ เธอต้องการให้ฉันคุกเข่าให้และขอบคุณไหม”
หลังจากฉีฉวนเหรินกล่าวจบประโยคเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยู่ในทันที
ทันใดนั้นเย่หยู่รีบเข้าไปหยุดฉีฉวนเหรินไว้ในทันทีและ กล่าวขอโทษว่า “ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าทําแบบนี้มันเป็น ความผิดของผมเอง! ผมยินดีรับน้ำใจจากคุณ!”
เมื่อได้ยินประโยคที่เขาคาดหวังไว้ ฉีฉวนเหรินได้ลุกขึ้น ยืนตรงในทันที่เขาได้หัวเราะออกมา “ ฮ่าฮ่า…เพื่อนตัว น้อยเธอยังเด็กอยู่เลยถ้าฉันไม่ใช้ไม้นี้ เธอก็คงไม่ยอมรับมันหรอก!”
เมื่อมองดูใบหน้าที่ที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจของฉีฉวนเหริน เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเหยู่ที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นกําลังฝืนยิ้มอยู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน! ของขวัญชิ้นนี้ต้องยอมรับด้วยความจําใจ!