ปล้นสวรรค์ - 302 รู้แจ้ง
SPH:บทที่ 302 รู้แจ้ง
การรู้แจ้งนี้มันคืออะไร?
เข้าใจได้ในทันที!
นี่มันเป็นสภาวะที่ลึกลับเป็นอย่างมาก
คนทั่วไปคงไม่มีทางได้พบไปตลอดชีวิตแน่ และที่พวกเขาพบนั้นช่างอัจฉริยะจนหาใครเปรียบไม่ได้!
ในบรรดานักสู้ในเมืองนี้ จํานวนนักสู้ที่สามารถสัมผัสแห่งช่วงเวลาในการรู้แจ้งนี้นับได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ํา! พวกเขาพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด! แล้วเข้าใจอย่างถ่องแท่?
ฮ่าฮ่า คิดมากเกินไปแล้ว!
ถ้าเขาอยู่ในช่วงรู้แจ้ง ทําไมต้องทดสอบอีกครั้งล่ะ?
มันเป็นเพราะหลี่อี้เฉินเชื่อว่าเย่หย มาถึงขั้นการรู้แจ้งเขาจึงได้หยุดฉีหยู กันเขาไม่ให้ไปรบกวนเย่หย
“เด็กดี!”
หลี่อี้เฉินมองเย่หยูด้วยสายตาที่พอใจ เขาไม่เคยคิดว่าเย่หยูจะโชคดีพอที่จะไปถึงขั้นรู้แจ้ง
“เมื่อถึงเวลาที่เขาตื่น เขาจะมีความเชี่ยวชาญเทคนิคการใช้ดาบเป็นอย่างมาก”
“ด้วยช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งนี้ การฝึกสอนของฉันก็จะราบรื่นขึ้น ฉันไม่คิดว่าก่อนเลยว่าจะมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้!”
หลี่อี้เฉินมองเย่หยู ยิ่งเขามองก็ยิ่งทําให้เขาพอใจยิ่งขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะลูบเคราเบาๆพร้อมยิ้มยกมุมปาก
ฉีชิงและคนอื่นๆไม่กล้ารบกวนเย่หย พวกเขาทําได้เพียงยืนอยู่ข้างหลังหล่อเฉินและมองเขาด้วยความอิจฉา ริษยาไกลๆ
“ท่านพ่อ ท่านคิดอย่างไรกับการรู้แจ้งอย่างฉับพลันนี้?”
” ท่านอาวุโสหลี่เพียงแค่อยากจะตบผมลงพื้นและเขียผมไปให้ไกลใช่ไหม!”
ฉีหยุไม่กล้าเอาเรื่องกับหลอี้เฉิน ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงบ่นกับฉีชิงเท่านั้น
“นายไม่เข้าใจ!”
ซึ่งส่ายหน้าและถอนหายใจ
“มันไม่ผิดหรอกที่ศิษยพี่หล่อยากจะเขียนายไปให้ไกล!”
“สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ในการรู้แจ้งอย่างฉับพลันนั้นคือโอกาสที่หาได้ยาก! หากนายจะทําลายการรู้แจ้งของเย่หยู ฉันเกรงว่าท่านอาวุโสหลีก็มีใจที่อยากจะฆ่านาย!”
ฉีหยหดคอลงเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้นและแอบยินดีอยู่ในใจ
“อ่า หากฉันบรรลุการรู้แจ้งครั้งสัก ฉันเกรงว่าผู้อาวุโสหลื่อาจจะยอมรับฉันเป็นศิษย์?”
ฉีหยูมองเย่หยูอย่างอิจฉาขณะพึมพํากับตัวเอง
“ชิ! นายอยากจะบรรลุการรู้แจ้งหรอ? คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆหรอ!”
เมื่อซึ่งเหมิงได้ยินเสียงฉีหยูเขาก็ยกริมฝีปากอย่างเหยียดหยาม
หน้าหยูแดง เขายืดคอตัวเอง
“มีอะไรผิดปกติหรอ?ฉันก็แค่พูดอย่างที่คิด!”
ซึ่งเหมิงจ้องฉีหยูและพูดกับเขาอย่างดูถูกว่า
“ผู้ฝึกสอนการต่อสู้บางคนสามารถทําความเข้าใจได้น้อยกว่าห้าส่วน!และบุคคลเหล่านี้ก็มีชื่อเสียงเป็นอย่าง มาก!”
“เทียนถั่ว ผู้นําลัทธิเต๋ !” ปรมาจารย์ตระกูลสารพัดพิษ ปรมาจารย์แห่งพิษ เฉียนเย่ ผู้สืบทอดของนกฟินิกส์แห่งหุบเขาปีศาจ! รวมไปถึงลุงผู้กล้าหาญของฉันด้วย ตอนนี้มีเพียงพวกเขาแค่สี่คนเท่านั้น นายยังกล้าพูดอีกหรอว่าจะสามารถเปรียบเทียบกับคนพวกนี้ได้?”
“ฉัน…ฉัน…”
ฉีหยูหน้าซีดเมื่อได้ยินคําถามของซึ่งเหมิงเขาอ้าปากค้าง แต่ไม่มีคําพูดใดออกมา ซึ่งเหมิงหันหน้าออกจากฉีหยูและไม่สนใจเขาอีกต่อไป แต่กลับมาจ้องเย่หยูแทน เขาจ้องด้วยแววตาแห่งความตื่นเต้น
“ฮ่าฮ่า!”
“เย่หยูจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต!”
“ฉันเคยเป็นผู้ฝึกสอนเขา ถึงแม้ว่าฉันจะสอนหมัดปาเจี้ยให้เย่หยุเพียงวันเดียว แต่นั้นก็ถือว่าสอนใช่ไหม?”
“เหอะเหอะ! ไม่ว่าความสําเร็จในอนาคตของเย่หยูจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงต้องเรียกฉันว่าอาจารย์ซึ่ง!”
เมื่อคิดได้แบบนี้ ซึ่งเหมิงก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาในทันที
เขาฉีกยิ้มกว้างจนจะไปถึงใบหู หากเขาไม่ได้เอามือปิดปากไว้ ซึ่งเหมิงก็คงจะหัวเราะออกมาเป็นแน่ เย่หยูไม่รู้ว่าทุกคนมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ช่วงเวลานี้เย่หยุเพียงก่าลังหมกมุ่นอยู่กับการรู้แจ้งและเวลาในการใช้ห้องฝึกที่กําลังนับถอยหลัง
“ติด!”
“เดือนเจ้าของร่างเหลือเวลาเพียงสามนาที่ในการใช้ห้องฝึก!”
ร่างของเย่หยูสั่นเทา ดวงตาเผยให้เห็นถึงความเสียใจ
“นี่ผ่านไปสิบห้าวันแล้วหรอเนี่ย?”
ทันใดนั้น แววตาของเย่หยูก็เผยให้เห็นถึงความคาดหวัง ตั้งแต่ที่ได้การ์ดห้องสะสมประสบการณ์จากการจับสลาก ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะมีโอกาสที่จะได้รับมันอีกครั้ง!
วิ่ง! *
เย่หยยกมือขึ้นและดาบยาวก็ปรากฏขึ้นในอากาศบนฝ่ามือขา เย่หยูยกดาบขึ้นมา เขาตวัดนิ้วตัดผ่านสันดาบ
แครั้ง!
เสียงแผ่วเบาของดาบดังขึ้น มันราวกับว่าเวลาหมดและทั่วทั้งห้องฝึกตนกําลังจะพังทลาย
ณ ลานสนามของหลี่อี้เฉิน
บรรยากาศเงียบสนิท แม้แต่อากาศก็เหมือนจะหยุดนิ่งด้วย หลี่อี้เฉินและกลุ่มของเขาต่างยื่นเงียบ พวกเขาจ้องมองไปที่เย่หย
วิ่ง! *
หลี่อี้เฉินเบิกตากว้าง! เขาสังเกตเห็นเย่หยูสันเทาเล็กน้อย
“เขาตื่นแล้ว!”
หลี่อี้เฉินตะโกนเสียงทุ้ม เพียงแค่เห็นเย่หยูลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงวาบราวกับสายฟ้าประกายในแววตาเย่หยู่ แล้วหลังจากนั้นสักพัก ทั้งหมดก็อันตรธานหายไป
“เย่หยู เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่อี้เฉินถามเย่หยู แต่เขาไม่แม้แต่จะได้ยิน เสียงของหลอี้เฉินสั่นเครือเล็กน้อย ข้างหลังหลอี้เฉิน ซึ่งเหมิงจ้องไปยังลุงของเขาอย่างไม่เชื่อ แววตาเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ต้องรู้ว่าหลี่อี้เฉินเป็นหัวหน้าพันธมิตรการต่อสู้แต่เขาก็ยังมีจิตใจที่แน่วแน่และเป็นถึงนักสู้ระดับเจ็ดด้วย มันยากสําหรับหลี่อี้เฉินที่จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้
นี่มันมากพอที่จะพิสูจน์ว่าหลีอี้เฉินให้ความสําคัญกับเย่หยูอย่างไร เมื่อได้ยินคําถามของหลี่อี้เฉินเย่หยูก็ยืดตัว หายใจเข้าลึกๆแล้วหลังจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ
“ยอดเยี่ยม!”
อีกด้าน ซึ่งเหมิงก้าวไปข้างหน้าถามเย่หยอย่างอยากรู้ว่า
“เย่หยู นายเรียนรู้อะไรจากการรู้แจ้งอย่างฉับพลันได้มากเพียงใด?”
“ศิลปะการใช้ดาบของลุงฉันทําความเข้าใจได้ถึง 50% ไหม?”
“50%? เป็นไปไม่ได้”
ฉีชิงไตร่ตรองสักครู่และพูดว่า
“ตามที่ฉันคาดเดา 40% ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว!”
ซึ่งเหมิงหันไปถามหลี่อี้เฉินแล้วถามเขาว่า
“ลุง คุณคิดอย่างไร?”
หลี่อี้เฉินลูบเคราเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยน้ําเสียงต่าว่า
“ด้วยความสามารถของเย่หยู ฉันสรุปไว้ว่าอย่างน้อย เย่หยูเขาทาความเข้าใจได้ 80% ของทั้งหมดแล้ว เขายังสามารถเข้าใจศิลปะการใช้ดาบอย่างสมบูรณ์อีกด้วย!”
“เป็นไปได้ยังไง?”
ฉีชิง ฉีหยูและซิงเหมิงต่างกันตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดว่าหล่อี้เฉินจะประเมิณเย่หยไว้สูงขนาดนี้!
“หึม! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเข้าใจการโจมตีของดาบได้อย่างสมบูรณ์!”
ฉีหยูยกปากอย่างเหยียดหยันขณะพูดอย่างดูถูกด้วยเสียงทุ่มว่า
“มันต้องเป็นเพราะท่านอาวุโสหลี่รักเขา นั้นเลยทําให้เขาได้รับการประเมินที่สูงขนาดนี้”
หลี่อี้เฉินมองเย่หยูที่จะคงท่าที่ไม่แยแสแล้วพยักหน้าชื่นชม
“อื้ม!ดีแล้ว! ไม่เป็นคนสอพลอและน่าอัปยศ สามารถสงบสติอารมณ์ได้แม้ภูเขาจะพังทลาย นี่คือท่าทางของนักต่อสู้ที่แท้จริง !”
“เย่หยู เอาเลย! แสดงให้ชายชราอย่างฉันดูหน่อยสว่านายเข้าใจมากแค่ไหนกัน!”
เย่หยูพยักหน้าเบาๆ ถือกิ่งไม้แห้งไว้ในมือแล้วกําวไปข้างหน้า
เย่หยยืนแยกเท้าออกจากกัน เขาไม่ได้ดูแหลมคมเหมือนดาบ แต่ดูเป็นคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจศิลปะการต่อสู้ และไม่เข้าใจกระบวนของดาบ แต่เมื่อหลีอี้เฉินมองเย่หยู ตาเขาก็เป็นประกายและแบบชื่นชม
“ดีมาก! สําหรับขั้นชําระล้างไขกระดูกขั้นที่ห้าที่สามารถสัมผัสการเป็นหนึ่งเดียวของสวรรค์และโลกซึ่งมีเพียงนักรบดินแดนเทพเจ้า ขั้นเจ็ดเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้!”
เฟียว!
เย่หยยกมือขึ้น แล้วเขาก็ยื่นกิ่งไม้ไปข้างหน้า
ทุกคนต่างพากันมองแขนเย่หยู พยายามจะมองการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวของเย่หยูไม่ได้เร็วมาก แต่ในทางกลับกันมันดูช้ามาก เขาค่อยๆยื่นกิ่งไม้ไปยังถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก แต่ในพริบตาเดียว เย่หยุก็หดมือกลับมา ทุกๆคนต่างตกใจและจ้องมองเย่หยุด้วยความงงว่าเขาได้ใช้เทคนิคดาบแล้วหรือยัง? คิดว่ากิ่งไม้ยังไม่ถึงถ้วยชาด้วยซ้ํา? ทุกคนต่างพากันงุนงง จากนั้นเสียงแตกก็ดังขึ้นมา
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเสียงที่ดังเบาๆขึ้นมา มันดังมาจากถ้วยชาสีครามบนโต๊ะ!
“เมื่อไหร่? เย่หยูเจาะถ้วยชาตอนไหน?!”
หลีอี้เฉินมือสั่นเทาพร้อมกับรวบเคราไว้ในมือหลายเส้น ดวงตาหล่อี้เฉินเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความตะลึงและไม่เชื่อ