ปล้นสวรรค์ - 62 แค่หมัดเดียวก็เพียงพอ
SPH:บทที่ 62 แค่หมัดเดียวก็เพียงพอ
เย่หยูรู้จากสถานีตำรวจว่าผู้วางแผนเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นคนจากประตูสัตว์พิษ
เผ่าประตูพิษสัตว์เป็นเผ่าที่ซ่อนเร้นกายที่เลี้ยงดูสัตว์ร้ายและหนอนกู่ เพื่อที่จะให้ผู้เริ่มฝึกยุทธกลายเป็นนักสู้ระดับ 6 เข้าสู่แก่นแท้ พวกเขาจึงต้องสร้างตัวยาเพื่อช่วยให้ร่างกายภายนอกได้ฝึกฝน
ผู้อาวุโสของเผ่าประตูสัตว์พิษ หลางผิงเย่ อยู่ในขั้นนี้ แต่เม็ดยานั้นยากที่จะสร้างขึ้นมาได้ เขาจึงต้องหาวิธิอื่น เพราะต้องการใช้เลือดเพื่อหล่อเลี้ยงตัวยาภายนอก และมีแต่ผู้มีร่างพิเศษเท่านั้นถึงจะทำได้ นั่นคือเหตุผลที่ถังถังและลู่ซิงซินจับตัวเขามา
หลังออกจากสถานีตำรวจ ในที่สุดเย่หนูก็มีโอกาสได้ทำการจับล๊อตเตอร์รี่ หลังเข็มชี้บนล้อหมุนหยุดนิ่ง เย่หยูดูรางวัลในมือและหลงวนอยู่ในความคิด
“บี๊ป ยินดีด้วยกับเจ้าของร่างที่จับได้เครื่องรางคืนความเยาว์วัยสามชิ้น” มันคล้ายกับเครื่องรางไล่ลมก่อนหน้านั้น เครื่องรางทั้งสามใช้งานได้เพียงครั้งเดียว เขารู้สึกอัดอัดในหน้าอก เย่หยูจึงลองใช้เครื่องรางดู หลังวางเครื่องรางบนหน้าอก เย่หยูรู้สึกถึงกระแสพลังงานที่พุ่งเข้าไปในแผ่นอกของเขา ทั้วร่างผ่อนคลายอย่างที่สุด และอาการบาดเจ็บายในทั้งหมดที่เขาทรมานอยู่นั้นหายวับไปโดยไร้ร่องรอย
เย่หยูเลิกคิ้ว และมองไปยังเครื่องรางอีกสองชิ้นในมือด้วยความอัศจรรย์ใจ เขาไม่คิดว่ามันจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
ปัง!
มีเสียงปะทะกันดังสนั่นจากที่ใกล้ ๆ ใบหูของเย่หยูกระตุกเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเยียบเย็นดังจากลานที่อยู่ไกลออกไป
“หลีปิง ฉันให้อาหารแก ฉันไม่คิดว่าแกจะทรยศฉัน”
ปัง!
มีเสียงปะทะดังลั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง และผนังของสวนด้านหลังสั่นไหวเบาๆ
หลีปิงรูดตัวลงมาตามผนังและกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเผือดแต่ยังพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “คุณไม่ได้จ้างผมให้เป็นคนดูแลความปลอดภัยแต่จ้างให้ผมเป็นนักเลงทำร้ายคน ผมจะไม่ทำผิดกฎหมายเด็ดขาด”
คนที่ลงมือทำร้ายหลีปิงแสยะยิ้ม เขาลูบหัวล้านเลี่ยนและหัวเราะอย่างชั่วร้าย รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม
“หลีปิง ทำตามฉันไม่งั้นแกตาย”
หลีปิงดิ้นรนลุกขึ้นและไม่สนใจพวกนักเลงที่ยืนอยู่รอบ ๆ เขาถ่มเลือดลงบนพื้นและกล่าวอย่างดุดันว่า “เฉียนฮู อย่าบังอาจขอให้ฉันช่วยแก”
เฉียนฮูมองหลีปิงผู้ดื้อรั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาบอย่างโหดร้าย “จงอย่าได้คิดว่าวันนี้จะได้เดินออกไปเลย”
เฉียนฮูกำลังจะลงมือ แต่กลับมีคนที่อยู่ข้างเขายืนขึ้นและกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “พี่ฮู ให้ผมจัดการเขาเถอะ อย่าทำให้มือพี่ต้องสกปรกเลย”
ที่ด้านนอกลานบ้าน เย่หยูเลิกคิ้ว คนผู้นี้คุ้นเคยกับเขา เย่หยูจำเสียงนั้นได้ เป็นเสียงของพี่งู (ชายรอยสักงู)ผู้นั้น
“ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ” เฉียนฮูหัวเราะเบา ๆ เมื่อเขาได้ยินคำนั้น เขากอดอกและมองพี่งูเมื่อเขาเริ่มลงมือ แขนข้างที่หักของพี่งูยังรักษาไม่หายดี แต่ในยามนั้น เขาเดินไปหาหลีปิงด้วยแขนที่ยังตกห้อยอยู่ด้วยสีหน้าพึงพอใจอย่างมาก
เดิมที เขาห่วงว่าหลีปิงจะฉกเอาตำแหน่งของเขาไป แต่ใครจะคิดว่าเขาจะไร้เหตุผลถึงเพียงนี้
“หลีปิง อย่าโทษฉันเลยตอนแกลงไปสู่ยมโลก แกต้องโทษตัวเองที่ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้”
พี่งูกำลังจะจู่โจม พลันมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากทางเข้าของลานบ้าน
“ไง นี่คือพี่งูคนที่ทำตัวโอหังมาก ถีงแม้แขนหัก ๆ ของเขายังสมานกันไม่สนิทใช่ไหม”
“นั่นใคร”
พี่งูหันขวับไปมองรอบ ๆ และดูไปที่ประตูด้วยสีหน้าแตกตื่น เขาจำเสียงที่เป็นเหมือนฝันร้ายของเขาได้
เย่หยูผลักประตูเปิดออก และรีบเดินเข้าไป เขาเห็นชายร่างใหญ่ยืนพิงกำแพง โดยมีนักเลงชุดดำราว ๆ สิบสองคนล้อมไว้ หัวหน้าแก๊งค์เป็นชายหัวล้าน ร่างตันตัวเตี้ย และมีรอยแผลเป็นจากการถูกมีดกรีด ที่ข้างกายเขาคือพี่งู ซึ่งเย่หยูเคยพบมาแล้วครั้งหนึ่ง
“แกนี่เอง”
พี่งูมองเย่หยูอย่างหวาดกลัว คิดย้อนกลับไปถึงยามที่เย่หยูทำลายแขนของเขา ใบหน้าของเขายังซีดขาวจากความกลัว
เฉียนฮูมองไปที่เย่หยูด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง เขาก้าวออกมาและตะโกนว่า “นี่เป็นเขตแดนส่วนตัว รีบออกไปซะ”
พี่งูได้สติจากความกลัวเย่หยู หลังเทียบความแข็งแกร่งของทั้งสองด้าน เขาเริ่มรู้สึกภูมิใจขึ้นอีกครั้ง
เขาเดินไปที่ข้างหูเฉียนฮู กัดฟันแน่นแล้วพูดว่า “พี่ฮู นี่คือคนที่หักแขนผมข้างหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ พี่ฮู พี่ต้องล้างแค้นให้ผม”
เฉียนฮูหัวเราะอย่างเย็นชาขณะมองไปยังเย่หยูราวกับเห็นลูกแกะที่บังเอิญวิ่งเข้ามาสู่ปากเสือ
“ฮ่า ๆ” ช่างบังเอิญนักที่นายมาถึงแล้วจะไม่ได้กลับออกไป”
ในยามนั้นเอง พี่งูซึ่งพึ่งพาเฉียนฮูเจ้านายของเขาและกลุ่มพี่น้องก็ยืดหน้าอกขึ้นและมองตรงไปยังเย่หยู
“เย่หยู ฉันไม่มีเวลาไปหาเรื่องกับแก แต่แกเข้ามาหาฉันถึงที่เองนะ”
ทันทีที่พี่งูคิดถึงแขนที่หักไป ความเกลียดชังในหัวใจของเพิ่มทวี เพราะเย่หยูล้มลงไป ความตื่นเต้นที่ล้างแค้นเย่หยูส่งผลให้ใบหน้าของพี่งูแดงก่ำ “วันนี้ ฉันจะหักแขนขาของแกทั้งหมดและให้แกนอนรอความตายบนเตียงไปชั่วชีวิต”
เย่หยูไม่สนคำขู่ของพี่งู และมองไปที่เฉียนฮู “คุณเป็นลูกพี่ของพี่งูหรือ”
เฉียนฮูโบกมือ หยุดพี่งูที่อยากจะพูดต่อ เชาหรี่ตามองเหย่หยู “หัวหน้าพรรคพยัคฆ์ร้าย เฉียนฮู”
เย่หยูพยักหน้าและยกมือขึ้นชี้ไปที่หลีปิง เขากล่าวด้วยสีหน้าที่แตกต่างออกไปว่า “ปล่อยคนผู้นั้นไปซะ แล้วผมจะทำเป็นเหมือนว่าไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”
“หือ” เฉียนฮูลูบศีรษะล้านเลี่ยนไปมาและถามสมาชิกพรรคอย่างสงสัยว่า “นี่ฉันแก่แล้วใช่ไหม ถึงได้มีเจ้าหนุ่มเพี้ยนๆ กับสุนัขจรจัดมายื่นข้อเสนอกับฉันแบบนี้”
สมาชิกพรรคที่ยืนด้านหลังเฉียนฮูรีบพูดประจบประแจง “หัวหน้า มันต่างหากที่แยกแยะเสือผู้มีอำนาจไม่ออก”
“พี่ฮู ให้ผมจัดการเขาเอง”
“เจ้าหนู กล้าดียังไงมาพูดกับพี่ฮูแบบนั้น แกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ”
“พี่ฮูครับ เจ้าหนุ่มปากดีคนนี้ชื่อเย่หยู เขาเป็นนักศึกษาจน ๆ ในโรงเรียนมัธยมเซียงหยู นอกจากวิชาตัวเบาที่พอใช้ได้แล้ว แค่หมัดเดียวเขาก็รับไม่ได้แล้วล่ะครับ”
พี่งูที่ยืนข้างกายพี่เสือ บอกชื่อของเย่หยูด้วยน้ำเสียงเบา
พี่เสือพยักหน้าเบา ๆ โบกมือไปทางกลุ่มลูกน้องที่ยืนด้านหลัง แล้วชี้ไปที่เย่หยูแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หักแขนขามันซะ”
“น้องชาย รีบหนีไป” หลีปิงตะโกนบอกเย่หยูจากทางด้านหลังทุกคนแล้วฝืนใจลุกขึ้นพุ่งกายใส่เฉียนฮู
ปัง!
ก่อนหลีปิงจะไปถึงตัวเฉียนฮู อีกฝ่ายก็เตะเขาปลิวลิ่วไป จนเขาร่วงกระแทกพื้น ไม่แน่ใจว่าเขายังอยู่หรือตาย
“หวังจะทำการใหญ่หรอ” เฉียนฮูกล่าวอย่างเหยียดหยาม
ในยามนั้นเอง พรรคพยัคฆ์ร้ายก็ล้อมเย่หยูไว้
หากเทียบกับนักเลงทั่วไป สมุนของพรรคพยัคฆ์ร้ายก็เหมือนนักเลงข้างถนนที่ผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน และเฉียนฮูยังคอยกระตุ้นพวกเขาให้ฝึกฝีมืออีกด้วย
ครั้งนี้ เฉียนฮูนำยอดฝีมือของพรรคพยัคฆ์ร้ายมาด้วย ทุกคนล้วนเป็นนักสู้ในขั้นผลัดผิว เมื่อสมุนทั้งหมดล้อมเย่หยูไว้แล้ว พี่งูมั่นใจมากว่าเย่หยูต้องตายแน่
แต่พี่งูไม่รู้ว่าเย่หยูนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่แยแสยอดฝีมือขั้นหนึ่งสิบคนนี้ด้วยซ้ำ
วืด!
สมุนพรรคสิบกว่าคนหรือราว ๆ นั้นยื่นมือออกมาถูข้อมือ และดึงดาบยาวเงาวับออกมา
ฮึบ!
พร้อมเสียงตะโกนดังลั่น กลุ่มนักเลงตวัดดาบฟันใส่เย่หยู ดาบของพวกเขาเป็นประกายเย็นเยียบดุจสายลมเย็นที่พัดต้องร่าง การลงมือของพวกเขานั้นไร้รูปแบบอย่างคาดไม่ถึง
โดยไม่ใช้ช่วงเวลาหยุดกระสุน ด้วยความช่วยเหลือของการคำนวณขั้นสุดยอดของเขา เย่หยูพลิกเท้าและพลิ้วกายไปบนปลายดาบ
ปัง! ปัง! ปัง!
พวกเขาใช้กำปั้นและขา และชั่วพริบตาเดียว สมาชิกพรรคทุกคนก็ถูกกระแทกจนปลิวลิ่วไป แล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงขณะร้องคร่ำครวญไม่ขาดปาก
เมื่อเห็นลูกน้องของเขาถูกกระแทกปลิวไปอย่างง่ายดาย ดวงตาของเฉียนฮูกระตุกขึ้น เขาหันไปยังพี่งูและถามว่า “ที่แกบอกว่าเขาทนรับแรงกระแทกครั้งเดียวก็ยังไม่ได้มันหมายถึงอะไร”
“เจ้าเศษสวะ” เฉียนหูก่นด่าพี่งูอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปทางเย่หยู “ฝีมือของเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เลว เขาฝึกสุดยอดกำปั้นระดับแปดใช่ไหม”
เย่หยูหัวเราะเบา ๆ “สายตาแหลมคมนัก”
มุมปากของเฉียนฮูยกขึ้นบาง ๆ เมื่อเขาปลดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างที่สุดด้านใน
“สายตาแหลมคมงั้นเหรอ ฉันฝึกวรยุทธ์มาถึงสามสิบปี และก้าวถึงขั้น ระดับ 2 กลั่นโลหิตมานานแล้ว” เฉียนฮูดึงดาบยาวออกมา เขาสะบัดข้อมือเพียงครั้ง เงาดาบวาบขึ้น แววตาของเขาฉายแววอำมหิต เขายิ้มหยันและพูดว่า “วันนี้ ฉัน เจ้าพ่อเสือ จะหั่นแกเป็นชิ้น”