ผมตื่นขึ้นมาควบคุมยานอวกาศที่แข็งแกร่งที่สุด ผมเลยเป็นทหารรับจ้างอวกาศ - ตอนที่ 316 คนพึ่งพาได้
- Home
- ผมตื่นขึ้นมาควบคุมยานอวกาศที่แข็งแกร่งที่สุด ผมเลยเป็นทหารรับจ้างอวกาศ
- ตอนที่ 316 คนพึ่งพาได้
『งั้นนั่นทำไมนายคุยกับฉัน』
“ใช่พี่เขย”
เมื่อผมพูดคำนั้นพร้อมยิ้มมุมปากบนหน้า สีหน้าของหนุ่มหล่ออีกฝั่งของจอมองด้วยความเกลียด
『ฉันไม่อยากถูกเรียกว่าพี่เขยโดยคนอย่างนาย』
“น่าน่าอย่าพูดอย่างนั้นเลย น้องเขยที่น่ารักของพี่พึ่งใครไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมเลยพึ่งคนแบบพี่ได้อย่างเดียว
『ไม่ได้น่ารักเลย นายไม่ได้น่ารักเลยบัดซบเอ๊ย』
ชื่อของหนุ่มหล่อที่เส้นเลือดหน้าผากปูดในความโกรธอีกฝั่งของจอคือเอิร์นส์ วิลโรส เขาเป็นพี่ชายของเอลม่าที่อยู่ในเมืองหลวงจักรวรรดิ ระบบดาววินดาสเป็นระบบดาวอุตสาหกรรมที่ใกล้เมืองหลวงจักรวรรดิ ดังนั้นถ้าคนใช้ระบบสื่อสารห้วงอวกาศขั้นสูงสุด คนนั้นสื่อสารกับคนในเมืองหลวงได้แบบทันที ถ้าคนนั้นไกลออกไปนิดหนึ่ง การสื่อสารห้วงอวกาศขั้นสูงสุดทันทีจะกลายเป็นเป็นไปไม่ได้ยกเว้นว่าคนนั้นใช้ประโยชน์ประตูทางที่มีค่าใช้จ่ายเยอะ ดังนั้นคนส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใช้มัน
ถ้าคนหนึ่งไม่ได้สนใจกับการสื่อสารแบบทันทีคนนั้นก็ส่งข้อมูลข้อความโฮโลได้ไปสู่เครื่องปลายทางข้อมูลผู้รับหลังจากวันผ่านไปได้ดีกว่า ขึ้นอยู่กับระยะทาง คนนั้นก็ส่งสื่อที่ับันทึกข้อความโฮโลเองได้ด้วย การสื่อสารระดับจักรวราลในโลกนี้ก็ค่อนข้างยุ่งยากบางครั้ง
『ไม่ว่ายังไง ฉันว่าช่วยนายก็ไม่ได้แย่มากเพราะสุดท้ายมันจะช่วยเอลม่าให้ปลอดภัยด้วยเหมือนกัน…… เพราะการที่นายม่องไปจะทำให้เอลม่าเศร้าแหงๆ』
“อย่างที่คาดไว้กับพี่เลย พี่เขยที่รัก พี่พึ่งพาได้จริง เหมือนที่ผมคิด”
『ได้โปรดหยุดเรียกฉันว่าพี่ขะ…… ฮ่าช่างมันเหอะ ไม่ว่ายังไงมีผู้ผลิตเกราะพลังงานจักรกลที่ขายให้ขุนนางที่ใช้ดาบต่อสู้』
“โอ้นั่นเป็นข่าวใหญ่เลยล่ะ”
พื้นฐานแล้ว ฝ่ายว่าดาบเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เฟ้นหาภาพในอุดมคติของการเป็นขุนนาง ดาบเป็นสัญลักษณ์หลักของขุนนางจักรวรรดิกรากัน แต่มันพูดว่าดาบที่ดีจำเป็นต้องอยู่คู่กับเกราะที่ดี
สำหรับขุนนางจักรวรรดิกรากัน ดาบเป็นสัญลักษณ์ของพลังต่อสู้และเกราะเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเงิน ผมจำได้บางอย่างเกี่ยวกับเกราะที่ขุนนางใส่โดยอัศวินกลับไปที่โลกได้ว่าแพงมากๆ สถานการณ์ในโลกนี้เป็นเหมือนกันไหม?
『ยังไงก็ตาม พวกเขามีการปฏิเสธลูกค้าที่ซื้อครั้งแรก พร้อมกับพวกเขาไม่ทำธุรกิจกับชนชั้นกลางด้วยเหมือนกัน』
“ช่างเป็นมาตรการทำธุรกิจที่ไร้สาระจริงๆ”
『ยังไงก็ตาม ถ้าคนมีจดหมายแนะนำตัวเพิ่มเติมกับเป็นขุนนางเอง มันจะอีกเรื่องนึง』
“ตำแหน่งขุนนางกิตติมศักดิ์ใช้ได้มั้ย?”
『น่าจะ นายเป็นวิสเคานต์กิตติมศักดิ์ นายแสดงความสามารถในการแข่งขันแล้ว และได้ถูกเห็นชอบโดยองค์พระจักรพรรดิที่รักยิ่งเอง ฉันแน่ใจ่ว่าจะไม่มีปัญหา』
พี่เขยเอิร์นส์ส่งข้อมูลมาระหว่างอธิบาย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจดหมายแนะนำตัวที่เขาพูดถึง เพิ่มเติมมีข้อมูลแผนที่แสดงตำแหน่งร้านนั้นด้วย
แม้ว่าเขาทำตัวโกรธๆ พี่เขยที่รักจริงๆแล้วค่อนข้างเห็นอกเห็นใจ ถ้าผมเป็นสาวผมจะตกหลุมรักเขาแล้ว
『นี่เป็นร้านหลักในเมืองหลวง แต่พวกเขามีสาขาในระบบดาววินดาสด้วยเหมือนกัน เพราะมีทหารขุนนางอยู่เยอะที่นั่นล่ะนะ』
“จริงๆแล้วมีเจ้าหน้าที่ทหารขุนนางที่ใส่เกราะในการต่อสู้มั้ย?”
『มีคนที่มองโลกตามความเป็นจริงอยู่เยอะแม้ในหมู่ฝ่ายวาดดาบ ไม่สำคัญว่าคนหนึ่งดิ้นรนยังไง มีขีดจำกัดกับการหลบกระสุนเลเซอร์ด้วยร่างกายตัวเองและ เมื่อโดนยิง คนน่าจะไม่สามารถเลี่ยงการบาดเจ็บได้ เพราะความจุโล่พลังงานส่วนตัวมีขีดจำกัด ไม่สำคัญว่าขุนนางแข็งแกร่งแค่ไหนหลังจากการเสริมความแข็งแกร่ง พวกเขาจะสู้ระหว่างแบกเครื่องผลิตพลังงานบนหลังโดยไม่มีการช่วยด้วยจักรกลไม่ได้ ดังนั้นไม่ใช่มันจะมีเหตุผลมากกว่าที่จะใช้เกราะพลังงานจักรกลที่ใช้ประโยชน์จากเครื่องผลิตพลังงานที่ว่านั้นเต็มที่เลยดีกว่าเหรอ』
“ผม……ว่า? ใช่ นั่นฟังดูมีเหตุผล”
ผมควรยอมแพ้กับการสู้ด้วยดาบตั้งแต่แรกไหม?
ไม่หรอก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์มีเวลาที่ดาบอาจมีประสิทธิภาพกว่าปืนหรือปืนกลจู่โจมเลเซอร์
『อืม นายไปบอกรายละเอียดกับเขาได้ทีหลัง ฉันค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นฉันจะขอตัวก่อน』
“ขอบคุณที่ช่วยมากๆครับพี่เขย ผมติดค้างพี่แล้วเนี่ย”
『ฮึ่ม…… ถ้าอย่างนั้น พาเอลม่ามาเมืองหลวงจักรวรรดิบ้างนานๆครั้ง พ่อกับแม้น่าจะโล่งใจเมื่อพวกเขาเห็นเธอด้วยเหมือนกัน』
“ผมจะทำเต็มที่”
หลังจากทำความเคารพแบบทหารใส่เขาพี่เขยเอิร์นส์ถอนหายให้ให้ได้ยินและตัดสาย ตอนนี้ แค่อะไรกับการถอนหายใจสุดท้ายหรือ? อืม เหมือนที่พี่เขยพูดทุกอย่าง มันจะดีที่ไปเมืองหลวงบ้างนานๆครั้ง แต่เราอาจถูกเรียกโดยเจ้าหญิงหรือจักรพรรดิเวรนั่น แต่แค่มารับมือกับมันเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆเถอะ เพราะผมเป็นชายหนุ่มที่รู้ว่าจะจ่ายหนี้ให้ถูกต้องอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…… ฉันว่าฉันเรียกที่เหลือได้”
พูดถึงแล้ว ผมอยู่คนเดียวในห้องโรงแรมตอนนี้
เหล่าคุณนายไปไหน มีคำถาม? พวกเธอไปซื้อของใช้ส่วนตัวประจำวันของคูกิ พวกเธอรู้สึกว่าเธอยังมีของของตัวเองน้อย พวกเธอเลยตัดสินใจไปซื้อของเพื่อเธอ อืม พี่น้องช่างต้องรายงานหน้าที่ด้วย ดังนั้นพวกเธอไม่ได้ร่วมวงไปซื้อของ การเป็นทาสบริษัทมันลำบากแน่นอนจริง
“และดังนั้นเอง ฉันได้จดหมายแนะนำตัวและข้อมูลเกี่ยวกับร้านจากพี่เขยเรียบร้อย”
“โออ้–”
“ฉันสงสัยอยู่ว่าเธอจะทำอะไร แต่พอมาคิดว่าเธอเรียกพี่ชายฉันมัน……”
มีมี่ปรบมือเรียบร้อยระหว่างเอลม่ายิ้มอย่างขมขื่น
มันดูเหมือนหน้าที่ซื้อของจำเป็นประจำวันให้คูกิมันค่อนข้างด่วนดังนั้นหลังจากคิดนิดหนึ่งแล้ว มันตัดสินใจกันว่าผมจะอยู่ในห้องระหว่างพวกเธอซื้อของ สำหรับทำไมที่คิดแบบนั้นพวกเธอคิดอะไรเหมือนการทำเป็นคนคุ้มกันเองและคอยระวังดูหลังให้กันระหว่างอยู่ข้างนอก
จริงๆแล้วผมยังไม่เชื่อใจคูกิไปเสียหมด เอลม่ากับเมย์ก็คิดเหมือนกันจากเรื่องราวของเมื่อวานด้วย มันคิดได้ว่าจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์วูเอลซารัสใช้วิชาและเทคโนโลยีพลังวิญญาณแบบพร้อมได้แล้วรวมถึงการแทรกแซงจิตใจทรงพลังได้ด้วย
เราไม่แน่ใจว่าคูกิมีความสามารถแบบนั้นมั้ย และถ้าเธอมีเธออาจพยายามใช้มันเพื่อวุ่นวายกับหัวเรา
ดังนั้นเองผมตัดสินใจให้เมย์ที่เป็นคนเดียวเท่านั้นในหมู่พวกเราที่ไม่ได้รับผลวิชาแบบนั้นอยู่ใกล้กับคูกิ เมย์ไม่ได้มีความคิดและนิสัยส่วนตัว แต่เธอไม่ได้ดูเหมือนมี ‘วิญญาณ’ ที่ถูกแทรกแซงด้วยวิชาพลังวิญญาณได้
แต่เพราะในโอกาสน้อยๆที่มันได้ผลกับเธอ เมย์ทำการตรวจตัวเองหลายครั้งแล้วเมื่อวานนี้และแม้แต่การสำรองความทรงจำเก็บไว้เพื่อให้แน่ใจ ดังนั้นแม้ว่าเธอได้รับการแทรกแซงทางจิตใจ มันจะเป็นไปได้ที่เธอจะฟื้นตัวได้อย่างเร็ว ดังนั้นเธอสมบูรณ์แบบที่จะเป็นคนคอยเฝ้าดูคูกิ
มีมี่และเอลม่าไปด้วยเพราะมันมีเหตุผลที่คูกิจะไปด้วยกันกับผู้หญิงอื่นเมื่อซื้อของใช้ส่วนตัว และถ้าเธอพยายามทำบางอย่าง มันจะง่ายกว่าสำหรับเมย์ที่จะสังเกตุว่ามีอะไรผิดพลาด
แต่มีมี่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ดังนั้นผมบอกเธอไม่ได้ ผมรู้สึกแย่ที่พื้นฐานนั้นเราให้เธอเป็นเหมือนเหยื่อล่อ แต่…… เรายืนยันแล้วว่าคูกิไว้ใจได้และผมแค่ต้องบอกทั้งหมดกับเธอและแก้ไขด้วยบางรูปแบบเท่านั้นเอง
“จะไปร้านเกราะๆแล้วมั้ยคะ ท่านลอร์ดของหนู?”
“ฉันคิดทำอย่างนั้น”
“เข้าใจแล้วค่ะ หนูรอคอยที่จะได้เห็นเกราะพลังงานจักรกลที่ผลิตโดยช่างเกราะจักรวรรดิ”
ระหว่างพยักหน้าผมจิบแก้วที่ทำจากวัสดุคล้ายพลาสติกที่ผมไม่รู้จัก
เครื่องดื่มมีรสชาติคล้ายชานมหวานๆ แต่มันเผ็ดอย่างแปลกประหลาดผมสงสัยว่าพวกเขาใช้เเครื่องเทศเมื่อทำน้ำนี้ด้วยไหม? ผมไม่เคยกินมันมาก่อน แต่มันเหมือนไจที่เป็นเครื่องดื่มในอินเดีย
“ร-ร้อน…… ฟฟฟู่– ฟฟฟู่–”
เห็นได้ชัดว่าคูกิลิ้นแมวกินของร้อนไม่ได้และเป่าชาอย่างสุดตัวเพื่อทำให้มันเย็นลง นั่นค่อนข้างน่ารักเลยล่ะ
แต่หูสุนัขจิ้งจอกผสมกับลิ้นแมวอย่างนั้นหรือ น่าสนใจ
มีมี่ชำเลืองคูกิที่เป็นแบบนั้น เธอไม่ได้ทำตัวเป็นศัตรูหรือสงสัย มันรู้สึกเหมือนเธอทำอะไรไม่ถูกว่าจะทำให้ไงให้สร้างปฏิสัมพันธ์แบบดีที่สุดกับอีกฝ่าย
“ได้งั้น เราจะมุ่งหน้าไปร้านหลังจากพักสั้นๆ แต่ฉันอยากกินโอฉะสึเกะมากกว่าหลังจากดื่มนี่”
“โอฉะสึเกะ?”
“มันเป็นเมนูจากบ้านเกิดฉัน”
และดังนั้นผมอธิบายโอฉะสึเกะให้เหล่าคุณนายฟัง อืม มันอาจดูเหมือนแปลกที่มาคุยเกี่ยวกับโอฉะสึเกะในเวลานี้แต่เพราะมันเป็นประเด็นที่เข้าใจง่ายและรู้สึกดี
เราคุยต่อและฆ่าเวลาจนกว่าคูกิลิ้นแมวดื่มชาหมดในที่สุด