ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1023 วันแห่งการดองไข่เค็ม
แคลร์ พลโทแห่งกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ผู้บัญชาการการรบทางอากาศที่มีชื่อเสียงของเอเชียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพอากาศอาสาสมัครของสหรัฐที่ทำสงครามในประเทศจีน ซึ่งมีชื่อเต็มคือแคลร์ ลี่ แชนนอล และคนจีนก็เคยชินกับการเรียกเขาว่า ‘แคลร์’ เพราะเป็นทหารที่มีทัศนคติที่สูงส่ง
บุคคลที่มีความสามารถในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศโลกได้เกิดขึ้นมากมายเช่นฮูโก ชแปร์เลอ มันเฟรท ฟ็อน ริชท์โฮเฟินและโรแบร์ท ฟ็อน ไกรม์ซึ่งเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางอากาศของโลก ดังนั้นจึงต้องเป็นชื่อที่ต้องคุ้นหูอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว แคลร์จึงเป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น
แต่ฉินสือโอวก็รู้จักคนเหล่านี้แค่ในสารคดีเท่านั้น สำหรับนายพลแคลร์แล้วเขากลับรู้จักเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังให้ความหมายพิเศษในการตั้งชื่อลูกนกอิทรีทองว่าแคลร์อีกว่า นายพลแคลร์เป็นทหารต่างชาติที่ช่วยเหลือจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและลูกนกอิทรีทองก็เป็นนกต่างถิ่นที่ช่วยเหลือนิมิตส์และบุช
เพียงแต่นายพลแคลร์ช่วยประเทศจีนที่กำลังลำบากทุกข์ยากและยอมทิ้งชื่อเสียงที่ยาวนานหลายศตวรรษไป แต่ลูกนกอินทรีทองถูกบุชเจ้านกใจร้ายปล้นและจัดการกับพ่อแม่ของมัน จากนั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกพวกเดียวกันประณามเสียๆ หายๆ ว่าเป็น ‘อินทรีทรยศ’ หรือไม่…
ชื่อนี้เป็นชื่อที่คิดออกหลังจากที่ฉินสือโอวและวินนี่ได้พูดคุยปรึกษากัน ทั้งคู่ประทับใจในตัวนายพลแคลร์มากและเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของลูกนกอินทรีทอง ดังนั้นจึงตั้งใจตั้งชื่อดีๆ แบบนี้ให้มัน
หลังจากที่ฉินสือโอวบอกชื่อออกไปแล้ว ทุกคนก็ค่อยๆ พยักหน้า แบล็คไนฟ์จึงพูดว่า “บอส ชื่อนี้ไม่เลวเลย ในเมื่อคุณตั้งชื่อความหมายดีๆ ให้กับสัตว์เลี้ยงได้ แล้วทำไมคุณถึงตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า ‘เถียนกวา’ ล่ะ?”
ฉินสือโอวหรี่ตาใส่พร้อมกับยิ้มแล้วถามว่า “แล้วมีปัญหาอะไรไหม?”
“ไม่มีแน่นอนครับ!” แบล็คไนฟ์คุยโอ้อวดว่า “เถียนกวาเป็นชื่อที่น่ารักมาก ผมอยากจะมีลูกสาวอีกคนจริงๆ และจะตั้งชื่อน่ารักๆ แบบนี้ให้เธอ”
แสงแดดยามบ่ายอันแสนอบอุ่น ฉินสือโอวกำลังพูดคุยกับชาวประมง ทันใดนั้นไวส์ก็วิ่งเข้ามาจากประตูด้วยความหวาดกลัวและตะโกนว่า “สู้กันแล้ว! มาสเตอร์กำลังต่อสู้ครับ!”
“มาสเตอร์? มาสเตอร์จากที่ไหน? ถึงกล้าเรียกตัวเองว่ามาสเตอร์ต่อหน้าอาจารย์อย่างนี้ได้!” ฉินสือโอวถาม
ไวส์ชี้ไปที่ข้างนอกประตูแล้วพูดว่า “มันคือมาสเตอร์ตัวใหญ่ อาจารย์คุณบอกไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นสัตว์ในตำนานของสำนักเรา? ตอนนี้มันกำลังตีกันกับปอหลัวครับ!”
พอได้ยินเช่นนั้น ฉินสือโอวก็ถึงเข้าใจว่าตัวเองเข้าใจผิด มาสเตอร์จะอ่อนแอในช่วงฤดูหนาวและจะนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก
ฉินสือโอวออกไปและเห็นว่าปอหลัวและมาสเตอร์กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ทุ่งหญ้ารอบๆ ก็กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทำอะไร พวกมันแค่จ้องเขม่นใส่กันเท่านั้น
ฉินสือโอวจึงตะโกนเรียกให้คนมาสองสามคนให้พวกเขามายกมาสเตอร์ออกไปแล้วลากเอาปอหลัวมาไว้ข้างๆ เพื่อพยายามลดโอกาสที่พวกมันจะได้เจอหน้ากันและยังลดการปะทะกันของพวกมันอีกด้วย
ตอนนี้เพื่อที่จะดูแลเจ้าเด็กเหล่านี้ให้ดี ฉินสือโอวจึงต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับพวกมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจจริงๆ
ในช่วงหิมะตกในฤดูหนาวของมาสเตอร์จะถูกปอหลัวจัดการอย่างน่าสงสาร ฉินสือโอวคงคิดไว้นานแล้วว่าด้วยอารมณ์และความใจแคบของเจ้ามาสเตอร์ มันจะต้องเอาคืนอย่างแน่นอน เพียงแค่เขาคิดไม่ถึงว่ามาสเตอร์จะแก้แค้นในช่วงฤดูหนาวได้!
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉินสือโอวก็เฝ้าระวังพวกมัน เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้น พลังของมาสเตอร์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกันและมันก็หาเวลาที่จะแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา
พ่อฉินกลับรู้สึกว่าฉินสือโอวใช้เวลาว่างทั้งวันเดินเล่นกับนกและหยอกเล่นกับสุนัขมากเกินไป จึงพูดว่า “ถ้าแกไม่มีอะไรทำก็ไปทำความสะอาดไม่ดีกว่าเหรอ? ไปดูลูกสาวของแกบ้าง จะเอ้อระเหยไปวันๆ แบบนี้ได้อย่างไร?”
ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ที่บ้านก็มีเด็กๆ ทำความสะอาดแล้ว ส่วนเถียนกวาก็มีวินนี่และแม่สับเปลี่ยนกันดูแลแล้ว แล้วผมยังต้องทำอะไรอีก? อีกอย่างผมว่างที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจัดระเบียบเรื่องในบ้านว่ามันดีหรือไม่ดี?”
พ่อฉินไม่ฟังคำอธิบายของฉินสือโอว เขาคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ ไข่เป็ด ไข่ห่าน ไข่นกที่นี่มีมากมาย เรากินไม่ไหวหรอก จะทิ้งไว้ในตู้น้ำแข็งก็ไม่ใช่เรื่อง งั้นเอามาทำไข่เค็มเถอะ”
ไข่เค็มเป็นอาหารที่ฉินสือโอวคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กที่บ้านของเขามีโถเซรามิกสีน้ำตาลหนาอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับดองไข่เค็มกินโดยเฉพาะ ก่อนที่เขาจะเรียนมัธยม สภาพที่บ้านไม่ค่อยดีนัก ปกติจึงไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์ เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารถ้าแม่เอาไข่เค็มออกมาให้เขากิน นั่นจะทำให้เขามีความสุขตลอดทั้งวัน
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดที่ไหนก็สามารถหาซื้อไข่เค็มสำเร็จรูปได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นบรรจุแบบสุญญากาศ แม้แต่ไข่แดงเค็มดิบก็ยังขาย ดังนั้นไข่เค็มจึงไม่ใช่ของหายากในวัยเด็กอีกต่อไปและฉินสือโอวก็ไม่ได้กินนานจนเกือบลืมรสชาติไปแล้ว
ถ้าพ่อฉินแนะนำอย่างอื่น ฉินสือโอวก็คงจะขัดแย้ง แต่พอได้ยินว่าจะดองไข่เค็มกัน หัวของเขาก็นึกถึงโถเซรามิกผิวหยาบและไข่แดงที่มีน้ำมันเยิ้มที่บ้าน คิดแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที
ไข่เป็ดจำนวนมากในฟาร์มปลาจะถูกเก็บไว้ในน้ำปูนขาวในตู้น้ำแข็ง ซึ่งจะทำให้ยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้นได้
ไข่ไก่ก็สามารถเอามาต้ม ผัด ทอดกินได้ ไข่นกหรือไข่ห่านก็ทำได้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นไข่เป็ดจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
ไข่เป็ดมีกลิ่นแรง โดยเฉพาะเป็ดที่เลี้ยงในฟาร์มปลากลิ่นจะแรงเป็นพิเศษ จึงไม่ควรใช้วิธีธรรมดาทั่วไป แต่เหมาะกับการดองไข่เค็มมาก เนื่องจากไข่เป็ดมีกลิ่นแรง จึงดองออกมาให้มีกลิ่นที่ไข่ชนิดอื่นๆ ไม่มี
ฉินสือโอวจึงสั่งซื้อโถเซรามิกออนไลน์ พ่อฉินตกใจมากจึงถามว่า “โถเซรามิกนี่ก็สั่งซื้อออนไลน์ได้ด้วยเหรอ? ถ้าเอามาส่งแล้วจะไม่แตกใช่ไหม?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้เป็นยุคของเศรษฐกิจทางอินเทอร์เน็ต พ่อต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตแบบนี้ได้แล้วนะ อย่ากังวลไปเลย อย่าบอกว่าพ่อซื้อเซรามิกผิวหยาบ นี่ผมกำลังซื้อเครื่องลายครามสีฟ้าขาว ขอแค่เจ้าของร้านกล้าขาย การขนส่งจะไม่มีเกิดปัญหาแน่นอน”
พ่อฉินส่ายหัวและพูดว่า “ฉันกับแม่ของแกแก่แล้ว เรียนรู้อะไรพวกนี้ไม่ได้หรอก”
เซรามิกผิวหยาบเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของเซนต์จอห์น จึงสามารถส่งของให้ถึงได้ในวันเดียว พ่อฉินมองไปที่โถสีดำที่มีเชิงเล็กๆ สูงๆ และพูดอย่างหดหู่ว่า “เจ้านี่สวยจริงๆ ตอนแกเด็กๆ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดองไข่เป็ดเลย เสี่ยวฉินแกจำได้ไหมว่าเราใช้อะไรดอง?”
ฉินสือโอวจึงหัวเราะขึ้นมา ทำไมเขาจะจำไม่ได้ล่ะ? ตั้งแต่เด็กจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ การดองไข่เค็มของที่บ้านจะใส่เต้าเจี้ยวหมักกระปุกใหญ่
บ้านเกิดของเขาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลซานตง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาเยอะ ในฤดูหนาวก็จะไม่ค่อยมีผัก เต้าเจี้ยวหมักจึงกลายเป็นหนึ่งในอาหารหลักในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมันมีรสชาติเค็มมาก จะกินซาลาเปา โจ๊กหรือกินกับข้าวก็อร่อย
ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับที่อื่น ที่บ้านเกิดของฉินสือโอว บ้านใครที่ซื้อเต้าเจี้ยวหมักก็มักจะซื้อแบบกระปุกเสมอและไม่กลัวว่ามันจะเน่าเสียด้วย เพราะอย่างมากก็แค่กลายเป็นเต้าหู้เหม็นและมันก็สามารถกินได้เหมือนกัน
ดังนั้นพอกินเต้าเจี้ยวหมักในกระปุกหมดแล้ว ก็จะนำมาล้างให้สะอาดและใช้ดองไข่เค็มได้เพราะขนาดกำลังพอดี
กระปุกเต้าเจี้ยวหมักสามารถหมักไข่เค็มได้ครั้งละประมาณยี่สิบฟอง ครั้งนี้ฉินสือโอวจึงใช้โถที่ขนาดใหญ่กว่าและสามารถจุได้ห้าสิบฟองอย่างไม่มีปัญหา เขาจึงซื้อมาสิบโถเพราะถึงอย่างไรในฟาร์มปลาก็มีคนเยอะ เมื่อถึงเวลาก็จะได้กินกันไวๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ฉินสือโอวหันกลับไปมองที่อีวิลสันที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างหลังเหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง ถ้ามีเขาอยู่ เขาจะดองไข่เค็มครั้งละพันฟองและเอาออกมากินก็ไม่มีปัญหา!
………………………………………………