ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1064 เราจะพบกันอีก
คณะลูกขุนทั้ง 13 คนเข้าไปในห้องลับ ขั้นตอนต่อไปพวกเขาจะทำการลงความเห็น จากนั้นส่งข้อสรุปให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดี การตัดสินขั้นสุดท้ายของผู้พิพากษาพิจารณาคดีจะขึ้นอยู่กับความเห็นของคณะลูกขุนด้วย ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นต่าง คดีก็จะไม่ถูกตัดสินเนื่องจากหาข้อสรุปไม่ได้
กฎหมายไม่ได้จำกัดเวลาและวิธีการในการตัดสินข้อพิพาทของคณะลูกขุน ฝ่ายโจทก์ ฝ่ายจำเลยและผู้พิพากษาต้องรอในศาล ซึ่งอาจกินเวลาหนึ่งวัน สองวันหรือแม้แต่เป็นเดือน
แน่นอนว่า ทุกคนสามารถกลับบ้านได้ในตอนกลางคืน และมาอภิปรายกันต่อในวันพรุ่งนี้ แต่ทันทีที่พวกเขาออกมาจากห้องลับ และแจ้งให้ผู้พิพากษามืออาชีพทราบถึงผลของการพิจารณาคดีที่เป็นเอกฉันท์ ก็จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของตัวเองได้
นี่คือระบบลูกขุนของระบบกฎหมายในยุโรปและอเมริกา คณะลูกขุนถูกสร้างขึ้นแบบสุ่ม พวกเขาอาจไม่มีความรู้ทางกฎหมายทั่วไป คำตัดสินทั้งหมดมาจากความรู้สึกข้างในเท่านั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ศาลต้องการ
ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาแสดงถึงความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบหนึ่ง
อย่ามองว่าลูกขุนเหล่านั้นอาจมีสถานะที่ต่ำต้อยมาก แต่เมื่อเข้ามาในศาล พวกเขาก็คือผู้พิพากษาและผู้มีอำนาจ และเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการในนามของประเทศ
ไม่ว่าอัยการหรือผู้พิพากษา การที่พวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ต้องพิจารณาคำตัดสินของประชาชนทั่วไปอย่างจริงจังด้วย
เนื่องจากความชั่วคราวของคณะลูกขุน พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับแรงกดดัน หรือกังวลเกี่ยวกับการถูกแก้แค้นหลังจากพิจารณาคดี การตัดสินใจของพวกเขาในตอนนี้ ทำได้แค่ทำตามจิตใต้สำนึกและทำตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งยุติธรรมกว่า
โดยทั่วไปการตัดสินของคณะลูกขุนสามารถสรุปได้อย่างรวดเร็ว ประการแรกคณะลูกขุนมีหน้าที่การงาน ค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับจากการเข้าร่วมการพิจารณาคดีนั้นน้อยมาก โดยปกติจะได้แค่ 20 ดอลลาร์แคนาดาต่อวัน แต่มันส่งผลต่อการงานของพวกเขา ดังนั้นเมื่อสามารถประหยัดเวลาได้ พวกเขาก็จะพยายามประหยัดเวลา
ประการที่สองหากไม่สามารถตัดสินในศาลได้ ก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น ตัวอย่างเช่นหลังจากกลับบ้านในเวลากลางคืนแล้ว คณะลูกขุนอาจรับสินบนหรือถูกข่มขู่ ถ้าเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผย พวกเขาจะถูกลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งได้ไม่คุ้มเสีย
นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดว่า คณะลูกขุนไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับคดีนี้กับคนในครอบครัว และไม่ดูรายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นการทรมานพวกเขาอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุผลหลายประการที่กล่าวมา ทำให้การสรุปผลของคณะลูกขุนเป็นไปค่อนข้างรวดเร็ว
ตามที่คิดไม่มีผิด ผลครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และประสิทธิภาพก็น่าทึ่งเล็กน้อย สมาชิกคณะลูกขุนออกมาภายในเวลาไม่ถึง 20 นาทีหลังจากเข้าไปในห้องลับ จากนั้นหัวหน้าอัยการยื่นผลให้ผู้พิพากษาหนุ่ม
ผู้พิพากษาหนุ่มดูผลในมือ จากนั้นขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วหารือกับผู้พิทักษ์ ผู้พิพากษาและทนายความสองคนที่อยู่รอบๆ ในเวลานั้นมีเสียงรบกวนดังขึ้นบริเวณที่นั่งของคณะลูกขุนและผู้ชม เพื่อปกปิดการอภิปรายครั้งสุดท้ายของผู้พิพากษา
ในที่สุดการอภิปรายก็สิ้นสุดลง ผู้พิพากษาขั้นสุดท้ายอาศัยกฎหมาย ประสบการณ์ คดีที่ผ่านมาและจิตสำนึกในการตัดสิน เขาประกาศอย่างเคร่งขรึมว่า “ตาม ‘รัฐธรรมนูญ’ และอำนาจที่พระเจ้ามอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ผู้พิพากษาขั้นสุดท้ายของศาลฎีกาแห่งนิวฟันด์แลนด์ ขอประกาศคำตัดสินในคดีนี้ ดังนี้…”
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน เพื่อฟังผลการลงโทษ
“การฟ้องร้องในคดีนี้เป็นผล จำเลยคุณเควิน บาร์ซาโรโมแพ้คดี ถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกสาวสองคนจนกว่าพวกเธอจะบรรลุนิติภาวะ ถูกปรับ 4 พันดอลลาร์แคนาดาและถูกตัดสินให้จำคุก 18 ปี 10 เดือน…”
ก่อนที่ผู้พิพากษาหนุ่มจะพูดจบ พ่อของพี่น้องโรชานก็ตะโกนออกมาอย่างโมโหว่า “ไม่ๆๆ ให้ตายเถอะ ฉันไม่ยอม! นี่ไม่ใช่เรื่องจริง การตัดสินของคุณเป็นโมฆะ! ไอ้ลิงผิวเหลือง ฉันต้องการร้องศาลอุทธรณ์! ฉันไม่มีความผิด! พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินฉัน!”
ผู้พิพากษาหนุ่มเพิกเฉยต่อเสียงคำรามของเขา เขาประกาศผลพิจารณาของตัวเองอย่างใจเย็น เขาหยุดไปครู่หนึ่งในตอนท้าย แล้วจ้องมองชายวัยกลางคนที่โกรธเกรี้ยวด้วยสายตาอันแหลมคมและพูดว่า “คุณเควิน บาร์ซาโรโม การยื่นอุทธรณ์ของคุณจะถูกจัดการ ถ้าคุณสามารถชนะคดีได้ แต่ถึงตอนนั้นคุณจะถูกฟ้องด้วยอีกข้อหาหนึ่ง นั่นก็คือผมจะฟ้องคุณในข้อหาเหยียดผิวและดูถูกผู้พิพากษา”
“แน่นอนว่า ถ้าคุณแพ้คดี ผมจะเลื่อนการฟ้องออกไป 18 ปีกับอีก 1 เดือน รอให้คุณได้รับการปล่อยตัวก่อนแล้วจึงฟ้องคุณ”
ตามรัฐธรรมนูญของแคนาดา ถ้าคู่ความไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาคดีของตนในศาลแพ่งสามารถ ‘ยื่นอุทธรณ์’ ต่อศาลอุทธรณ์ประจำจังหวัดได้
อย่างนี้จะมีผู้พิพากษาจากศาลอื่นมาจะตรวจสอบคดีของพวกเขา เพื่อดูว่าผู้พิพากษาอุทธรณ์ในศาลตัดสินถูกต้องหรือไม่ โดยปกติจะรับฟังคำอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาสามคนจากศาลอุทธรณ์
แต่กรณีนี้ไม่สามารถถูกล้มล้างได้ แคนาดาให้ความสำคัญกับการปกป้องผู้เยาว์มาก มากถึงระดับไหนล่ะ? แต่ละจังหวัดมี “กฎหมายคุ้มครองเด็ก” ของตัวเอง ซึ่งกฎหมายแต่ละข้อเข้มงวดไม่ต่างกัน และบทลงโทษสำหรับการละเมิดนั้นก็หนักไม่ต่างกัน
ยิ่งเด็กอายุน้อยจะได้รับมาตรการคุ้มครองที่เข้มงวดมากขึ้น เมื่อทำร้ายผู้เยาว์ ก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
ดังนั้น เมื่อเทียบกันแล้ว คดีของจูดี้จะมีลักษณะที่เลวร้ายกว่าคดีทรมานพี่น้องโรชาน แต่บทลงโทษของพ่อกลับเบากว่า สาเหตุหลักคือพี่น้องโรชานมีอายุน้อยกว่า
หลังจากที่คำพิพากษาสิ้นสุดลง คดีในช่วงเช้าก็สิ้นสุดลง หลังจากเลิกศาลฉินสือโอวก็ได้พาหู่จือและเป้าจือออกไป ที่เหลือคือการยอมรับการตัดสินจากโลกภายนอก เพื่อดูว่าเหล่าสุนัขบำบัดแลบราดอร์แสดงได้ดีมากน้อยแค่ไหน
ทันทีที่ฉินสือโอวเดินออกจากประตูศาล เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกตัวเอง จึงหันหลังกลับไป และเห็นผู้พิพากษาหนุ่มกัวซงกำลังโบกมือให้กับเขา
“สวัสดีครับ ท่านผู้พิพากษา” ฉินสือโอวยิ้ม เขาสามารถรู้ได้จากชื่อของเขาว่า คนคนนี้น่าจะเป็นคนเชื้อสายจีน การที่คนเชื้อสายจีนคนหนึ่งสามารถเป็นผู้พิพากษาขั้นสุดท้ายของศาลฎีกาของมณฑลได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาเก่งกว่าตัวเองมาก
“สวัสดีครับ คุณฉิน นอกศาลไม่ต้องเรียกผมว่าผู้พิพากษา เรียกชื่อผมเถอะ ผมชื่อกัวซง อพยพมาแคนาดาเมื่อสิบปีก่อน ดีใจมากที่ได้รู้จักคุณที่เซนต์จอห์น” กัวซงพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจและยื่นมือออกไป
ฉินสือโอวจับมือกับเขา และพูดยกย่องเขา กัวซงยิ้มอย่างสงวนท่าที จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อเทียบกันแล้ว ผมไม่ได้เก่งอะไร แลบราดอร์ที่ถูกคุณฝึกมานั้นยอดเยี่ยมมากกว่า ผมคิดว่าด้วยประสิทธิภาพที่โดดเด่นของสุนัขของคุณ ระบบสุนัขบำบัดจะถูกนำเข้ามาใช้ในศาลนิวฟันด์แลนด์ในเร็วๆ นี้”
ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันหลังจากทำความเข้าใจกันสั้นๆ ดูเหมือนว่ากัวซงแค่เข้ามาทักทายเท่านั้น
ในตอนท้ายฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า ‘ถ้ามีวาสนาต่อกันเราจะเจอกันอีก’ กัวซงยิ้มและพูดว่า “เชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า ผมรอยคอยวันนั้นที่จะได้พบคุณอีกครั้ง”
คำพูดนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง ฉินสือโอวต้องการถามว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ทันทีที่กัวซงพูดจบ เขาก็พยักหน้าแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้ให้เขาแค่เงาด้านหลังที่ไม่สามารถคาดเดาได้
หลังจากการพิจารณาคดีนี้หู่จือและเป้าจือก็กลายเป็นดาวเด่น คณะลูกขุนและผู้ชมไม่ได้ออกไปโดยตรง แต่ยังรออยู่นอกศาล เมื่อหู่จือและเป้าจือออกไป พวกเขาก็เข้าไปถ่ายรูป
บรรดานักข่าวก็ยิ่งกระตือรือร้น แพรีสถึงกับย่อตัวลงและวางไมโครโฟนตรงหน้าหู่จือและเป้าจือ ให้พวกเขาส่งเสียงร้องสองที เพื่อเป็นการปราศรัย…
หู่จือดมไมโครโฟน แล้วยื่นหน้าเข้าไปกัดสองครั้ง จากนั้นหันไปส่ายหน้าให้ฉินสือโอวอย่างผิดหวังสองที ซึ่งหมายความว่าสิ่งนี้กินไม่ได้…
……………………………………………………