ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1084 ค้นพบเรือทองคำ
การจลาจลในโซมาเลียเริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมาก อย่างน้อยทั้งโมกาดิชูก็ถูกกองกำลังรัฐบาลควบคุมไว้แล้ว
บนถนนยังมีบรรยากาศของสงครามอยู่ ผ่านไปไม่เท่าไรก็มีทหารลาดตระเวนประจำการ ในเมืองไม่มีไฟจราจรเพราะไม่จำเป็นต้องใช้ ทหารเข้ามาตรวจใบขับขี่เรื่อยๆ ตั้งแต่สนามบินจนถึงท่าเรือ รถฮัมเมอร์ที่เบิร์ดขับโดนตรวจไปสิบกว่ารอบแล้ว
เทียบกับที่สนามบิน วินัยของทหารพวกนี้ดีกว่ามาก พอฉินสือโอวเริ่มรู้สึกว่าการตรวจสอบชักจะล่าช้า เขาจึงหยิบหนึ่งร้อยดอลลาร์ส่งให้ทหารเหล่านั้น ปรากฏว่าพวกเขากลับโบกมือปฏิเสธ
เบิร์ดอธิบายให้เขาฟังว่า “ทหารพวกนั้นกองทัพอเมริกาช่วยฝึกมา ครูฝึกทหารที่จัดตั้งขึ้นเป็นชาวอเมริกา เยอรมัน จีน และรัสเซีย แล้วพวกเขาเข้มงวดเรื่องวินัยมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ต้องให้คุณหยิบเองหรอก ทหารรัฐบาลนั่นแหละจะช่วยจัดการกระเป๋าเงินคุณจนเกลี้ยงแน่”
เมื่อมาถึงท่าเรือ ขณะลงจากรถฉินสือโอวพลันได้ยิงเสียง ‘ปังๆ’ ดังขึ้นมาไม่ไกล ช่วงนี้เขาเล่นปืนทุกวันเลยตัดสินไปว่าเป็นเสียงปืน และยังเป็นไรเฟิลลำกล้องเล็กด้วย
เขาจึงรีบหลบหลังรถฮัมเมอร์โดยอัตโนมัติ แต่แบล็คไนฟ์ดึงเขาไว้พร้อมส่ายหน้า “นี่น่าจะมีคนฉลองอะไรอยู่มากกว่า? ปากกระบอกมันยิงขึ้นฟ้า ถ้าคุณไม่ได้ยินเสียง ‘ฟิ้วๆ’ ก็ไม่ต้องกลัว มีแค่เสียง ‘ฟิ้วๆ’ ที่หมายถึงมีคนยิงมาทางคุณ”
สีหน้าทหารคนอื่นๆ ก็ดูไม่ต่างกัน แม้พวกเขาจะย้ำว่าตอนเคยเป็นทหารรับจ้างก็เป็นแค่นายทหารเล็กๆ น้อยครั้งที่ได้ไปสนามรบ ทว่าดูแล้วไม่น่าเป็นอย่างนั้น คนพวกนี้คงผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
บนท่าเรือมีเรือประมงรุ่นเก่าลำหนึ่งที่เบิร์ดขับมาเอง
ข้างในรถฮัมเมอร์นั้นสะอาดผิดกับเรือประมง เบิร์ดขึ้นไปลากกล่องเก็บของบนเรือมาเปิดก่อน ด้านในเต็มไปด้วย AK-74 ที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ อีกกล่องหนึ่งคือกระสุนสีเหลืองส้ม ดูราวกับจะมีการต่อสู้กัน
พวกทหารต่างหยิบ AK ขึ้นมาดึงสไลด์ดัง ‘คลิก’ บรรจุกระสุนและปลดโหมดเซฟปืน เห็นดังนั้นฉินสือโอวก็ค่อนข้างแตกตื่น “ต้องเคร่งเครียดกันขนาดนี้เลยเหรอ?”
เบิร์ดตอบ “ระบบรักษาความปลอดภัยในตัวเมืองโมกาดิชูไม่เลวก็จริง ขนาดหัวขโมยยังแทบไม่เจอ แต่บนทะเลไม่เหมือนกัน อาชญากรรมย้ายไปอยู่ในทะเลทั้งหมด พวกเราเลยต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้ามีช่องทาง ผมก็ว่าจะสั่งซื้อจรวดสักชุด”
เป็นดังคาด ยิ่งเรือประมงแล่นเข้าน้ำลึกเท่าไรก็ยิ่งมีเรือมากมาย มีทั้งเรือประมงและเรือยอชต์ขนาดใหญ่ ตอนที่เรือประมงขับผ่านด้านข้าง ฉินสือโอวเห็นว่ายามบนเรือมีแต่คนประดับฟันไว้
“นี่คือเรือบ่อนพนัน เรือพิษ เรือนูด เรือตลาดมืด ธุรกิจผิดกฎหมายบนบกทั้งหมดล้วนมาอยู่ที่นี่ แถมเรือพวกนี้มีไม่น้อยที่พอตกกลางคืนก็กลายเป็นเรือโจรสลัดแล้วปล้นกันเอง” แบล็คไนฟ์กล่าวแนะนำ
ฉินสือโอวประหลาดใจ “วุ่นวายขนาดนั้นเชียว?”
บีบีซวงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ตอนที่พวกเรามาอยู่เมื่อสี่ปีก่อนต่างหากถึงเรียกว่าวุ่นวาย กองทัพรัฐบาลกับกองทัพเยาวชนต่อสู้กันทุกวัน เมืองตกอยู่ในความโกลาหล ช่วงนั้นตราบใดที่มีปืนอยู่ในมือ คุณอยากได้อะไรก็หยิบได้เลย อยากได้ผู้หญิงคนไหนก็ลักพาตัวไปเลย”
ฉินสือโอวไม่เคยได้เห็นเหตุการณ์นั้น สี่ปีก่อนเขายังอยู่ที่จีน แต่ก็มีข่าวเกี่ยวกับสงครามในโซมาเลียไม่มากนัก
ทว่าสิ่งที่พวกเบิร์ดบอกก็แค่เหตุการณ์สุดโต่ง พวกเขาออกจากท่าเรือขับมาไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงบริเวณเรือเก็บกู้ แล้วพบกับเรือจำนวนมาก แต่ไม่ได้เกิดการปะทะกันอย่างใด คลื่นลมทะเลสงบ มีคนท้องถิ่นบางส่วนล่องเรือเล็กขายอาหาร
แต่ที่ทำให้ฉินสือโอวตกใจคือ อาหารที่คนพวกนี้ขายกลับเป็นอาหารจีน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารอิสลาม เพราะโซมาเลียเป็นประเทศมุสลิมนั่นเอง
หลังมาถึงที่เรือวิจัยทางวิทยาศาสตร์แค่ในนาม ฉินสือโอวขึ้นเรือมาก็โดนบิลลี่กอดแน่น เอ่ยอย่างดีใจว่า “ศาสตราจารย์ฉิน สวัสดีครับ ในที่สุดคุณก็มา!”
ศาสตราจารย์ฉิน? ฉินสือโอวชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะ “ดอกเตอร์บิลลี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดีใจที่ได้พบนะครับ”
ชายผิวดำตรงดาดฟ้าเรือได้ยินที่พวกเขาเรียกกันก็เอ่ยด้วยความชื่นชม “พระเจ้า พวกคุณช่างเก่งจริงๆ อายุยังน้อยก็เป็นดอกเตอร์กับศาสตราจารย์กันแล้ว สุดยอดไปเลย”
บิลลี่แนะนำให้ฉินสือโอวรู้จัก ชายผิวดำคนนี้คงจะเป็นคนที่ทางรัฐบาลโซมาเลียส่งมาจับตาดูพวกเขา ซึ่งชื่อยาวมาก ฉินสือโอวจำได้แค่ชื่อเล่นที่ชื่อเหมือนกับนักฟุตบอลดาวดังคนหนึ่ง ชื่อว่าอาบู
ฉินสือโอวนำอาหารสดใหม่ร้อนๆ ขึ้นมาบนเรือ พวกบิลลี่ดีอกดีใจกันมาก ชายผิวดำที่ชื่ออาบูถึงกับถือไก่จานใหญ่วิ่งตรงกลับไปล็อกประตูห้องเพื่อลิ้มรสเองคนเดียว
พอเห็นกลุ่มคนพากันกินอาหารด้วยท่าทางเปี่ยมสุข ฉินสือโอวก็อดหัวเราะไม่ได้ “โอเวอร์กันไปแล้วมั้ง?”
บิลลี่กินอย่างมูมมามแล้วตอบว่า “ไม่โอเวอร์เลยสักนิด พวกเราไม่ได้กินอาหารผักสดๆ กันเลย ให้ตายเถอะ พวกเราขึ้นฝั่งได้แค่อาทิตย์ละครั้ง เพื่อรักษาความลับ ปกติเลยต้องพึ่งปลาทะเลประทังชีวิต ฉันกินแต่ซีฟู้ดจนจะอ้วกแล้วเนี่ย!”
อะไรที่มันเกินพอดีก็เท่ากับไร้ความหมาย สำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในทะเลตลอดปีคำว่าซีฟู้ด คงไม่ต่างอะไรกับการเอียนเนื้อ
หลังได้กินไปเล็กน้อย บิลลี่ก็ส่งสายตาให้ฉินสือโอว กล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราทำการทดสอบภูมิประเทศใต้ทะเลแล้ว เรือฟรันซิสโก ปิซาร์โรอยู่ที่นี่ ไปทางเหนือประมาณสิบกิโลเมตร รีบติดต่อสัตว์เลี้ยงนายเสีย ฉวยโอกาสตอนที่อาบูไม่อยู่รีบไปเก็บแร่มา”
เรือฟรันซิสโก ปิซาร์โรก็คือเรืออับปางที่ขนแร่ทองคำนั่นเอง มันคือเรือใบลำหนึ่งของสเปนในยุคที่เดินทางทางทะเลกัน เป็นหนึ่งในเรือสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของสเปนในช่วงเวลานั้น
ฟรันซิสโก ปิซาร์โรเป็นนักผจญภัยชาวสเปนผู้ไม่รู้หนังสือและเป็นผู้พิชิตอาณาจักรอินคาในเปรู เขาได้เปิดยุคสมัยที่สเปนและพิชิตทวีปอเมริกาใต้ และยังเป็นผู้ก่อตั้งเมืองหลวงลิมาประเทศเปรู ในยุคที่การเดินเรืออันยิ่งใหญ่เป็นไปโดยไร้ศีลธรรม เขาถือเป็นความภาคภูมิใจของสเปนทีเดียว
แต่ในสายตาของคนยุคปัจจุบัน ก็ไม่ต่างอะไรกับอันธพาล ฆาตกร นักฆ่า และคนค้าทาสที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง
ฉินสือโอวไม่ได้สนใจศึกษาประวัติของฟรันซิสโก ปิซาร์โร เขาแค่รู้คร่าวๆ เกี่ยวกับเรืออับปาง แล้วนำจิตสำนึกโพไซดอนลงไปในน้ำ
ด้วยข้อมูลของบิลลี่ ฉินสือโอวจึงหาเรืออับปางเจออย่างง่ายดาย ทันทีที่จิตสำนึกโพไซดอนลงไปควบคุมน่านน้ำใต้ทะเล เขาก็เห็นเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมแล้ว
เรือฟรันซิสโก ปิซาร์โรเป็นเรือสินค้าที่มีเสากระโดงหลายเสา แต่เพราะของที่ขนคือแร่ซึ่งเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก จึงจมลงไปกระแทกกับก้นทะเลจนแทบจะแหลกเป็นชิ้นๆ ฉินสือโอวมองรูปร่างเดิมของมันไม่ออกเลย
ซากเรืออับปางหลายส่วนผุพังไปเรียบร้อย หอยสังข์เกาะเต็มตัวลำเรือ มีสาหร่ายบางส่วนงอกอยู่บนเรือ โคลนทะเลจำนวนมากที่ถูกคลื่นใต้น้ำซัดสาดมาหลายร้อยปี ทำให้เรืออับปางถูกกลบมิดจนดูราวกับว่ามันงอกขึ้นมาจากใต้ทะเล
…………………………………………………………