ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1088 เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดยักษ์
บิลลี่แกว่งฉินสือโอวซ้ายขวาด้วยความดีใจเหมือนต้นคริสต์มาสที่กำลังจะโดนตัด
ฉินสือโอวก็ดีใจมากเช่นกันทว่าตั้งแต่มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอน สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าเรือนร่างงดงามของวินนี่ก็ยังคงเร้าอารมณ์เขาเสมอ
สำหรับเขาเงินทองมันก็แค่นั้น ไม่ว่าดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์แคนาดา หรือหยวนก็ล้วนอยู่ในทะเลทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเขาสนใจจะไปตักมันขึ้นมาหรือไม่
ดังนั้นต่อให้รู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มจะได้รับรายได้สองร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐแค่ไหน เขาก็ยังคงสงบ
ปล่อยให้บิลลี่แกว่งไปสักพัก ฉินสือโอวจึงถาม “นายดีใจเสร็จหรือยัง?”
ด้วยไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร บิลลี่เลยตอบไปอย่างงุนงง “เสร็จแล้ว…”
พูดไม่ทันจบ ฉินสือโอวก็หันไปคว้าเขาทุ่มข้ามไหล่ แน่นอนว่าร่วงลงบนที่นอน ไม่มีทางเจ็บ
“พระเจ้า นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย?” บิลลี่ตะโกน
ฉินสือโอวยิ้มน้อยๆ “นี่เป็นวิธีที่ฉันแสดงอารมณ์ตื่นเต้นแบบหนึ่ง ฉันยอมให้นายกอดโยกไปมาแบบแม่งโคตรเหมือนเกย์ แล้วนายจะไม่ยอมให้ฉันทุ่มนายบ้างเหรอ?”
บิลลี่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความมึน แล้วไม่ได้พูดอะไรนอกจากสบถฟัคออกมาเล็กน้อย
เอะอะกันได้ไม่นาน ทั้งสองก็ใจเย็นลงและเริ่มพิจารณาว่าจะบุกเบิกแร่ทองคำนี้อย่างไร
แร่ทองไม่ใช่ผลงานศิลปะของเรืออับปาง ฉินสือโอวแค่หาเหตุผลอะไรก็ได้ให้ใช้จิตสำนึกโพไซดอนเอามาได้ก็พอ แต่นี่เป็นแร่บริสุทธิ์หนึ่งพันตัน ต่อให้ตอนนี้จิตสำนึกโพไซดอนของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นถึงระดับนี้แล้ว ก็ยังยากต่อการขนขึ้นมาอยู่ดี
บิลลี่ไม่ได้คิดเรื่องที่จะให้ฉินสือโอวมาเก็บกู้แร่ทองเลย การเก็บตัวอย่างสิ้นสุดแล้ว งานของฉินสือโอวจึงเสร็จสิ้น งานที่เหลือหลักๆ มีเขากับเบลค แบรนดอนสามคนเป็นคนจัดการ
“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราปล่อยข่าวเรื่องแร่ทองออกไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวมองบิลลี่ “พวก แล้วนักวิจัยของนายไว้ใจได้ไหม? ให้ตายเถอะ ไม่ใช่ว่านายบอกข้อมูลเรื่องแร่เรืออับปางกับพวกเขาไปแล้วหรือไง?”
บิลลี่กลอกตาตอบว่า “แน่นอนสิ ฉันจะโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? พวกเขารู้แค่ว่าฉันน่าจะค้นพบอะไร แต่ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรกัน แถมก่อนหน้านี้ก็มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้ตำแหน่งเรืออับปาง ตอนนี้มีนายเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
ถ้าลูกเรือรู้ว่าไม่ไกลนี้มีแร่ทองคำมูลค่าสี่ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐซ่อนอยู่ก้นทะเลล่ะก็ รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เงินนั้นเพียงพอจะทำให้คนบ้าคลั่งได้เลย
ความจริง ทั้งฉินสือโอวและบิลลี่ต่างก็ระแวงกันเองไม่ต่างกัน!
ตอนฉินสือโอวเพิ่งทุ่มบิลลี่ไป จิตสำนึกโพไซดอนก็เคลื่อนย้ายไปยังฟาร์มปลา แล้วเจอคราเคนกับงูเหลือมทะเลจึงพาพวกมันมารวมตัวกัน โดยมีคราเคนเป็นหัวหน้า งูเหลือมทะเลที่ฝูงส่งออกมาครึ่งหนึ่งมียี่สิบตัวที่ยาวถึงสิบกว่าเมตรตามมาด้วย
การแบ่งสันองครักษ์มา ฉินสือโอวต้องทำเพื่อปกป้องตัวเอง ถ้าบิลลี่คิดจะทำอะไร คราเคนกับงูเหลือมทะเลก็เพียงพอจะทำลายเรือใหญ่ลำหนึ่งได้!
ความเป็นจริงนั้นก็โหดร้ายเช่นนี้ เพิ่งจะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอันเหนียวแน่น ตอนนี้พวกเขากลับต้องมาคอยระแวงกันเอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกเรือธรรมดาด้านนอก สี่ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐช่างน่าสะพรึงจริงๆ ขนาดฉินสือโอวยังไม่อาจให้คนรอบข้างรู้เรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะเบิร์ด นีลเซ็นหรือพวกแบล็คไนฟ์ เมื่อเจอกับสมบัติใต้ทะเลสี่ร้อยล้านดอลลาร์เข้า แม้แต่พระเจ้าคงสุดหยั่งรู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกัน
ข่าวนี้ไม่ควรให้คนระดับล่างรู้ แต่ให้คนระดับสูงรู้ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะถ้ามีคนรู้หลายคนทุกคนก็จะระแวงกันเองแล้วไม่กล้าทำอะไรตามใจชอบ
ฉินสือโอวแจ้งเรื่องกับเบลค บิลลี่แจ้งกับแบรนดอน หลังทั้งสองรู้ว่าเรืออับปางมีมูลค่าถึงสี่ร้อยล้าน ก็รับปากว่าจะรีบไปโมกาดิชูโดยเร็วที่สุดทันที
หลังจากนั้นครึ่งวัน เบลคและแบรนดอนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว พอขึ้นเรือมาพวกเขาก็ตรงเข้าไปในห้องกัปตัน เบลคถาม “คุมโทรศัพท์ดาวเทียมไว้หรือยัง?”
บิลลี่ตอบ “นอกจากฉัน ตอนนี้ก็ไม่มีใครใช้โทรศัพท์ดาวเทียมได้ ดังนั้นวางใจเถอะ เรื่องแร่ทองคำไม่มีทางหลุดไปได้แน่”
ทว่าจะไปเก็บกู้มาอย่างไร นั่นแหละคือปัญหา
ก่อนอื่น พวกเขาต้องเลี่ยงจากรัฐบาลโซมาเลียและเรือที่แล่นไปมาบนทะเลเสียก่อน จากนั้น พวกเขาต้องดำลงไปใกล้ก้นทะเลสองพันเมตร สุดท้ายหลังจากเก็บกู้แร่ทองแล้วพวกเขาจะขนส่งออกไปอย่างไร?
บิลลี่เคยไปเก็บกู้ของในความลึกระดับนี้มาก่อน แต่มันล้วนเป็นสมบัติจมน้ำที่มีการเก็บกู้น้อยมาก แต่แร่หนึ่งพันตันนั้น ระดับความยากในการเก็บกู้เทียบกับหม้อดินและขวดอย่างละใบไม่ได้เลย
ทั้งสี่ร่วมกันวางแผนการแต่ก็ปัดตกไปหลายแผน งานเก็บกู้แร่พันตันไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาได้ภายในวันสองวันอยู่แล้ว
ในที่สุดก็เป็นแบรนดอนที่มีประสบการณ์มากที่สุด เขาพึมพำกับตัวเองก่อนเอ่ยว่า “พวกเรามาเล่นละครตบตากันดีกว่า แร่ทองคำมีมูลค่าตั้งสี่ร้อยล้านดอลลาร์ใช่ไหม? งั้นเราก็มาจ่ายกันก่อน พวก เราไปซื้อเรือไร้ประโยชน์ลำใหญ่มาสักลำแล้วทำให้มันจมที่นี่กันเถอะ!”
“พอถึงเวลา พวกเราก็จะทำการเก็บแร่ในนามของการกู้เรืออับปาง ส่วนในเรืออับปางก็บรรทุกธัญพืชไว้ ถึงตอนนั้นค่อยเอาแร่ใส่ในกล่องบรรจุธัญพืช แล้วติดสินบนด่านศุลกากรโซมาเลียให้พวกเขาขนออกไป วิธีนี้เป็นอย่างไร?”
ได้ฟังแผนการ ฉินสือโอวพลันรู้สึกปวดหัว พูดน่ะมันง่ายพอตอนลงมือทำน่ะต้องยุ่งยากแน่ วิธีการซับซ้อนแบบนี้เอาไปทำเป็นหนังฮอลลีวูดได้เลย
แต่เพราะไม่มีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว แผนการที่แบรนดอนเสนอจึงน่าเชื่อถือที่สุด
ทั้งสี่คนปรึกษากันสักพัก สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนี้ มันไม่ได้เป็นแผนที่ดีเท่าไร ทว่าก็ยังไม่มีแผนอื่นที่ดีกว่า งั้นก็ต้องทำตามนั่นแหละ!
การจะทำตามแผนการนี้ต้องใช้เวลา พวกเขาเลยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เบรคกับแบรนดอนมาถึงที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องการเก็บกู้ เสร็จแล้วจึงเดินทางกลับไป
ตกเย็น ฉินสือโอวนำจิตสำนึกโพไซดอนไปอยู่กับคราเคน แล้วหันไปมองฝูงงูเหลือมทะเลตัวยักษ์ด้านหลังที่ตามมา มากมายอลังการดูน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะไปทางไหนพวกสัตว์น้ำก็พากันหนีหายหมด
เพราะตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับไม่อยู่เรือเก็บกู้ต่อ ดังนั้นฉินสือโอวจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพาพวกคราเคนมาแล้ว เลยวางแผนจะส่งพวกมันกลับ
ทว่าขณะที่เขากำลังจะควบคุมพวกคราเคนให้เดินทางกลับนั้นเอง จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นประหลาดในทะเล
เป็นคลื่นไหวกระเพื่อมน้อยๆ แต่สม่ำเสมอ ราวกับมีสัตว์ประหลาดยักษ์อะไรสักอย่างกำลังว่ายแหวกทะเลเข้ามาขวาง ซึ่งคลื่นที่กระเพื่อมน้อยๆ นั้นก็คือคลื่นทะเลที่กระทบกับตัวสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นเอง
ในใจพลันเกิดความสงสัย ฉินสือโอวจึงควบคุมจิตสำนึกโพไซดอนไล่ตามไปยังทิศทางที่คลื่นมาทันที อยากเห็นว่าสัตว์ประหลาดอะไรที่ทำให้เกิดอานุภาพแบบนี้ได้กัน
ตลอดทางยิ่งเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวยิ่งประหลาดใจ เขาเคลื่อนมาไกลมากแล้ว กลับไม่เจอตัวสัตว์ประหลาดเสียที มันต้องใหญ่ขนาดไหนกัน?
ทว่าการสั่นสะเทือนของคลื่นน้ำเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าเขาเข้าใกล้มันแล้ว
หลังเคลื่อนต่อไปอีกหลายกิโลเมตร ร่างใหญ่โตสุดหาที่เปรียบได้ของสัตว์ประหลาดก็ปรากฏสู่สายตาเขา…
………………………………………………………