ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1118 ฟาร์มปลาในฤดูใบไม้ผลิ
ที่แคนาดาถูกมองว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับชีวิตในวัยเกษียณ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ทุกอย่างที่นี่เป็นไปอย่างเชื่องช้า จังหวะของชีวิตที่เอื่อยเฉื่อย การตั้งคดีเพื่อตรวจสอบของตุลาการก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉินสือโอวส่งวัยรุ่นทั้งสี่คนขึ้นศาลในนามของกองกำลังพิทักษ์ชาติเรนเจอร์ ขั้นตอนการตรวจสอบและเก็บรวบรวมหลักฐานในระยะแรกที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก ขณะนี้จึงยังไม่สามารถเปิดศาลได้
ดังนั้น ฉินสือโอวจึงมีเวลาวางแผนเรื่องสมาคมอิสระได้พอดี
บิลลี่และคนอื่นๆ คิดว่าชื่อนี้มันน่าปวดหัวไปหน่อย แต่ฉินสือโอวคิดว่ามันก็ไม่แย่ เพราะจุดประสงค์ที่เขาก่อตั้งสมาคมนี้ ก็เพื่อให้ตัวเองมีอิสระมากขึ้น และหวังว่าจะสามารถทำให้เหล่าสมาชิกดำเนินกิจกรรมได้อย่างอิสรเสรีเช่นกัน
วันเวลาผันผ่านมาสู่เดือนพฤษภาคม เงาภาพของฤดูหนาวจากไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้าสีครามเข้ม เมฆขาวลอยละล่อง ไม่เหมือนกับช่วงฤดูหนาว ที่มักจะมีเมฆครึ้มปกคลุมอย่างหนาแน่น แล้วหลังจากนั้นก็จะมีหิมะตกหนัก
ตื่นมาตอนเช้า ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างออกไปดูข้างนอก ในระหว่างนั้น อยู่ๆ เขาก็สังเกตได้ถึงสนามหญ้าหน้าบ้านหลังบ้านที่กลายมาเป็นพื้นที่สีเขียวแล้ว ดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ บางส่วนที่บานอยู่ในสนามหญ้ากำลังเอนไหวท่ามกลางสายลมในตอนเช้าตรู่ ดูมีชีวิตชีวามาก
ในสนามหญ้าขนาดมหึมาของฟาร์มปลา หลายๆ ครั้งมักจะมีลูกนกลูกเป็ดลูกห่านผ่านเข้ามาปรากฏตัวอยู่เป็นประจำ มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้จัดงานงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ ไก่เป็ดห่าน หมูป่ากับกวางป่าในฟาร์มปลาจึงใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ จนสามารถแพร่พันธุ์ได้สำเร็จ
ฉินสือโอวเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าออกกำลังกายแล้วออกไปข้างนอก อุณหภูมิในตอนเช้ายังต่ำอยู่นิดหน่อย บนใบหญ้าประดับไปด้วยหยาดน้ำค้างพร่างพราว พระอาทิตย์ยามเช้าตรู่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ตกกระทบลงบนหยาดน้ำค้างปรากฏให้เห็นเป็นรังสีสะท้อนรอบด้าน เมื่อเหม่อมองออกไปยังท้องทุ่งหญ้า ก็จะพบกับแสงสว่างเรืองรองที่เปล่งประกายระยิบระยับ
ออกไปวิ่งได้แค่ไม่กี่ก้าว ฉินสือโอวก็เริ่มรู้สึกร้อนแล้ว ในตอนนี้เขาเพิ่งจะนึกได้ว่า ถึงเวลาที่สามารถสวมเสื้อออกกำลังกายแขนสั้นได้แล้ว
หู่จือกับเป้าจือตามก้นฉินสือโอวเหมือนหางอันเล็กๆ อยู่ข้างหลัง สุนัขแลบราดอร์รักการเล่นหยอกกันเกินไป พวกมันเป็นสุนัขที่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกาย ขอแค่ยังลืมตาอยู่ก็จะเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา แต่แน่นอนว่าต้องมีคนมาเล่นด้วยถึงจะนับว่าดี
สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวเดี๋ยวก็วิ่งเร็วๆ นำหน้าฉินสือโอว อีกเดี๋ยวก็เล่นกันจนรั้งท้าย จนพวกมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ไกลแล้ว ถึงได้รีบวิ่งให้เร็วขึ้น เป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิเม็ดทรายริมชายหาดเล็กละเอียดเป็นอย่างมาก หู่จือกับเป้าจือเดี๋ยวกลิ้งเดี๋ยวลุกอยู่บนนั้น ขนสีเหลืองอ่อนของพวกมันมีเม็ดทรายติดอยู่ไม่น้อย ฉินสือโอวปัดทรายที่ติดอยู่บนตัวให้พวกมัน แต่ปัดไปปัดมาขนดันร่วงลงมาด้วยซะอย่างนั้น
มองเห็นขนสั้นๆ พวกนี้ลอยไปตามลม หู่จือกับเป้าจือก็รีบนั่งลงอย่างว่าง่ายๆ ทันที อยู่ๆ อารมณ์ของพวกมันก็ลดฮวบลงมา พวกมันก้มหน้าลงแล้วใช้เท้าเขี่ยทรายไปมาเหมือนกับเด็กๆ
ฉินสือโอวจูบยอดศีรษะของพวกมันทั้งสองตัว พอเขาหยุดอยู่อย่างนี้ นิมิตส์กับบุชที่บินตามมาอยู่บนอากาศก็ร่อนลงมาข้างล่าง
นกอินทรีหัวขาวนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็สลัดขนสีเทาน่าเกลียดออกไปได้แล้ว ที่หัวของมันมีขนสีขาวขึ้นมาด้านบน ขนบนหางและปีกก็เปลี่ยนเป็นสีดำเงางาม ขณะที่บุชกางปีกออก ก็ราวกับว่าแสงอาทิตย์ไม่สามารถหยุดอยู่บนขนของมันและสะท้อนกลับไป จึงทำให้เกิดความรู้สึกร่มเย็นเหมือนกับสายน้ำที่ไหลริน
มันโตแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเกาะอยู่บนไหล่ของฉินสือโอวได้อีก ไหล่ของเขาไม่กว้างพอที่จะให้มันเกาะ มันจึงร่อนลงมาบนไหล่ไม่ได้
เขาสางขนให้บุชกับนิมิตส์อยู่สักครู่ หลังจากนั้นฉินสือโอวก็วิ่งไปบนชายหาดต่อ บรรดาชาวประมงที่ตื่นเช้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม บูลพากลุ่มหนึ่งออกทะเลไปตรวจสภาพปลา ส่วนแลนซ์ก็พาอีกกลุ่มไปบำรุงรักษาเรือปริ้นเซสเมล่อน
พอมองเห็นฉินสือโอว บรรดาชาวประมงก็ทยอยกันมาทักทายเขา “อรุณสวัสดิ์ครับ บอส ท่าวิ่งของคุณเท่มากๆ”
“บูล คนขี้ประจบแบบแกนี่ไม่ได้ฉลาดเลยนะ มีตอนไหนบ้างที่บอสดูไม่มีสง่าราศี? ใช่ไหมครับ บอส?”
“บีบีซวง นายมันขี้ประจบได้โล่จริงๆ ฉันยอมนายแล้ว”
ฉินสือโอวหัวเราะล้อกันเล่นกับพวกเขา ขณะที่กำลังยืนมองพวกเขาเตรียมตัวทำงานอยู่บนท่าเรือ คลื่นทะเลสาดกระทบท่าเรือ ละอองน้ำประปรายเป็นปอยๆ กับหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ลอยมากระทบกับใบหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกเย็นสบายและสดชื่นมากๆ
น้ำทะเลในฟาร์มปลาใสขึ้นยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้ดูมัวหมองเหมือนในช่วงฤดูหนาว ฉินสือโอวรู้สึกว่าเมื่อมองดูทะเลในช่วงฤดูหนาว น้ำทะเลที่เป็นสีเทาอ่อน ดูหม่นหมองเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เมื่อมองดูทะเลอีกครั้ง น้ำทะเลในตอนนี้กลับเป็นสีฟ้าอ่อน แสงอาทิตย์สาดส่อง ทำให้น้ำในทะเลโปร่งแสงเป็นประกายเป็นประกายระยิบระยับ
วิ่งได้หนึ่งรอบ เหงื่อเริ่มออกทั่วทั้งตัวแล้ว ฉินสือโอวจึงวิ่งกลับไปที่วิลล่าเพื่อเตรียมอาหารเช้า ในตอนนี้มิเชลเดินออกมาข้างนอกแล้ว
ทีแรกมิเชลจะออกมาวิ่งพร้อมกับฉินสือโอว ทว่าทั้งคู่มีความถี่ของการก้าวเท้าที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งการตื่นเช้าเกินไปก็ไม่ค่อยดีกับมิเชล เขาต้องได้รับการพักผ่อนที่เต็มอิ่ม ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้เขาตื่นสายกว่าตัวเองครึ่งชั่วโมง
หลังจากเข้ามาข้างใน ฉินสือโอวเห็นวินนี่กำลังอบขนมปังอยู่ จึงถามเธอด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ ที่รัก ทำไมคุณไม่ไปนอนต่ออีกสักหน่อยล่ะครับ?”
วินนี่หันหลังพิงเตาอบ เธอแย้มรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “วิวฤดูใบไม้ผลิงดงามขนาดนี้ ในฝันคงไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนี้แน่ๆ ค่ะ”
ฉินสือโอวหยิบไข่เค็มออกมา แต่ปรากฏว่าข้างในตู้เย็นเหลือไข่อยู่แค่ไม่กี่ใบ หลังจากที่เขาหยิบไข่ออกมาจนหมดเขาก็พบว่าด้านในยังมีกระปุกอยู่อีกสองใบ ข้างในกระปุกคือเห็ดหอมดองพริกกับเห็ดพอร์ชินีผัดน้ำมันที่เขาทำไว้ตั้งแต่ตอนนู้น เมื่อลองเปิดดูก็เห็นว่ายังมีส่วนที่เหลืออยู่อีกไม่น้อย
เอามือตบๆ หัวตัวเอง ฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ผมมึนแล้วจริงๆ ผักพวกนี้ถูกดองมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ทำไมถึงลืมกินเสียได้”
วินนี่รับมาลองดู ขณะที่กำลังดูเธอก็ถามเขาว่า “ยังกินได้อยู่ไหมคะ?”
ไม่ต้องรอให้ฉินสือโอวตอบ เธอเปิดขวดแล้วลองดมดู หลังจากนั้นก็ยิ้มด้วยความดีใจและพูดว่า “กลิ่นหอมมันเข้มขึ้นหรือเปล่าคะเนี่ย? ดูเหมือนว่าจะยังกินได้นะคะ”
เครื่องเคียงของมื้อเช้าก็คือเห็ดหอมดองพริกกับเห็ดพอร์ชินีผัดน้ำมัน ถูกดองไว้ตลอดทั้งช่วงฤดูหนาว นับว่ารสชาติซึมเข้าไปได้เต็มที่แล้ว ตอนที่ดองฉินสือโอวใส่เกลือไปแค่นิดเดียว ดังนั้นจึงทำให้รสชาติไม่ได้เค็มมาก ทุกๆ คนทานเข้าไปคำโต แม้กระทั่งเออร์บักยังชมไม่หยุดปาก
พอเห็นว่าทุกคนชอบทานของสิ่งนี้ ฉินสือโอวจึงตบโต๊ะ แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ สุดสัปดาห์พวกเราไปหาเห็ดป่าที่เกาะกลางทะเลสาบกับบนภูเขากันไหม? บางทีพวกเราอาจจะเจอผักดีๆ ก็ได้ เอามาหมักสักหน่อยต้องอร่อยมากแน่ๆ”
มิเชลจึงพูดด้วยความผิดหวังว่า “แต่ผมยังต้องซ้อม”
วินนี่ช่วยเขาจัดปกเสื้อพร้อมกับแย้มรอยยิ้มพูดกับเขาว่า “ไม่เป็นไร การทำงานกับการเรียนก็เพื่อทำให้ได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทำให้มันกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ดังนั้น…”
“ถ้าอย่างนั้นหนูไม่ซ้อมไวโอลินแล้วออกไปเล่นเลยก็ได้ใช่ไหมคะ?” เชอร์ลี่ย์พูดขัดวินนี่ด้วยความคาดหวัง
วินนี่เผยรอยยิ้มดั่งเทพธิดาที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเธอออกมา “ไม่จ้ะ หนูต้องตื่นแต่เช้ามาซ้อมไวโอลินก่อนล่วงหน้า หรือไม่อย่างนั้นหลังทานมื้อค่ำเสร็จจะไม่ได้พัก ต้องซ้อมไวโอลินต่อ”
เชอร์ลี่ย์ตกตะลึงจนตาค้าง “เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่คะ”
“นั่นเป็นการปลอบใจมิเชลน่ะ” วินนี่หัวเราะคิกคักพร้อมกับหยิกแก้มบนใบหน้าน่ารักๆ ของเชอร์ลี่ย์หนึ่งที
ฉินสือโอวมองดูวินนี่ที่กำลังหยอกล้อกับเด็กๆ ทั้งสองคน เขามองอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหู่จือกับเป้าจือไม่อยู่ที่นี่
ปกติแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จ หู่จือกับเป้าจือจะหยอกกันไปมาอยู่ในห้องรับแขก วุ่นวายจนฉงต้าทนไม่ไหวต้องหลบออกไป ทว่าตอนนี้ ในบ้านกลับเงียบสงบ ฉงต้ากินอิ่มจนพุงกาง ตอนนี้กำลังนั่งตบพุงอยู่บนพรมอย่างมีความสุข
“หู่จือกับเป้าจือล่ะ?”
วินนี่ลองเมียงมองแล้วถามขึ้นมา “เล่นอยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ? เมื่อกี้ตอนกินข้าวยังอยู่ที่นี่อยู่เลย”
ฉินสือโอวเดินออกไปดู สุนัขแลบราดอร์กำลังสั่นสะบัดตัวอยู่ ขนเส้นละเอียดบางส่วนฟุ้งกระจายออกมาทางด้านข้าง ทว่าไม่ว่ามันจะสะบัดตัวอย่างไร ก็ยังมีขนร่วงลงมาอยู่เหมือนเดิม เมื่อพบว่าเป็นเช่นนี้ พวกมันจึงหันไปมองฉินสือโอวด้วยจิตใจที่แห้งเหี่ยว แล้วร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า
ทันใดนั้น ฉินสือโอวก็เข้าใจได้ในทันที เพราะสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวมีขนร่วงลงมา พวกมันจึงพากันออกมาเล่นข้างนอกด้วยความไม่สบายใจ
………………………………………………………………..