ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1253 รถไฟดังปู๊นๆ
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด แซนเดอร์สวางมือทั้งสองลงอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อนใจไปครับ บอส นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย อย่าไปสนใจความคิดของพวกคนล้มเหลวเลย และก็อย่าไปสนใจว่าพวกเขาพูดอะไร พวกเราหาเงินของพวกเราต่อไป ใช้ชีวิตของเราต่อไป แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
ในใจฉินสือโอวเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แซนเดอร์สพูดไม่ผิดเลย เป็นคนนานๆ ทีจะได้ทำตัวงี่เง่าบ้าง ตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้นำประเทศหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐด้วยซ้ำ เรื่องใหญ่อย่างชนชาติหรือประเทศชาติอะไรพวกนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
ปกติแล้ว ฉินสือโอวก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่พอเขาเจอกับเรื่องเหยียดผิวแล้วก็ยังคงรับไม่ได้อยู่ดี
แต่ก็เหมือนกับที่แซนเดอร์สพูด เขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ไหนที่ไม่มีการเหยียดชนชาติกัน? แม้แต่ประเทศเดียวกัน ชนชาติเดียวกัน ก็ยังมีการเหยียดพื้นที่กันเลยไม่ใช่เหรอ?
จากนั้นฉินสือโอวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรื่องนี้ทำให้เขาเข้าใจได้แจ่มแจ้งเกี่ยวกับความลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่น แคนาดาไม่ใช่สรวงสวรรค์ แม้ว่าเขามีเงินก็สามารถพูดได้เพียงว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายหน่อยเท่านั้น ที่นี่ไม่มีวันกลายเป็นบ้านเกิดของเขาได้
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งมีความจำเป็นในการจัดการแฟร์เวลให้ดีแล้ว สถานที่นั้นก็คือรังของเขา เขาอยากสร้างให้มันกลายเป็นถิ่นของเขา ถิ่นที่ไม่ถูกน้ำพัดหายไปได้
ตั้งแต่มาถึงแคนาดา มาถึงเกาะแฟร์เวล และครอบครองฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว ความจริงฉินสือโอวไม่เคยรู้สึกถึงความปลอดภัยเลย
คนรอบตัวเขาไม่มีคนที่จะสามารถเข้าใจการกระทำต่างๆ ของเขาได้ อย่างเช่นตอนที่เขาซื้อเรือกำปั่นทะเลที่เป็นเรือยอชต์ติดอาวุธความเร็วสูงสี่ลำ หรือที่เขาซื้ออาวุธจำพวกเครื่องป้องกันกระสุนติดตามตัว หรือจรวดติดตามตัว หรือการที่เขาคิดหาวิธีทำให้ตัวเองได้รับสถานะเป็นทหารพลเรือนด้านทะเล เป็นต้น
ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการเตรียมพร้อมในการปกป้องตัวเองและทรัพย์สินเท่านั้น ก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่ลับเขี้ยวตัวเอง การทำแบบนี้ล้วนทำเพราะหวังว่าตัวเองจะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าความแข็งแกร่งแบบนี้เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอกเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ถ้าสามารถนำความสบายใจมาให้ตัวเองได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เรื่องที่ได้พบเจอวันนี้ยิ่งตอกย้ำความคิดของฉินสือโอวที่อยากจะควบคุมเกาะแฟร์เวล การที่ชาวจีนใช้ชีวิตในต่างแดนนั้นไม่ง่ายเลย เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ พึ่งได้แต่ตัวเองเท่านั้น
เมื่อเป้าหมายแน่ชัดแล้ว ฉินสือโอวก็อารมณ์ดีขึ้นมากมาย เมื่อกี้ที่เขาอารมณ์ร้าย เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วเขาไม่สามารถรับมือได้เลย ขอแค่มีวิธีรับมือได้ งั้นที่เหลือก็แค่ทำตามวิธีนั้น ไม่ใช่คิดว่าควรจะเครียดอย่างไร
ออสเปรรับตั๋วมาแบ่งให้ทั้งสี่คน ฉินสือโอวก้มหน้ามองทีหนึ่งแล้วก็พูดด้วยเสียงตกใจว่า “ฟัค ตั๋วใบหนึ่งราคาตั้งเก้าร้อยดอลลาร์แคนาดาเลยเหรอ? คิดผิดหรือเปล่าเนี่ย ตั๋วเครื่องบินยังไม่ถึงสองร้อยเหรียญเลย!”
ออสเปรอธิบายว่า “ที่นั่งที่พวกเราจองไว้คือที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมที่เตียงนุ่มกว่าครับ ราคาจึงสูงเป็นพิเศษ แล้วก็ บอสครับ อันนี้ถือว่าผมจ่ายให้คุณนะครับ คุณไม่ต้องคืนเงินให้ผมหรอก เหอๆ คือว่า ชีวิตคนเราอะนะ มีความสุขก็พอแล้ว ใช่ไหมครับ?”
เขายังคงอยากปลอบใจฉินสือโอวอยู่
ท่านชายฉินกลอกตาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่คิดจะให้เงินนายอยู่แล้ว”
ออสเปร “…”
นีลเซ็นตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เพื่อนรัก นายนี่ช่างใจกว้างจริงๆ ขอบคุณที่จ่ายตั๋วรถไฟระดับพรีเมียมให้ฉันนะ กลับไปฉันพานายไปสนุกที่ร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกายแล้วกัน”
ออสเปรจับไหล่ของเขาไว้ แล้วพูดว่า “อย่าคิดมากเลย เพื่อน ฉันจ่ายให้แค่บอสเท่านั้น นายยังคงต้องจ่ายของตัวเองอยู่ เก้าร้อยยี่สิบเหรียญ ห้ามขาดแม้แต่เซนต์เดียว!”
การหัวเราะพูดคุยกันแบบนี้ ทำให้บรรยากาศของคนทั้งกลุ่มคลายลงไปมาก ออสเปรกับนีลเซ็นเดินอยู่ข้างหลังแอบคุยกันเสียงเบา ต่อไปก่อนจะออกไปไหนจะต้องหาข่าวล่วงหน้าก่อนแล้ว ต้องไม่ให้บอสเจอกับเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดผิวแบบนี้อีก
พวกเขาทั้งสี่คนสายแล้ว แต่เพราะมีบริษัทเอ็กซ์เพรสจัดการให้ รถไฟจึงยังคงจอดรออยู่
ผู้โดยสารทั่วๆ ไปบนรถไฟไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงพากันส่งเสียงโวยวาย ดังนั้นเมื่อนายสถานีของสถานีรถไฟเห็นพวกฉินสือโอวทั้งสี่คน จึงรีบพาพวกเขาไปส่งที่ที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมอย่างรีบร้อน
ไม่แปลกที่ราคาแพงลิบ ที่นั่งระดับพรีเมียมบนรถไฟนั้นตกแต่งได้หรูหรามาก โบกี้ที่พวกฉินสือโอวอยู่นั้นสามารถบรรจุผู้โดยสารได้เพียงสิบหกคนเท่านั้น เนื้อที่กว้างขวางมาก
หลังจากขึ้นรถแล้วเขามองไปรอบๆ ทีหนึ่ง พบว่าโบกี้นี้มีทั้งห้องน้ำส่วนตัวและอุปกรณ์ทำความสะอาดหน้า ส่วนหัวของโบกี้มีที่นั่งไว้สำหรับชมวิว ส่วนท้ายยังมีห้องครัวเล็กๆ ไว้สำหรับบริการของว่าง แถมยังมีห้องอาบน้ำและรถเข็นอาหารอีกด้วย
หลังจากรถไฟขับผ่านเมืองท่าเรือบาสก์แล้ว ก็เข้าไปสู่ป่าไม้อย่างรวดเร็ว เมืองนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ หรือพูดได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างจากป่าไม้นั่นเอง และด้วยเหตุนี้ ทำให้รอบเมืองมีโรงงานผลิตกระดาษมากมาย
ผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่ถูกโขดหิน และชุมสายแม่น้ำมากมายแบ่งเขตมานั้นได้กลายเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ฉินสือโอวนั่งอยู่ที่นั่งชมวิวมองออกไปข้างนอก บางครั้งเขายังได้เห็นฝูงกวางอูฐ แพะป่าและหมาป่าใช้ชีวิตอย่างอิสระ
แน่นอนว่าบางครั้งยังสามารถมองเห็นปล่องควันเป็นแท่งๆ อีกด้วย นั่นก็คือสัญลักษณ์ของโรงงานผลิตกระดาษและโรงหลอมทองนั่นเอง
หลังจากรถไฟเข้าไปในป่าไม้แล้ว เริ่มแรกเป็นป่าเล็กๆ ก่อน จากนั้นป่าไม้ก็ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา ต้นสพรูสสูงใหญ่จำนวนหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่า การเคลื่อนของรถไฟไม่เหมือนกับในจีน รถไฟขบวนนี้ดึงหวีดรถไฟตลอดเวลา เสียงหวีดก็ไม่ใช่เสียง ‘ปู๊นๆ’ ทั่วไป แต่มีการเปลี่ยนจังหวะด้วย ราวกับเสียงดนตรีง่ายๆ อย่างไรอย่างนั้น
แซนเดอร์สเห็นเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “นี่คือกำลังไล่พวกสัตว์ป่าอยู่น่ะครับ รอบๆ รางรถไฟไม่มีหินหรือหญ้า ทำให้สัตว์ป่าจำพวกหนึ่งมาผสมพันธุ์กันที่นี่ ดังนั้นรถไฟจึงต้องทำการดึงหวีดรถไฟตลอดเพื่อไล่พวกมันไป”
“และถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ ในแต่ละปีรถไฟก็ยังทำร้ายสัตว์ป่าไปหลายหมื่นตัวอยู่ดี” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า “มนุษย์ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ใช่ไหมคะ? เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง จึงทำการรุกรานพื้นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตตั้งเท่าไรแล้ว?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าจะตอบสตรีท่านนี้ว่าอย่างไร เมื่อกี้เขาเพิ่งถูกคนขาวพวกนั้นเหยียดคนจีนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับยิ่งกว่า เหยียดกระทั่งมนุษยชาติเลย
พลบค่ำรถไฟได้ขับเข้าไปในเมืองคอเนอร์บลังก้า ความรู้สึกในการนั่งรถไฟไม่เหมือนกับการอยู่บนท้องทะเล รถไฟเคลื่อนผ่านเข้าไปในตัวเมืองโดยตรง นิวฟันด์แลนด์มีเมืองใหญ่น้อยมาก แต่มีเมืองเล็กๆ มากเอาการทีเดียว รางรถไฟจึงสร้างไว้ผ่านเมืองเล็กๆ เหล่านี้ ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คอเนอร์บลังก้าเป็นหนึ่งในเมืองฟาร์มเกษตรที่มีไม่มากในเขตนิวฟันด์แลนด์ รอบๆ เมืองนี้ล้วนเป็นพื้นที่ฟาร์มเกษตรทั้งนั้น พื้นที่ราบสุดลูกหูลูกตา เส้นขอบผืนดินเป็นแนวเดียวกับเส้นขอบฟ้า กลางทางจะต้องทำการจอดที่นี่เป็นเวลาสี่สิบนาทีเพื่อถ่ายสินค้าลง ฉินสือโอวได้รับอนุญาตให้ลงรถไปชมวิวได้ จึงเดินลงรถไป
นีลเซ็นกับออสเปรรีบเดินตามไป พวกเขาหยิบบุหรี่ออกมาด้วยบอกว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ความจริงแล้วเพราะกลัวฉินสือโอวจะเป็นอะไรมากกว่า
สวรรค์ไม่เป็นใจ วันนี้อากาศมืดครึ้ม ทำให้มองไม่เห็นวิวพระอาทิตย์ตกอันสวยงามจากพื้นที่ราบแห่งนี้
เมืองเล็กแห่งนี้ไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้างที่สูงมากนัก ฉินสือโอวยืนอยู่ในสถานีรถไฟแล้วมองออกไปไกล รู้สึกเหมือนว่าตัวเองสามารถเห็นชายแดนของเมืองนี้ได้เลย เพราะเมืองนี้เล็กจริงๆ
ในสถานีรถไฟมีคนเข็นรถมาขายของพื้นเมือง ฉินสือโอวซื้อชีสเค้กคลาวด์เบอร์รี่ คุกกี้ถั่วลิสง ข้าวสาลีคั่วและน้ำผลไม้เป็นอาหารว่าง คุณภาพของของเหล่านี้ได้ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี รสชาติก็ไม่เลว เขาชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลยจึงซื้อมาอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเอากลับไปให้วินนี่และพวกเด็กๆ กิน
…………………………………………………