ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1341 แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม
“ขอบคุณครับ ปู่เฉิน ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่ามันคือของขวัญอะไร?” ฉินสือโอวกล่าว
นายทหารเก่าพูดพึมพำกับตัวเองว่า “กี่ปีแล้วนะ ผ่านมากี่ปีแล้ว ฉันเก็บมันไว้ตลอดเลย ตอนที่ฝึกทหารอยู่ที่แวนคูเวอร์ พี่ฉินดูแลฉันดีมากๆ น่าเสียดาย หลังจากกลับมาจากหนานหยางฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเลี้ยงปลาอยู่ที่นิวฟันด์แลนด์”
พอพูดจบเขาก็หันมามองฉินสือโอว “ถ้าไม่ใช่เพราะเทศบาลนครเซนต์จอห์นเชิญฉันให้มาที่นี่ ฉันอาจจะได้ไปพบพี่ฉินอีกทีตอนตายเลยก็ได้ แล้วถึงตอนนั้นคงจะเพิ่งได้รู้ข่าวคราวของเขา”
เอี๋ยนตงเหล่ยพูดอย่างทอดถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดาย “ใช่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีแถมยังอยู่ในยุคสงครามอีก แบบนี้ถ้าขาดการติดต่อกันก็คงไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต”
ฉินสือโอวก็พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าปู่เฉินจะยังจำปู่ของผมได้ สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะความวุ่นวายจากการทำสงคราม บางทีตอนนั้นปู่ของผมก็อาจจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีเพื่อนร่วมรบคนหนึ่งที่ยังระลึกถึงตัวเองอยู่”
นายทหารเก่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องจำพี่ฉินได้อยู่แล้ว ฉันยังจำงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใครของเขาได้อยู่เลย ฮ่าๆ พี่ชายคนนี้ชอบกินอำพันทะเลล่ะ”
เอี๋ยนตงเหล่ยใช้สายตาแปลกๆ มองไปที่ฉินสือโอว ฉินสือโอวเองก็รู้สึกสับสนอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แต่พอเขาลองนึกถึงอีกชื่อหนึ่งของอำพันขี้ปลา เขาก็ใจกระตุกขึ้นมาทันที แล้วจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจว่า “ปู่หมายถึงอำพันทะเลใช่ไหมครับ?”
อำพันทะเลแท้จริงแล้วของชนิดนี้คืออะไรกันแน่ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอย่างละเอียด รู้เพียงว่ามันเกิดขึ้นในทะเลลึก ในปัจจุบันมีคำอธิบายเชิงตัวแทนว่ามันคือสารคัดหลั่งของวาฬหัวทุย เนื่องจากมันไม่สามารถย่อยหมึกและคอราคอยด์ของหมึกยักษ์ได้ เมื่อผสมกับของเหลวในทางเดินอาหารจึงแข็งตัวจนกลายเป็นก้อนแล้วจะคายออกมาอีกที
แต่ฉินสือโอวรู้ว่ายังมีคนบางส่วนที่เรียกของสิ่งนี้ว่าอำพันขี้ปลาด้วย…
นายทหารเก่าพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราฝึกอยู่ที่แวนคูเวอร์ เขาพกติดตัวไว้ก้อนหนึ่ง ก่อนจะเข้านอนเขาจะเอามันออกมากินทีละนิด เขาบอกว่าร่างกายของเขามีอาการผิดปกติ อำพันขี้ปลาประเภทนี้เป็นยาสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้”
ในใจของฉินสือโอวรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าปู่สองรับพลังจากของสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่แค่ได้พบมัน เขาก็สามารถซึมซับพลังมาได้แล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ “ปู่เฉินครับ อำพันขี้ปลาก้อนนั้น ปู่ยังเก็บไว้ตลอดเวลาเลยใช่ไหมครับ?”
นายทหารเก่าพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มันเหมือนกับก้อนหินเลย ไม่มีทางเสียหายแน่นอน ฉันเก็บมันไว้ตลอดแหละ คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้เจอพี่ฉินอีกฉันจะมอบมันเป็นของขวัญให้กับเขา”
ฉินสือโอวจึงถามว่า “แล้วปู่ได้มันมายังไงเหรอครับ?”
นายทหารเก่าขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วใช้น้ำเสียงราวกับกำลังรำลึกถึงอดีตพูดให้เขาฟังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนอายุประมาณ 42 ปี ตอนไปรบที่สิงคโปร์ฉันบังเอิญได้มาหนึ่งก้อน หลังจากนั้นเลยเอามันกลับมาที่แคนาดาด้วย แต่ก็หาพี่ฉินไม่เจอแล้ว”
ได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน เอี๋ยนตงเหล่ยก็ถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจว่า “อำพันขี้ปลาพวกนี้มีเรื่องเล่าอะไรอย่างนั้นเหรอ? ผมเห็นว่าพวกคุณดูจะให้ความสำคัญกับมันมาก”
ฉินสือโอวถึงกับตกใจ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองแสดงอาการตื่นเต้นออกไปมากเกินไป จึงหัวเราะออกมาแล้วพูดเบาๆ ว่า “ก็คุยกับผู้ใหญ่นี่ อีกอย่างคุณปู่เขาก็เตรียมของขวัญไว้ตั้งครึ่งศตวรรษแล้ว คุณไม่รู้สึกว่ามันมีกลิ่นอายของความเป็นตำนานบ้างเหรอ?”
เอี๋ยนตงเหล่ยยกมือขวาชี้นาฬิกาบนข้อมือให้เขาดูแล้วพูดว่า “เป็นตำนานก็จริง แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อพวกเราจะพากันไปสายแล้วนะ”
ฉินสือโอวพยักหน้ารับ ช่วยเอี๋ยนตงเหล่ยประคองนายทหารเก่าไว้คนละฝั่งแล้วพาไปที่โถงใหญ่ของโบสถ์ ที่นั่นเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมในวันนี้
บรรดานายทหารเก่าชาวจีนนั่งอยู่ตรงแถวหน้าสุด พร้อมกับภรรยาทหารเก่าอีกหลายคน พวกเธอสวมเครื่องแบบทหารแบบเก่า ติดเหรียญตราไว้บนเสื้อผ้าเยอะบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป
ฉินสือโอวเป็นตัวแทนของคนจีนที่นั่งของเขาอยู่ในแถวที่สอง หลังจากตามมานั่งกับวินนี่และเออร์บักแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณผู้หญิงพวกนั้น พวกเธอเป็นทหารหญิงที่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองเหรอ?”
วินนี่จึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ พวกเธอคือเป็นแม่หม้ายที่สามีเคยเป็นทหาร ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมการรำลึกแทนสามี พวกเธอมางานนี้ทุกปีอยู่แล้วค่ะ คุณหันไปมองทางนั้นสิคะ คนพวกนั้นคือญาติพี่น้อง ลูกชายลูกสาวของทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทั้งนั้นเลยค่ะ”
ฉินสือโอวหันไปมองเออร์บักที่อยู่ข้างๆ กัน แล้วพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ปู่สองของผมก็เป็นทหารที่เคยสร้างคุณงามความดีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่เชิญปู่เออร์ไปนั่งตรงนั้นบ้างล่ะ?”
ทว่าเออร์บักกลับทำตัวอย่างสบายๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทหารผ่านศึกพวกนั้นเขาขึ้นทะเบียนกันหมดแล้ว ปู่ของนายไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียน ฉันก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ปู่ฉินไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตอนที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง บางทีสงครามอาจจะทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา”
ส่วนสำคัญของกิจกรรมงานรำลึกก็คือการประมูล ชาวอเมริกาและชาวแคนาดาชอบที่จะจัดการประมูลไว้ในช่วงท้ายของงาน และในช่วงเวลานี้พวกคนมีเงินที่มาเข้าร่วมกิจกรรมก็ไม่เคยหวงเงินในกระเป๋าตังค์ของตัวเองเลย
เงินทุนที่ได้จากการประมูลในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในสองด้าน ด้านที่หนึ่งจะถูกใช้สำหรับเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของทหารผ่านศึกและบรรดาแม่หม้ายให้ดีขึ้น ส่วนด้านที่สองก็คือการนำไปบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือสุสานทหารผ่านศึกเพื่อเป็นทุนสำหรับการบำรุงรักษา
ทีแรกฉินสือโอวคิดว่าตัวเองมาเข้าร่วมงานแค่พอเป็นพิธีเฉยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคนอื่นเข้าใจว่าเป็นตัวแทนชาวจีนจากนครเซนต์จอห์นจนได้ ปู่สองของเขาก็เคยสร้างคุณงามความดีไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงอย่างไรเขาก็ควรจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้จริงๆ นั่นล่ะ
แต่ปรากฏว่าพอเข้ามาถึงบริเวณงานประมูล คนที่ทำหน้าที่ดำเนินงานประมูลกลับกลายเป็นวินนี่เสียได้
ฉินสือโอวรู้สึกสับสนงงงวยขึ้นมาทันที เขาถามเธอว่า “คุณเป็นพิธีกรเหรอ? ทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ?”
วินนี่ไหวไหล่พูดกับเขาว่า “เทศบาลนครเชิญให้ฉันเป็นนะคะ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแถมยังไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ก็เลยไม่ได้บอก”
ฉินสือโอวแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “ทำไมถึงพูดว่าไม่เกี่ยวกับผมล่ะครับ? เกี่ยวกันมากๆ เลยต่างหากล่ะ!”
วินนี่ยิ้มแล้วตบหลังมือของเขาเบาๆ เธอเดินขึ้นไปบนเวทีประมูลท่ามกลางเสียงปรบมือ ต่อจากนั้นแฮมเล็ตก็แนะนำทุกคนให้รู้จักเธอ หลังจากนั้นการประมูลจึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อวินนี่มีฐานะเป็นพิธีกรดำเนินการประมูล ฉินสือโอวก็ต้องจริงจังกับการมูลในครั้งนี้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบขึ้นในงาน
ของประมูลชิ้นแรกถูกนำมาโชว์บนเวทีแล้ว วินนี่จึงเอ่ยแนะนำว่า “วันนี้เราได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงแคนาดามีส่วนร่วมอย่างมหาศาลในการสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานั้น พวกเธอต้องดูแลครอบครัวและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างยากลำบากและยังต้องอดทนต่อความวิตกกังวลที่กดทับอยู่ในใจโดยลำพัง ตอนนั้นพวกเธอกลัวว่าสักวันหนึ่งจะได้รับโทรเลขหรืออาจสายโทรศัพท์ที่ไม่อยากรับโทรเข้ามาที่บ้าน เนื่องจากหลายๆ ครั้งมันมักจะหมายความว่าคนที่พวกเธอกำลังรออยู่จะไม่กลับมาหาพวกเธออีกตลอดกาล…”
“และการสนับสนุนของเหล่าสุภาพสตรีในช่วงสงครามยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่พวกเธอยังได้ระดมเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อการทำสงครามในครั้งนี้อีกด้วย สินค้าประมูลชิ้นแรกที่ถูกนำมาจัดแสดง มีชื่อว่า ‘แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม’ เริ่มตั้งแต่ปี 1993 คนเป็นแม่เป็นพี่สาวน้องสาวหรือลูกสาวจำนวนนับไม่ถ้วนยืนขายแสตมป์ชนิดนี้อยู่ตามริมถนน ซึ่งสามารถระดมเงินเป็นเงินทุนในการทำสงครามให้กับกองทัพของเราได้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์แคนาดา…”
แสตมป์ที่แสดงจำนวนตั้งแต่ 5 จนถึง 25 ดอลลาร์จำนวนหนึ่งชุดก็ปรากฏขึ้นบนจอใหญ่ประกอบกับการนำเสนอของวินนี่ นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายอีกหนึ่งชุด เป็นภาพของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สวมผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันไว้ที่เอว ในภาพถ่ายเหล่านั้นพวกเธอกำลังเร่ขายแสตมป์ชนิดนี้ให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
หลังจากนำเสนอแสตมป์ชุดนี้ไปแล้วเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นวินนี่จึงเริ่มประกาศราคาประมูล “ราคาประมูลขั้นต่ำของการประมูลครั้งนี้อยู่ที่ 4,500 ดอลลาร์แคนาดา โดยทุกครั้งที่เสนอราคาจะเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 ดอลลาร์ ทุกๆ ท่านเริ่มเสนอราคาได้เลยค่ะ!”
ฉินสือโอวยกหนังสือแนะนำในมือขึ้นเป็นคนแรก แล้วพูดว่า “4,600 ดอลลาร์!”
วินนี่แย้มรอยยิ้มหวานๆ พร้อมกับผายมือไปทางเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษท่านนั้นเสนอราคาประมูลครั้งแรกที่ 4,600 ดอลลาร์…”
“4,700 ดอลลาร์!” มีคนเสนอราคาขึ้นอีกครั้ง
“4,800 ดอลลาร์” เสียงเสนอราคาประมูลดังขึ้นติดต่อกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามและท่าทางสง่าผ่าเผยของวินนี่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ในตอนนี้การแข่งขันประมูลก็เริ่มดุเดือดขึ้นแล้ว
……………………………………………..