ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1345 เสียงไวโอลินลอยล่อง
ฉินสือโอวเดินกางร่มออกมา หลังจากนั้นร่มของเขาก็บินไปเสียแล้ว…
ช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่หาเสื้อกันฝนตัวใหญ่ๆ มาใส่แทน หลังจากนั้นก็ดึงมันไปคลุมเชอร์ลี่ย์ไว้ด้วย แบบนี้ถึงจะกันฝนได้ดีที่สุด
จัดการแบบนี้แล้ว หลังจากฉินสือโอวกลับรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ทางด้านหลัง พอเขาหันกลับไปมองก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วินนี่กำลังใช้สายตาราวกับมีดจ้องมองมาทางนี้ “ที่รักคะ คุณคิดว่าระยะห่างระหว่างคุณกับเชอร์ลี่ย์มันใกล้กันเกินไปไหมคะ?”
กอร์ดอนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “พวกเขาจะรวมร่างกันอยู่แล้ว”
วินนี่ ฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ “ไปให้พ้น!”
กอร์ดอนจึงหอบเอาไอแพดวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึมทันที เขาวิ่งไปด้วยบ่นพึมพำไปด้วยว่า “ห้ามปากประชาชนยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ! พวกคุณกักขังร่างกาย ควบคุมคำพูดของผมได้ แต่พวกคุณกักขังหัวใจที่โหยหาอิสระของผมไม่ได้หรอก!”
พ่อของฉินสือโอวกล่าวว่า “โห เด็กคนนี้พูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วจริงๆ สำเนียงจีนกลางของเขาดีกว่าของพ่อกับแม่แกเสียอีก”
ฉินสือโอวยังอยากอยู่คุยต่ออีกสักพัก ทว่าเชอร์ลี่ย์รอไม่ไหวแล้ว เธอใช้มือน้อยๆ ภายใต้เสื้อกันฝนดึงข้อมือของเขาเอาไว้แล้วสะบัดไปมาแรงๆ สะบัดจนสายตาของวินนี่หมุนขึ้นลงไม่หยุด
ช่วยไม่ได้ รู้หลบรู้หลีกคงจะดีกว่า ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เอาหัวดันเสื้อกันฝนแล้วเดินออกจากบ้านมา
เสียงลมพายุคลั่งกรีดเสียงร้องหวีดหวิวพัดเข้ามา จนฉินสือโอวต้องโอบเด็กสาวเอาไว้เพื่อที่จะต้านลมได้อย่างเต็มที่ แถมเขายังไม่กล้าเดินเร็วเพราะกลัวว่าถ้ายกเท้าขึ้นแล้วจะถูกลมพัดจนปลิวขึ้นไปข้างบน
ตอนนี้แรงลมยังไม่ถึงระดับสิบ แต่ฉินสือโอวคาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณระดับแปดถึงระดับเก้าแล้ว ถ้าถึงระดับสิบเขาจะไม่เดินออกมาแน่นอน ลมแรงระดับนั้นมันสามารถพัดคนให้ปลิวได้จริงๆ
เป็นอย่างที่เชอร์ลี่ย์กังวลจริงๆ ตอนนี้ตี้หลูกับเปากงที่อยู่ในคอกม้ากำลังพากันกลัวจนอกสั่นขวัญหาย ถึงจะมีหญ้ารสเลิศวางอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันก็ไม่สนใจจะกิน แล้วเอาแต่สูดหายใจเข้าไปอย่างแรง ลมฝนจากทางด้านนอกพัดคอกม้าจนเกิดเป็นเสียงที่ทำให้พวกมันร้อนรุ่มกลุ้มใจ
ขณะที่พวกมันกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น ฉินสือโอวกับเชอร์ลี่ย์ก็เข้ามาหาพอดี ลูกม้าทั้งสองตัวก็ส่งเสียงร้องออกมา อั๊ยหยาซี้แล้ว เข้ามาทำไม? พวกหนูตกใจหมดเลย
พอฉินสือโอวถอดเสื้อกันฝนออก ตี้หลูกับเปากงถึงพึ่งจะสงบลง ลูกม้าทั้งสองตัวอยากจะยกเท้าถีบพวกเขาจริงๆ สภาพอากาศสภาพแวดล้อมแบบนี้ พากันเข้ามาแบบนี้เหมือนจังหวะผีเป่าเทียนเลย
เชอร์ลี่ย์เห็นท่าทางตื่นตกใจขอพวกลูกม้า หลังจากถอดเสื้อกันฝนออกแล้วเธอก็วิ่งไปที่ห้องเก็บอาหารแล้วหยิบแครอทออกมาประมาณสองสามหัว หลังจากนั้นก็ป้อนมันให้กับตี้หลูก่อนแล้วค่อยป้อนให้เปากงกินบ้าง แค่แป๊บเดียวก็ปลอบประโลมลูกม้าทั้งสองตัวได้แล้ว
แครอทเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ และหากแครอทพวกนี้เป็นพืชที่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แบบนั้นก็จะกลายเป็นของกินที่พวกมันโปรดปรานที่สุด ไม่ใช่แค่หนึ่งในอาหารที่ชอบกินแล้ว
เมื่อปลอบลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ได้แล้ว เชอร์ลี่ย์เปิดกล่องไวโอลินออกแล้วหยิบไวโอลินขึ้นมา ฉินสือโอวเอนตัวพิงประตูทางเข้า พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ที่รัก ไม่ต้องเล่นไวโอลินได้ไหม? พวกเราแค่อยู่คุยเป็นเพื่อนพวกมันไม่ได้เหรอ?”
เชอร์ลี่ย์รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงหันกลับไปขมวดคิ้วนิ่วหน้าพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา “หนูจะเล่นๆ ฉินคุณแย่มาก อย่ามาทำลายความตั้งใจของหนูได้ไหม?”
ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วควักมือถือออกมาเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง เชอร์ลี่ย์ยื่นมือออกไปลูบคอของตี้หลูอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางไวโอลินไว้บนไหล่ เธอสะบัดแขนขวาเบาๆ หลังจากทดลองปรับเสียงเสร็จแล้วจึงวาดแขนบรรเลงมันให้เป็นเพลง
ฉินสือโอวจงใจทำท่าทีมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรมาอุดหู แต่ปรากฏว่าพอเสียงไวโอลินดังขึ้นมา เขาก็นิ่งงันไปทันที
มันเหนือกว่าความคาดหมายของเขา เสียงบรรเลงไวโอลินของเชอร์ลี่ย์งดงามมากจริงๆ
แน่นอนล่ะว่า ทักษะการเล่นไวโอลินของเด็กสาวยังไม่ได้ลึกล้ำถึงขั้นนั้น แต่หากเทียบกับเมื่อก่อน เสียงไวโอลินที่เธอกำลังเล่นอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับเสียงดนตรีของทูตสวรรค์เลยล่ะ ถึงแม้ว่าหลักๆ แล้วจะเป็นเพราะเสียงดนตรีที่เธอเล่นเมื่อก่อนมันแหลมบาดหูก็ตาม
เสียงไวโอลินดังขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่วงทำนองที่เชื่องช้า เสียงสูงต่ำดังขึ้นต่อกันไม่ขาด ฉินสือโอวจำได้ว่านี่คือเพลงแคนอนที่วินนี่เคยเล่น และบางทีอาจจะน่าฟังกว่าที่วินนี่เคยเล่นด้วยซ้ำ
ผมสีบลอนด์ของเด็กสาวสะบัดพลิ้ว เสียงไวโอลินดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ฉินสือโอวรู้สึกว่าเสียงลมที่พัดตีคอกม้าดังอื้ออึงก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเท่าไรแล้ว
ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวพากันยื่นหัวออกมาพักไว้บนรางหญ้าออกมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดกันไว้ ใช้ตาโตสดใสจ้องมองเด็กสาวตาปริบๆ ทันใดนั้นฉินสือโอวก็นึกถึงรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยอ่านขึ้นมา จากการวิจัยพบว่าม้าฟังเสียงดนตรีรู้เรื่อง
เพลงแคนอนถูกบรรเลงจนจบ เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมามองฉินสือโอว คนหลังเก็บโทรศัพท์มือถือตั้งนานแล้ว เขาปรบมือให้เธอเบาๆ พร้อมกับพูดอย่างจริงใจว่า “ขอโทษด้วยนะ เชอร์ลี่ย์ ที่พูดไปเมื่อสักครู่ฉันผิดเอง”
เขาเอาใจใส่พวกเด็กๆ ไม่มากพอ เชอร์ลี่ย์ฝึกซ้อมไวโอลินมาครึ่งปีกว่าแล้ว ทว่าจิตสำนึกของเขายังคงหยุดอยู่ในตอนที่เด็กสาวเพิ่งจะได้สัมผัสกับไวโอลินเป็นครั้งแรกๆ
เด็กสาวแย้มรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเธอสั่นสะบัดข้อมือเบาๆ เพลงบทใหม่ก็ถูกบรรเลงขึ้น
เพลงที่ดังขึ้นมาในคราวนี้ก็เป็นเพลงที่ฉินสือโอวคุ้นชินเช่นกัน มันมีชื่อว่า ‘คู่รักผีเสื้อ’ มีระดับความยากมากกว่าเพลงแคนอนอยู่นิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเล่นเพลงนี้เป็นแล้ว
เชอร์ลี่ย์นำโน้ตเพลงมาด้วย หลังจากเล่นเพลงผีเสื้อคู่รักจบเธอก็พลิกหน้าแผ่นโน้ตแล้วเริ่มเล่นเพลงต่อ แต่เนื่องจากมีลมทะเลพัดเข้ามา โน้ตเพลงจึงเอาแต่พลิกไปพลิกมาอยู่เรื่อย ฉินสือโอวเข้าไปช่วยเธอทับแผ่นกระดาษไว้ เพื่อให้เธอบรรเลงไวโอลินต่อได้อย่างไม่มีอะไรมารบกวน
ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นกัน พวกมันไม่ได้ส่งเสียงรบกวนแล้ว มีแค่นานๆ ครั้งเท่านั้นที่มันจะทำเสียงสูดจมูก ราวกับว่าพวกมันต้องการจะปรบมือให้กำลังใจอย่างไรอย่างนั้น
เชอร์ลี่ย์อยู่ในคอกม้าเป็นเพื่อนพวกมันทั้งสองตัวตลอดทั้งวัน พอเหนื่อยเธอก็พักฟังเพลง หลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่งค่อยกลับมาสีไวโอลินต่อ ดำดิ่งเข้าไปในเสียงดนตรี ส่วนลูกม้าอเมริกัน เพนต์ก็เหมือนว่าจะดำดิ่งอยู่ในเสียงเพลงเรียบร้อยแล้ว
ช่วงพลบค่ำแรงลมและแรงฝนอ่อนกำลังลงแล้ว วินนี่เข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นท่าทางเชอร์ลี่ย์การบรรเลงไวโอลิน เธอก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถ้าเธอยินดีที่จะพัฒนาไปสู่ด้านดนตรี ในอนาคตเด็กคนนี้จะกลายเป็นนักดนตรีระดับโลกได้แน่นอน”
ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “ไม่ใช่แค่นี้หรอกครับ ที่รัก เชอร์ลี่ย์ยังสามารถกลายเป็นทหารม้าหญิงที่มีความยอดเยี่ยมได้ด้วยนะครับ”
ทุกวันเชอร์ลี่ย์จะปล่อยลูกม้าทั้งสองตัวออกไปจากคอก ทุกวันนี้ตี้หลูกับเปากงผูกพันกับเธอมากกว่าฉินสือโอวกับวินนี่เสียอีก สัตว์เลี้ยงในฟาร์มปลาแห่งนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกันทั้งนั้น
นายทหารชราอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉินสือโอวเริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานแล้ว จึงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนชายชราเท่าไร พอชายชราพูดว่าอยากกลับบ้าน เขาถึงได้รีบหาเวลาว่างไปส่งชายชรากลับบ้าน
ตอนนี้ชายชราอาศัยอยู่ในเมืองแคมลูปส์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของรัฐบริติชโคลัมเบีย อยู่ห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรหากเดินทางด้วยรถยนต์ ฉินสือโอวต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่แวนคูเวอร์เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปโดยสารรถยนต์
ชื่อของเมืองแคมลูปส์มาจากภาษาอินเดียนแดง หมายถึงจุดที่แม่น้ำไหลมาบรรจบกัน แม่น้ำที่อยู่ทางตอนเหนือคือแม่น้ำนอร์ธทอมป์สัน ทางตอนใต้มีแม่น้ำเซาท์ทอมป์สัน เป็นเส้นทางการจราจรทางน้ำที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ที่เคยรุ่งเรืองในช่วงยุคตื่นทองตอนต้นอีกด้วย
ปัจจุบันเมืองนี้มีบทบาทสำคัญคือการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและแหล่งผลิตโสมอเมริกา ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตโสมอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ
นายทหารเก่าอาศัยอยู่ในตึกเก่าหลังหนึ่งในเขตชานเมือง ทำให้ทราบได้ว่าสภาพการเงินของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เขาไม่มีลูกอีกทั้งยังไม่มีเงินบำนาญ ทำได้สามารถอยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือทหารผ่านศึกเพียงเล็กน้อยอย่างเดียวเท่านั้น
เขาพาฉินสือโอวกับเออร์บักเดินขึ้นมายังชั้นบนสุด นายทหารชราหัวเราะกับตัวเองแล้วพูดขึ้นมาว่า “ห้องนี้มันเก่าเกินไปหน่อยแล้ว เกรงว่าฉันน่าจะต้องเรียกมันว่าพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องกังวลนะ มันยังทนทานใช้งานได้ดีอยู่”
ห้องชั้นบนสุดห้องนี้มีพื้นที่ประมาณห้าสิบหกสิบตารางเมตร มันเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนอาศัย และยังรักษาความสะอาดได้อย่างดี หลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้วชายชราก็เปิดตู้เสื้อผ้าออก เขาหยิบกล่องไม้เรียบๆ กล่องหนึ่งออกมา แล้วเปิดกล่องออก ข้างในคือของที่มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอลหนึ่งลูกที่ถูกกระดาษห่อไว้เป็นชั้นๆ
เมื่อเข้าไปใกล้กล่องไม้ ฉินสือโอวก็สัมผัสได้ถึงความหิวโหยที่เคยได้พบเมื่อนานมาแล้วทันที
……………………………………………