ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1349 ไม่ได้รับการรักษากันถ้วนหน้า
“ขอบคุณกองทุนเงินช่วยเหลือเด็กของเถียนกวาน่ะครับ คุณฉิน กองทุนของคุณช่วยชีวิตลูกของเราเอาไว้” ชายคนนั้นพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ ผู้หญิงที่กำลังอุ้มลูกอยู่ก็พยักหน้ากล่าวคำขอบคุณตามเขาด้วยเช่นกัน
ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว ลูกๆ ของทั้งคู่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา พวกเขาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขานั่นเอง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ต่อจากนั้นชายคนนั้นก็แนะนำตัวเองว่าชื่อของเขาคือไคลเซน แฟรงค์ ลูกชายของเขาเกิดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว แต่ปรากฏว่าทารกกลับมีอาการปอดล้มเหลว จึงจำเป็นต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก
บางทีนี่อาจจะทำให้ใครหลายคนสับสน ไม่ใช่ว่าแคนาดาผลักดันนโยบายการรักษาพยาบาลฟรีหรอกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเวลาที่ต้องไปหาหมอโดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่เป็นทารก ทำไมถึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองด้วยล่ะ?
นั่นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่รัฐบาลแคนาดาผลักดันก็คือระบบการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตอนที่ลูกของบูลคลอดก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเลย ทั้งยังรวมถึงค่าห้องพักและค่าอาหารด้วย แต่มีข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือ เพื่อที่จะรับสิทธิสวัสดิการข้อนี้ คุณต้องจ่ายภาษีและต้องซื้อประกันการรักษาพยาบาลภาคบังคับ ซึ่งมีราคาประมาณ 500 ดอลลาร์แคนาดาต่อคนต่อปี
ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่าไคลเซนและภรรยาไม่ได้จ่ายค่าประกันการรักษาพยาบาลประเภทนี้ เนื่องจากประกันประเภทนี้เชื่อมโยงกับสิทธิสวัสดิการโดยตรง หากมีงานทำบริษัทจะเป็นผู้จ่ายให้ แต่ถ้าไม่มีงานก็ต้องจ่ายเอง
หากไม่มีงานทำ ถ้าอย่างนั้นการซื้อประกันในแคนาดาก็ไม่ใช่เรื่องที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรแล้ว เนื่องจากประกันที่ต้องซื้อไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีอยู่เป็นกอง อย่างเช่นประกันสุขภาพ ประกันการศึกษา ประกันการว่างงาน ประกันบำนาญ ประกันรถยนต์ประกันที่อยู่อาศัยและอื่นๆ อีกหลายประเภท 500 ดอลลาร์ต่อหนึ่งกรมธรรม์ไม่นับว่ามาก แล้วถ้าสิบกรมธรรม์ล่ะ?
ดังนั้นตามที่ฉินสือโอวได้รู้จักประเทศแคนาดามากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งคิดว่าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์สำหรับคนธรรมดา แน่นอนว่า ถ้าเพียงแต่มีทักษะด้านใดด้านหนึ่งติดตัวและมีงานให้ทำ ก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างสบายๆ ได้รับสิทธิสวัสดิการของประเทศนี้ หากเป็นเช่นนี้ ชีวิตที่นี่ก็นับว่าสุขสบายอยู่มาก
แต่หลังจากทั้งสองคนอธิบายให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ เขาก็ได้รู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุของเรื่องนี้ พวกเขาจ่ายค่าประกันสุขภาพ และคนทั้งคู่ก็มีงานที่สามารถรับประกันรายได้ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องการเงินสนับสนุนจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา เป็นเพราะระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาต่างหาก
เรื่องนี้ต้องกลับไปพูดถึงระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาอีกครั้ง ฉินสือโอวเคยปรึกษาปัญหานี้มาก่อน เมื่อปีที่แล้วโอมาร์ ชาวประมงในเมืองนี้ป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ พวกเขายังเคยไปประท้วงเรื่องนี้ที่นครเซนต์จอห์นอยู่เลย แถมในตอนนั้นเขายังซวยจนถูกเลือกให้เป็นแกนนำอีกต่างหาก
ลูกของไคลเซนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับโอมาร์ ซึ่งก็คือจำนวนผู้ป่วยที่เนืองแน่น พวกเขาจำเป็นต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า
แต่นี่มันไร้สาระมากไม่ใช่หรืออย่างไร? ทารกมีอาการปอดล้มเหลว ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจก็ไม่รอด แล้วจะให้นัดหมอจะให้รอได้อย่างไร? แต่ระบบการรักษาพยาบาลก็เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนมีเด็กที่ต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่พวกเขาก็ยังต้องนัดหมายล่วงหน้า
เห็นได้ชัดว่า พวกเขาคงทำการนัดหมายล่วงหน้าไม่ได้ ไคลเซนกับภรรยาเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นก็คือเชิญให้แพทย์จากโรงพยาบาลเอกชนมาทำการรักษา
แต่ปัญหาก็ตามมาอีกเช่นกัน แพทย์เอกชนสามารถดำเนินการผ่าตัดล่วงเวลาได้ แต่ค่าผ่าตัดและค่ายาจะแพงมาก หากขอการรักษาจากแพทย์เอกชน ก็จะไม่สามารถใช้สวัสดิการจากรัฐได้ หากจะให้ลูกได้รับการผ่าตัดจะต้องใช้เงินเกือบ 20,000 ดอลลาร์ และสองสามีภรรยาไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น…
สุดท้ายพวกเขาจึงยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา ซึ่งเป็นกองทุนที่ฉินสือโอวได้มาหลังจากคว้าแชมป์ในการแข่งขันว่ายน้ำข้ามช่องแคบนอร์ทัมเบอร์แลนด์ ซึ่งที่จริงแล้วเขาแค่ได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อเท่านั้น เงินในกองทุนนี้ส่วนใหญ่แล้วได้มาจากบริจาคของภาคสังคม ส่วนทุนที่ได้จากเขามีอยู่แค่สองแสนดอลลาร์แคนาดา
หลังจากได้รับการผ่าตัดจนลูกของพวกเขาหายดีแล้ว ตอนนี้สองสามีภรรยาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณฉินสือโอว
เขาเชิญไคลเซนกับภรรยาเข้ามาในบ้าน ฉินสือโอวเล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทุนให้พวกเขาฟังอย่างคร่าวๆ ในตอนท้ายก็พูดกับพวกเขาอย่างจริงใจว่า “ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ควรจะขอบคุณคนในสังคมเรามากกว่า”
ไคลเซนกล่าวว่า “ใช่แล้วครับ คุณฉิน พวกเราต้องขอบคุณผู้มีจิตใจดีทุกคนในสังคม แต่คนที่ช่วยเหลือพวกเราไว้มากที่สุด ก็คือกองทุนที่อยู่ภายใต้ชื่อของคุณนะครับ คุณช่วยพวกเราไว้ ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ”
พอพูดจบ เขาก็เปิดกระเป๋าเป้ออก ข้างในมีของขวัญที่พวกเขาซื้อมา
ถ้าฉินสือโอวยังมัวแต่มีพิธีรีตองต่ออีกก็คงจะเสแสร้งเกินไปแล้ว เขาตบไหล่ไคลเซนพร้อมกับพูดว่า “โอเค ผมขอรับคำขอบคุณของพวกคุณไว้ แต่ถึงยังไงผมก็จะไม่รับของขวัญอย่างแน่นอนครับ แต่ผมมีเรื่องที่จะขอให้พวกคุณทำ ผมหวังว่าถ้าในอนาคตพวกคุณได้พบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ได้โปรดยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาด้วยนะครับ”
ไคลเซนกับภรรยาอยากให้เขารับของขวัญเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉินสือโอวก็ไม่ยอมทำอย่างนั้น เขาโทรไปหาวินนี่ เพื่อให้เธอกลับมาทานอาหารเที่ยงที่นี่ หลังจากนั้นก็ทำการต้อนรับแขกทั้งสองคนด้วยอาหารทะเลสักมื้อ
นี่ทำให้ไคลเซนกับภรรยารู้สึกเกรงใจมากจริงๆ ตั้งใจจะมาแสดงความขอบคุณ เขาไม่รับของขวัญไม่พอ แต่ยังเลี้ยงอาหารพวกเขามื้อใหญ่อีกต่างหาก
ด้วยชื่อเสียงของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักตามไปด้วย ไคลเซนกับภรรยาจึงรู้ว่าวัตถุดิบของอาหารมื้อนี้ที่พวกเขาจะได้ทานมีราคาแพงแค่ไหน
เมื่อถึงเวลาทานมื้อเที่ยง วินนี่ก็อุ้มเสี่ยวเถียนกวาให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็ก ตอนนี้หนูน้อยสามารถนั่งแล้วใช้มือหยิบจับอาหารกินเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงตัวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะ ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่ทารกน้อยในอ้อมแขนภรรยาของไคลเซน พร้อมกับเผยสีหน้าแสดงความสนอกสนใจออกมา
ภรรยาของไคลเซนอุ้มลูกชายเข้าไปเล่นกับเธอ เด็กหญิงจึงยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับ นี่เป็นความเคยชินของเธอ เวลาเจอของที่น่าสนใจหรือของที่ชอบเธอก็จะยื่นมือออกไปหาทันที
วินนี่รีบจับแขนลูกสาวของเธอไว้ เธอเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความว่องไวอย่างน่าทึ่งของหนูน้อย วันนี้ภรรยาของไคลเซนคงต้องเจออิทธิฤทธิ์ของเธอเข้าให้แล้ว
ดึงมือของหนูน้อยกลับมา วินนี่ก็พูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “จับไม่ได้นะคะ นี่คือน้องชายนะ”
เสี่ยวเถียนกวาหันมามองวินนี่ หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองทารกน้อยด้วยสายตาเคลือบความสงสัย ต่อจากนั้นก็ดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมกับตบมือแล้วตะโกนว่า “น้องชาย น้องชาย…”
วินนี่กับฉินสือโอวทั้งดีใจและประหลาดใจมาก ช่วงก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เด็กหญิงตัวน้อยเรียกปะป๊าหม่ะม๊าเป็นแล้ว เธอก็ไม่พูดคำอื่นอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพูดคำว่าน้องชายได้อีกคำ
หลังจากทานอาหารเสร็จ พ่อของฉินสือโอวก็มาอุ้มหนูน้อยไป แล้วหลอกล่อให้เธอพูดคำว่า ‘ปู่กับย่า’ หนูน้อยยังอยู่ในอารมณ์คึกคักดีใจ หลังจากนั้นเธอก็ยังตะโกนคำว่า ‘น้องชาย’ ออกมาไม่หยุด
ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว พอได้มานั่งพูดคุยกับไคลเซนและภรรยาฉินสือโอวถึงเพิ่งจะได้เล่าเรื่องของทั้งสองคนให้วินนี่ฟัง หลังจากฟังจนจบแล้ววินนี่ก็พยักหน้าและพูดว่า “พระเจ้า นับวันปัญหาเรื่องระบบการรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของแคนาดาก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ฉันก็กำลังจัดการกับปัญหาที่แก้ได้ยากเรื่องหนึ่งอยู่เหมือนกัน”
ฉินสือโอวจึงถามเธอว่า “อะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“เป็นเรื่องของบาทหลวงกริมม์กับภรรยาของท่านนะคะ” วินนี่พูดด้วยท่าทีที่ดูค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับพวกเขา”
เดิมทีบาทหลวงกริมม์กับภรรยาก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ทั้งสองคนต้องใช้รถเข็นถึงจะสามารถเดินทางได้ ฉินสือโอวรู้อยู่แล้วว่ามีสุขภาพร่างกายของบาทหลวงชราค่อนข้างมีปัญหา ตอนที่บูรณะโบสถ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน สุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรงขนาดนี้
วินนี่เล่าว่า “คุณหมอโอดอมคิดว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกับภรรยาไม่เหมาะที่จะอยู่กันตามลำพัง เลยแนะนำให้ทั้งสองคนไปพักในสถานดูแลผู้สูงอายุ ทั้งสองคนยอมรับเรื่องนี้แล้ว หลังจากนั้นก็พากันไปลงทะเบียนเข้าพักที่สถานดูแลผู้สูงอายุในนครเซนต์จอห์น ตอนแรกภรรยาของท่านไปที่นั่นก่อน เพราะบาทหลวงกริมม์ยังต้องรับการรักษาจากคุณหมอโอดอมต่อ”
……………………………………………………