ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1385 ดอกลิลลี่สีขมิ้น
เมื่อรู้ว่าการรับรองสถิติกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ไม่มีเงินรางวัล บูลก็ตกตะลึงทันทีเขามองไปที่ฉินสือโอวที่กำลังยักไหล่ใส่และพูดว่า “คราวก่อนนายก็คิดว่าฉันจะได้เงินใช่ไหม? ไม่เลย สักบาทเดียวก็ไม่ได้”
“ให้ตายเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องรับรองเรื่องนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” บูลกล่าว
วินนี่พูดปลอบใจเขาว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก แม้ว่าบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะไม่มีเงินรางวัล แต่ในเมืองของเราจะประกาศให้รางวัลกับคุณนะ แต่แตงกวาของคุณต้องมีส่วนสนับสนุนเมืองด้วย…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็คิดพิจารณาอยู่สักพัก “ช่างเถอะ คุณเก็บไว้เองดีกว่า เราแค่ต้องการนำมาถ่ายรูปสักหน่อยก็พอแล้ว นอกจากนี้ ฉันจะช่วยคุณยื่นคำร้องกับรัฐบาลเมืองคงจะได้รับรางวัลอีกส่วนหนึ่งด้วย”
แอนนี่ถามอย่างกระวนกระวายใจว่า “ได้ด้วยเหรอคะ?”
วินนี่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอน เพราะอย่างไรคุณก็ได้สร้างสถิติโลกไว้แล้ว ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองและรัฐบาลเมืองของเราดีขึ้นในทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองของเรายังได้เอาการท่องเที่ยวเป็นหลักอีกด้วย”
ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้และพูดใส่คนรอบๆ ตัวว่า “ดูนายกเทศมนตรีวินนี่ของเราสิ เธอเป็นคนดีและมีคุณภาพจริงๆ เธอมักจะทำงานเพื่อสวัสดิการของชาวเมืองและมักจะพัฒนาบ้านเมืองอยู่เสมอ”
ชาวประมงค่อยๆ ปรบมือให้ วินนี่ทั้งยิ้มพร้อมกับก้มหน้าโค้งตัวเพื่อเป็นการน้อมรับจากหญิงสาวที่มีคุณธรรม
ฉินสือโอวขับรถไปส่งวินนี่ทำงานในเมือง จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปฟาร์มปลา ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนมาขวางรถของเขาไว้ เขาจึงยื่นหน้าออกมาดู และนั่นก็คือซ่งชิงซานที่สวมชุดพนักงานทำความสะอาดกำลังยิ้มให้เขาอยู่
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาจึงลงจากรถและถามว่า “เฮ้ เพื่อน คุณมีปัญหาอะไรอีกใช่ไหม? มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง?”
ซ่งชิงซานถูมือไปมาและพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราเคยมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่ คืออย่างนี้นะคุณฉิน ผมกับคาปาไลอยากจะเลี้ยงอาหารเพื่อขอบคุณคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา”
พอได้ยินอย่างนั้น ฉินสือโอวก็โล่งอก จากนั้นเขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ไม่ต้องหรอก เราก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น อะไรที่ผมช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นเพราะผมลำพองตน นั่นคงจะไม่ดีแล้วล่ะ”
ซ่งชิงซานพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ไม่ๆ คุณฉิน สำหรับคุณแล้วนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับเราสองคน นี่เป็นหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิต!”
ในขณะที่พูดอยู่เขาถอนหายใจ “ตอนแรกที่กำลังหางาน เราได้รู้จักกับคนบางคนและเพื่อนๆ ของเขา พวกเขาก็ถูกหลอกเช่นกัน บางคนหางานไม่ได้จนถึงตอนนี้และชีวิตของพวกเขาก็นรันทดมาก ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ พวกเขาก็คงเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา”
ระหว่างนั้นคาปาไลที่กำลังทำความสะอาดถนนอยู่ไกลๆ ก็มองเห็นเข้า จึงโบกมือให้ฉินสือโอวที่อยู่หน้ารถ จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “บังเอิญจริงๆ คุณฉิน ให้ผมทำอาหารเลี้ยงขอบคุณที่คุณได้ช่วยเหลือพวกเราเถอะ”
ต่อให้ทั้งสองคนพูดแบบนี้ ฉินสือโอวก็ยังจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่าตัวเขาเองกำลังดูถูกพวกเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พวกคุณได้เงินเดือนไหม? หรือถ้าได้เงินเดือนมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ซ่งชิงซานพูดอย่างมีความสุขว่า “คุณวินนี่ให้เงินเดือนเราทุกสัปดาห์และเราก็ยังได้ส่งเงินกลับบ้านหลายครั้งแล้ว ผมยังส่งถ่ายภาพให้ครอบครัวดูในคิวคิวเป็นจำนวนมากอีกด้วย พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นผมอยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้”
ในขณะที่พูดอยู่ ดวงตาของชายผู้มีความฮึกเหิมคนนี้ก็เริ่มแดงขึ้น “จริงๆ นะคุณฉิน ถ้าไม่ใช่คุณช่วยเราไว้ ตอนนี้ผมคงจะไม่แค่ลำบากเท่านั้น แต่ครอบครัวของผมก็จะเป็นห่วงด้วยเช่นกัน”
เหมือนกับที่ฉินสือโอวเคยพูดกับเฉินเหลยและคนอื่นๆ แคนาดาไม่ใช่สวรรค์ เมื่อเห็นคนงานเหล่านี้กำลังถูกกดขี่ มีชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะการหางานยิ่งลำบาก ซ่งชิงซานจึงต้องทนทุกข์ทรมานมาก
คาปาไลจึงพูดว่า “ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยคุณฉิน ผมจะทำอาหารที่ขึ้นชื่อในบ้านเกิดของผม ซึ่งเป็นอาหารคิวบา ผมไม่รู้ว่าคุณจะทานได้ไหม”
เมื่อเป็นเช่นนั้นฉินสือโอวจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาจึงพูดว่า “มื้อเย็นใช่ไหม? ไม่มีปัญหา ผมและภรรยาจะไปที่หอพักของคุณให้ตรงเวลาแน่นอน”
คาปาไลยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหกโมงตรงเป็นอย่างไร? พวกคุณมาตอนหกโมงตรง ห้าโมงตรงผมเลิกงานแล้วจะรีบเตรียมอาหารให้พร้อม”
งานทำความสะอาดบนเกาะแฟร์เวลไม่เลวเลย เพราะที่นี่มีการนำระบบการทำงานเข้างานแปดโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็นของงานทำความสะอาดในเซนต์จอห์นมาใช้ ตอนเที่ยงจะมีเวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับพักเที่ยงและทานอาหารกลางวัน
พอกลับมาก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ คราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องต้อนรับเคลลีและคนอื่นๆ เป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไปที่ร้านขายปืนและแช่อยู่ที่นั่นจนถึงช่วงบ่าย เมื่อวินนี่เลิกงานเขาก็จะไปรับเธอและบอกเธอเรื่องที่คาปาไลและซ่งชิงซานจะเลี้ยงข้าว
วินนี่คิดอยู่สักพัก จึงเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นเรายังมีบัตรของขวัญกำนันจากห้างสรรพสินค้าเมย์ซีอยู่ใช่ไหม? เลือกเสื้อขนเป็ดมาสองชุดและเอาให้กับพวกเขาด้วย ฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องทำงานอยู่ข้างนอก”
ฉินสือโอวจูบลงบนใบหน้าอันงดงามของภรรยา วินนี่คิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เขาแค่ว่าอยากจะลองชิมรสชาติของอาหารคิวบาเท่านั้น
ตอนหกโมงตรง เขาขับรถไปที่หอพักในเมืองที่ทั้งสองคนเตรียมไว้พร้อมกับนำบัตรของขวัญกำนัลไปให้ ที่พักของพวกเขาเป็นอาคารไม้หลังเล็กๆ มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากแล้ว แต่กลับมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่าบ้านชนบทในแคนาดาล้วนเป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ทั้งสองลงจากรถ คาปาไลที่ได้ยินเสียงเดินลงจากประตูรถก็เดินไปเอาดอกลิลลี่สีขมิ้นแล้วมอบให้กับพวกเขาและพูดอย่างมีความสุขว่า “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน”
ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ประจำชาติของคิวบา ดอกลิลลี่สีขมิ้นเป็นดอกไม้ที่ชื่นชอบของพวกเขาและมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา ซึ่งเหมือนกับผ้าแพรฮาต๋าของชาวทิเบต แต่พวกเขาจะให้ดอกลิลลี่สีขมิ้นให้เพื่อแสดงถึงความเคารพและความรักที่มีต่อบุคคลนี้
วินนี่ยิ้มพร้อมกับรับดอกไม้มาและก็นำบัตรของขวัญกำนันส่งกลับให้คาปาไลแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับดอกไม้ นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเรา ไม่ต้องเกรงใจ”
คาปาไลปฏิเสธ ฉินสือโอวจึงพูดว่า “นี่เอาไปใช้ซื้อเสื้อขนเป็ดได้ เพราะฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก คุณสามารถซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและหมวกเพื่อรักษาความอบอุ่นได้และรักษาสุขภาพของคุณให้แข็งแรง”
วินนี่ยิ้มและพูดว่า “ซ่งซื้อสามารถซื้อหมวกได้ ส่วนคุณบัจโจฮาเกินก็ช่างมันเถอะถูกไหม?”
เมื่อวินนี่พูดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าชาวคิวบาจะมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ก็คือห้ามสวมหมวก พวกเขาคิดว่าจะต้องสวมหมวกแค่ตอนที่ญาติเสียชีวิตแล้วเท่านั้นเพื่อเป็นการไว้อาลัย
คาปาไลยิ้มอย่างมีความสุข “มาดามนี่ช่างใส่ใจจริงๆ แต่ผมจะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นหลัก ถ้าหนาวมากเกินไป ผมจะสวมหมวกผ้าฝ้ายก็พอ เพื่อที่งานจะได้ไม่ล่าช้า”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าภายในของผู้ชายที่ดูหยาบคายคนนี้กลับตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อย่างน้อยเขาก็พูด ซึ่งประโยคนี้ทำให้เขาและวินนี่ประทับใจมาก
หลังจากเข้าบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารก็ได้มีการจัดเตรียมเหล้าและอาหารไว้เรียบร้อย ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้ ซึ่งในนั้นก็เป็นดอกลิลลี่สีสดใสหนึ่งดอก พอเห็นแล้วก็รู้สึกมีสีสันมาก
คาปาไลเชิญทั้งสองคนให้นั่งลงและพูดว่า “คุณผู้ชายกับมาดามรอสักครู่ ผมยังมีกับข้าวอีกสองสามอย่างที่กำลังเตรียมอยู่ อ้อ ขอบอกก่อนเลยนะว่า อาหารคิวบาของเราส่วนใหญ่จะมีทั้งสไตล์คลาสสิกและสไตล์โมเดิร์น ซึ่งผมไม่ถนัดอาหารคลาสสิก แต่อาหารที่ผมถนัดคืออาหารสไตล์โมเดิร์น ไม่รู้ว่าพวกคุณจะคุ้นเคยและกินได้หรือไม่?”
ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ผมคิดว่าเราต้องคุ้นเคยแน่นอน เพราะผมได้กลิ่นหอมของมันแล้ว คงต้องอร่อยมากแน่ๆ”
คาปาไลยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิมพร้อมกับเช็ดม้านั่งอีกครั้งและพูดว่า “เชิญครับ เชิญแขกผู้มีเกียรตินั่งลงได้เลย!”
………………………………………