ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 139 ออกทะเลด้วยกัน
เรือยอชต์ทรอลเลอร์ที่จอดอยู่บนท่าเรือนครเซนต์จอห์น ฉินสือโอวตั้งใจขับเรือลำที่หรูหราที่สุดของตัวเองเพื่อมารับเหมาเหว่ยหลง
อีกทั้งเมื่อเหมาเหว่ยหลงได้ขึ้นไปบนเรือนกนางนวล ความร้อนในใจเขาที่เดิมทีก็ไม่ได้มีมากเท่าไรนักก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เช็ดแม่ นี่เรือของแกเหรอ? โคตรสวย นี่มันสุดยอดกว่ารถคาดิลแลคของแกตั้งเยอะ”เหมาเหว่ยหลงเดินแกร่วไปมาอยู่บนเรือหนึ่งรอบ พูดออกมาแล้วทอดถอนหายใจ
ฉินสือโอวหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดกับเขาว่า “พอแล้วล่ะ รีบนั่งลงเถอะ แกไม่ได้เหนื่อยแล้วหรอกเหรอ? ถ้าชอบเรือลำนี้พรุ่งนี้ก็ค่อยขับมันออกไปเล่นที่ทะเล ไม่ต้องทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงแล้วโอเคไหม?”
เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้วทอดถอนอารมณ์ “ไอ้เช็ดแม่ ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงอย่าดูแคลนคนจนอายุน้อย ตอนอยู่หอมีแต่ฉันที่เรียกแกว่าบ้านนอกเข้ากรุง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกลายเป็นฉันซะเองที่โดนแกเรียกว่าไอ้บ้านนอก……”
นีลเซ็นทำการติดตั้งการนำทางด้วยคอมพิวเตอร์ให้กับเรือนกนางนวล แค่เทไอซ์ไวน์แล้วนำออกมา แก้วที่ใช้เป็นแก้วคริสทัลทรงสูง ไวน์องุ่นที่แพรวพราวด้วยประกายคริสทัล น้ำแข็งที่เหมือนกับเพชร ทั้งสองอย่างผสมเข้าด้วยกันอย่างดี แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้เลยจริงๆ
ฉินสือโอวรับเอาไวน์มา เหมาเหว่ยหลงก็กระแอมไอออกมาหนึ่งที่ แล้วพูดด้วยเสียงที่ดังราวกับจะประกาศให้รู้ทั่วกันว่า “น้อง! เอาเหล้ามา!”
“พอเลย นั่งดื่มเหล้าสิ แกไม่เมาเรือบ้างหรือไง?” ฉินสือโอวพูดกับเขายิ้มๆ
ตอนนี้เหมาเหว่ยหลงหยุดไม่ได้แล้ว เขาจิบไวน์แล้วจึงยกนิ้วโป้งขึ้นมาชมว่า “ฉันไม่เมารถ ฉันไม่เมาเรือแล้วฉันก็ไม่กลัวความสูงด้วย ไม่เหมือนคนบางคน ได้ยินมาว่าขึ้นเครื่องบินครั้งแรกก็เกือบฉี่รดกางเกง? ใช่แล้ว แล้วสาวแอร์โฮสเตสคนสวยของแกล่ะ?”
ฉินสือโอวตอบไปว่า “ตอนนี้วินนี่กำลังทำงานในสายการบินระหว่างประเทศ เธอยังกลับมาไม่ได้พักหนึ่ง แต่ว่าก็ขอลาหยุดไปแล้วล่ะ เดือนเจ็ดอาจจะขอลาหยุดมาได้”
เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวด้วยความเสียดาย ฉินสือโอวพูดต่อว่า “ไม่ต้องเสียดาย เดี๋ยวพวกแกก็ได้เจอกัน ถ้ามีโอกาสพวกเราจะไปหาแกที่ปักกิ่ง”
“ใครเสียดายที่ไม่ได้เจอสาวแอร์โฮสเตสของแกกันล่ะ?”เหมาเหว่ยหลงกลอกตาใส่ “ฉันแค่อยากจะให้เธอแนะนำสาวๆสวยๆให้ฉันสักหน่อยต่างหาก ฉันยังไม่รู้จักสาวแอร์โฮสเตสฝรั่งสักคนเลยนะ”
ฉินสือโอวกลอกตาอย่างจนปัญญา อยากจะปล่อยเจ้าหมอนี่ให้กลิ้งไปกับเรือซะเลย
ปืนทุกกระบอกถูกวางไว้บนเรือ เหมาเหว่ยหลงเข้าไปในห้องขับเรือแล้วจึงมองเห็นปืนพวกนี้ ปืนAR-15 สวยสะดุดตาเป็นพิเศษ
เขาเคยติดตามพ่อของเขาไปเล่นปืนM-16 ส่วนปืนAR-15 ก็พัฒนามาจากชุดปืน M-16 ดังนั้นสำหรับเหมาเหว่ยหลงแล้ว เขาจึงคุ้นชินกับปืนกระบอกนี้ เขาใช้มือปลดตลับกระสุนดู ข้างในไม่มีลูกกระสุน เหนี่ยวไกปืนไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าข้างในลำกล้องก็ไม่มีกระสุนเหลืออยู่ แล้วจึงนำออกไปด้วย
ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นข้าราชการสันติบาลระดับสูง แต่เหมาเหว่ยหลงก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นปืนไรเฟิล โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ งานทหารตำรวจจะเข้มงวดเป็นพิเศษ
เช่นนี้เมื่อได้ถือปืน AR15 เหมาเหว่ยหลงก็ชอบมากจนวางไม่ลง ไม่หยุดที่จะทำท่าทางเล็งปืนเตรียมลั่นไก
ฉินสือโอวถามนีลเซ็นว่ามีกระสุนไหม เขาพยักหน้าแล้วหยิบเอากระสุนปืนสีทองหนึ่งตลับออกมาจากใต้แท่นขับเรือ แล้วส่งมันให้เหมาเหว่ยหลง เขาถามอย่างตกตะลึงว่า “แกคงจะไม่ได้ให้ฉันยิงปืนหรอกใช่ไหม?”
“เล่นได้ตามสบายเลย เราอยู่บนทะเล แกจะเล่นปืนกลก็ยังไม่มีปัญหาเลย”ฉินสือโอวพูดอย่างสมเหตุสมผล
เหมาเหว่ยหลงได้ยินเช่นนี้ ก็ตื่นเต้นจนแทบบ้า เขาถามขึ้นอีกว่า “มีเรื่องดีๆแบบนี้ด้วยเหรอ? ที่แคนาดาสามารถยิงปืนได้ตามใจชอบเลยเหรอ?”
ฉินสือโอวส่ายหัวตอบ “ดูเหมือนว่าที่ควิเบกจะควบคุมเข้มงวดกว่าหน่อย ที่เขตชายแดนแบบนิวฟันด์แลนด์ มีบางที่ที่ค่อนข้างหละหลวมหน่อย โดยเฉพาะในทะเล ต่อให้แกมีระเบิดมือ จะใช้ระเบิดตกปลาก็ไม่มีปัญหา”
เหมาเหว่ยหลงเติมกระสุนลงไปในกระบอกปืนจนเต็ม เขานั่งยองๆอยู่บนดาดฟ้าเรือเล็งปืนไปที่ผืนน้ำทะเลแล้วลั่นไกลออกไป ยิงติดต่อกันสามนัดออกไปก่อนสองครั้ง
และเนื่องจากฉินสือโอวมีใบอนุญาตสำหรับปืนเก่า ดังนั้นจึงมีปืนอัตโนมัติเอาไว้ในครอบครองได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเหมาเหว่ยหลงอย่าได้หวังเลยว่าจะได้เล่นปืนอย่างมีความสุขแบบนี้
ทว่าอาวุธปืนพวกนี้ ดูแล้วทะนงองอาจ สามารถดึงดูดพวกผู้ชายได้อย่างมาก แต่ในความเป็นจริงพอได้ยิงแล้วกลับรู้สึกทรมาณมาก ปืน AR15 มีแรงสะท้อนกลับที่ค่อนข้างจะรุนแรง เหมาเหว่ยหลงชินกับการทำงานในสำนักงาน หลังจากยิงไปแล้วหลายนัดเขาก็นวดไหล่ของตัวเองแล้วเริ่มแยกเขี้ยวยิงฟัน
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง เขาขึ้นมารับเอาปืนไป พอดีกับที่มีปลากระโทงดาบมหาสมุทรแอตแลนติกตัวหนึ่งถูกเรือยอชต์รบกวนจนกระโดดขึ้นมา เขาคว้าโอกาสนี้แบกกระบอกปืนเอาไว้ แล้วลั่นไกยิงออกไปติดต่อกันสามนัด ‘ปังปังปัง’ ดังกังวานขึ้นสามครั้ง ลูกกระสุนทั้งหมดบินข้ามปลากระโทงดาบตัวนั้นไป
เหมาเหว่ยหลงหัวเราะเยาะฝีมือการยิงปืนที่ไม่ได้เรื่องของเขา แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ ถ้าหากเมื่อสักครู่เขาอยากจะยิงปลาตัวนั้นให้ตาย แน่นอนว่าต้องยิงโดนจังๆอยู่แล้ว
ทว่า เขาไม่ทำอย่างนั้น นอกจากขายเพื่อเอาเงินและนำมาเป็นอาหารแล้ว เขาก็จะไม่ฆ่าปลาในทะเล
หากสังหารเพื่อความสนุกสนาน เรื่องแบบนั้นฉินสือโอวทำไม่ลง แน่นอนว่า เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา
จากตอนเริ่มต้นจนถึงตอนจบยิงปืนเล่นจนหมดลูกกระสุนไปแล้วสองชุด ในที่สุดเหมาเหว่ยหลงก็อยู่นิ่งๆได้เสียที เขานวดคลึงไหล่ขวาไม่หยุด
แสงแดดสาดส่องลงมาบนเรือ จึงค่อนข้างร้อน ฉินสือโอวถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกเพื่ออาบแดด ปรากฏให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายเป็นมัดๆ
เหมาเหว่ยหลงที่ขี้อิจฉาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่น่าใช่นะ ฉินโซ่ว ไอ้หนุ่มขี้ก้างแบบแกหุ่นดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? กล้ามหน้าท้อง อกผายไหล่ผึ่งเอวคอด ฉันล่ะอดที่จะอยากยิงแกไม่ได้”
ฉินสือโอวตอบกลับไปอย่างคร้านๆว่า “ถ้าวันวันแกต้องมาวุ่นกับงานในทะเล เดี๋ยวหุ่นแกก็เปลี่ยนเป็นแบบฉันเองนั่นแหล่ะ”
เหมาเหว่ยหลงอิจฉาเขาจริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่อิจฉาหุ่นของเขา แต่ยังมีทัศนคติที่เขามีต่อการใช้ชีวิตอีกด้วย เรื่อยๆสบายๆ เป็นอิสระ และเรียบง่าย
เรือค่อยๆลอยไปช้าๆ เกาะที่มีเส้นฝั่งทะเลที่สวยงามก็ปรากฏขึ้นแก่ทัศนวิสัยของเหมาเหว่ยหลง
แสงแดดสาดส่องไปทั่ว ผิวน้ำทะเลก็ส่องสว่างเป็นประกาย เทือกเขาเคอร์บัลสีเขียวสดที่ทอดตัวต่อกันเป็นผืนกว้างล้อมรอบเกาะเล็กๆแห่งนี้ไว้ครึ่งหนึ่ง ดูคล้ายกับอ้อมแขนทรงพลังที่กำลังปกป้องเมืองนี้อยู่ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเหมาเหว่ยหลง ล้วนแต่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ราวกับอยู่ในดินแดนสุขาวดี
ท่าเรือของฟาร์มปลาอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ฉินสือโอวจึงนำเรือมาจอดไว้ที่ท่าเรือในเมืองเล็ก
เมื่อได้เห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายแบบยุโรปของเมืองเล็กๆแห่งนี้ เหมาเหว่ยหลงก็ค่อนข้างตื่นเต้น หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปไว้อย่างต่อเนื่อง เมื่อลงเรือแล้วเขาก็รีบเข้าไปในเมือง
ฉินสือโอวเรียกเขาไว้ โยนเสื้อผ้ากันฝนให้เขาหนึ่งชุด แล้วถามเขาว่า “แกจะทำอะไร?”
เหมาเหว่ยหลงถือเอาเสื้อผ้ากันฝนมาแล้วตอบอย่างงงๆว่า “ฉันจะไปดูอะไรในเมืองหน่อย แกล่ะจะทำอะไร?”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า กลับไปฟาร์มปลาก่อน แกพักผ่อนก่อนสักหน่อย ตอนเย็นมีอาหารชุดใหญ่เตรียมไว้ให้แก”ฉินสือโอวกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขึ้นรถไปน่ะสิ”เหมาเหว่ยหลงพูดกับเขา
ฉินสือโอวชี้นิ้วไปที่เรือสปีดโบ๊ทสองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “อันนี้!”
เหมาเหว่ยหลงก็นึกขึ้นมาได้ทันที เขาตบหน้าผากแล้วพูดว่า “โคตรแม่ เหนื่อยจนสมองเลอะเลือนแล้วแท้ๆ ลืมไปเลยว่าแกมีเจ้าพวกนี้อยู่!”
ฉินสือโอวไม่กล้าให้เขาขับเรือสปีดโบ๊ทเอง ถึงแม้ว่าเรือพวกนี้จะไม่ได้มีลักษณะทางเทคนิคมากนัก เขาขับเรือลำหนึ่งด้วยตัวเอง พาเหมาเหว่ยหลงไปสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่
เรือสปีดโบ๊ทขับออกไปช้าๆ เหมาเหว่ยหลงก็เร่งให้เพิ่มความเร็วไม่หยุด ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขายกเกียร์ขึ้นทันที พร้อมทั้งเหยียบคันเร่งจนสุด
เรือเทพเจ้าสายฟ้ามืดดูราวกับจุติทรราช มันแผดเสียงคำรามออกมาหนึ่งครั้ง พอหางยาวๆของมันบุกฝ่าคลื่นขึ้นไป
เรือสปีดโบ๊ททำให้คลื่นแตกกระจาย มันแผดเสียงร้องพร้อมๆกับบุกไปบนพื้นผิวทะเล ลมทะเลพัดเข้ามา เหมาเหว่ยหลงอ้าปากออกกำลังจะตะโกนออกไป แต่น้ำทะเลกลับสาดกระเด็นเข้ามาในปากเขาเสียก่อน เขารีบ ‘ถุ้ยถุ้ย’ ถุยออกมาไม่หยุด
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง แค่แป๊บเดียว เรือสปีดโบ๊ทก็มาถึงฟาร์มปลา แล้วขับขึ้นไปบนชายหาดทันที
หู่จือและเป้าจือได้ยินเสียงของเรือสปีดโบ๊ทมาตั้งนานแล้ว ลูกหมาสองตัวกระโดดโลดเต้นวิ่งออกมาต้อนรับฉินสือโอว
เหมาเหว่ยหลงที่ยังคงรู้สึกสนุกอยู่ก็ถามเขาขึ้นมาว่า “ฉินโซ่ว ไปวนเล่นอีกสักรอบ? ยังไม่ทันสนุกเลย”
ฉินสือโอวตอบไปว่า “พอก่อน แกไปพักผ่อนก่อน ตอนเย็นจะได้กินอาหารทะเลจัดเต็ม วันต่อๆไปอยากเล่นอะไรก็เดี๋ยวค่อยเล่น ฉันเตรียมไว้ให้แกหมดแล้วล่ะ”
เหมาเหว่ยหลงเดินวนดูรอบๆเรือสปีดโบ๊ทไปสองรอบ จากนั้นก็หยิบเอามือถือออกมาถ่ายรูปเอาไปไว้อวดหลายใบ
หู่จือและเป้าจือเอียงหัวมองเขา เหมาเหว่ยหลงทักทายพวกมัน ลูกหมาทั้งสองแสยะมุมปาก แสดงออกอย่างเหยียดหยาม
เหมาเหว่ยหลงก็รู้สึกทึ่มไปชั่วขณะ “อะไรวะ ลูกหมาสองตัวเมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไง?”
“โฮก!”เสียงคำรามหนึ่งครั้งก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตูอาคาร
……………………………………………….