ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 141 นายมาไหมล่ะ
เวลาโพล้เพล้พลบค่ำ ตะวันลาลับขอบฟ้า
ลมทะเลอ่อนๆ พัดโชย เกลียวคลื่นเคลื่อนตัวอยู่บนผิวน้ำ เมื่อแสงสุดท้ายสาดส่องลงบนท้องทะเล มันก็เปลี่ยนผิวน้ำทะเลให้กลายเป็นสีชมพูน่าหลงใหล
เหมาเหว่ยหลงยืนหน้าบ้านพักตากอากาศพลางมองไปทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าใสสะอาดเต็มไปด้วยก้อนเมฆที่มากมากมาย ท้องฟ้าขาวโพลนราวกับถูกสายน้ำชำระล้าง ส่วนก้อนเมฆก็กลายเป็นสีแดงบริสุทธิ์ เมื่อทั้งสองผสานเข้าด้วยกันจึงให้ความรู้สึกเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
นกนางนวลหลายตัวบินล่องอยู่บนท้องฟ้าอย่างมีความสุขพร้อมส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งคราว บางครั้งพวกมันก็จุ่มหัวลงไปในน้ำ และเมื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งก็มักจะคาบปลาตัวเล็กๆ ขึ้นไปด้วย
ช่วงโพล้เพล้เป็นเวลาทองช่วงสุดท้ายที่ฝูงปลาจะออกหาอาหาร เพราะอีกไม่นานก็จะมืดค่ำแล้ว มีปลาจำนวนไม่น้อยที่ตอบสนองต่อแสงแดด ดังนั้นจึงจำต้องอาศัยแสงสว่างช่วงสุดท้ายนี้ในการขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหาอาหาร
ช่วงนี้ในฟาร์มปลามีปลากระโทงร่มเพิ่มจำนวนขึ้นไม่น้อย พวกมันชอบกางครีบออกแล้วกระโดดออกมาโบยบินบนผิวน้ำทะเล และในช่วงไม่กี่นาทีมานี้ก็มีปลากระโทงร่มกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำได้ตัวสองตัวแล้ว
เหตุการณ์ดังกล่าวดึงดูดนักล่าที่อยู่บนท้องฟ้าเข้ามา อีกาดำร่างกายกำยำตัวหนึ่งบินลงมาอย่างรวดเร็วราวกับเครื่องบินรบ มันอ้าปากแหลมของมันออกแล้วคาบปลากระโทงร่มตัวหนึ่งที่กระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างแม่นยำ จากนั้นมันก็กระพือปีกทั้งสองข้างบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นั่นนกอะไรน่ะ? เก่งจริงๆเลย” เหมาเหว่ยหลงพูด
ฉินสือโอวไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าอะไรกันที่สามารถทำให้เหมาเหว่ยหลงตกตะลึงได้ขนาดนี้ จกานั้นเขาก็พูดขึ้น “ไร้วิชา ช่างน่ากลัวจริงๆ นั่นก็คือนกฟรีเกตที่มีชื่อเสียงโด่งดังยังไงล่ะ มันเป็นเจ้าแห่งท้องฟ้าที่สามารถโบยบินในพายุไต้ฝุ่นระดับ 12 ได้เชียวล่ะ”
“ไปไกลๆ เลย” เหมาเหว่ยหลงยิ้มไปพูดไป “พายุไต้ฝุ่นระดับ 12 สามารถทำให้มันไม่เหลือแม้แต่ขนได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วิเลยนะ”
จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและค้นหาในอินเทอร์เน็ตก่อนจะพูดขึ้น “เห้ย นายพูดจริงเหรอเนี่ย นกนี้เก่งขนาดนั้นเชียว”
ฉินสือโอวพูดไปจัดการกับปลาค็อดไป “นายคิดว่ายังไงล่ะ? เจ้าเวหาแห่งทวีปอเมริกาเหนือเชียวล่ะ”
หู่จือและเป้าจือหยอกล้อกันอยู่ในสนามหญ้า ลูกทั้งสี่ของพาวลิสกำลังนั่งทำการบ้านกันด้วยสีหน้าบึ้งตึง
การบ้านนี้ฉินสือโอวเป็นคนมอบหมายให้พวกเขาเอง โรงเรียนประถมในแคนาดานั้นสบายเกินไป เจ้าเด็กพวกนี้ดูว่างกว่าเด็กอนุบาลในประเทศจีนเสียอีก
หลังจากนั้นฉงต้าก็เดินโก่งตูดอ้วนๆ ของมันออกมา เมื่อเห็นปลาค็อด ปลาแฮร์ริ่ง ปลาลิ้นหมาและปลาแซลมอนโคโฮที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ววางอยู่บนชั้นวางจาน ตาของมันก็เป็นประกายขึ้นมาในทันทีก่อนที่มันจะยื่นอุ้งเท้าออกไปเตรียมจะจับปลา
ทว่ามือใหญ่ขนฟูข้างหนึ่งกลับคว้าอุ้งเท้าของมันเอาไว้ มันเงยหน้าขึ้นมองอย่างหงุดหงิดก่อนจะต้องกลัวจนฉี่ราดขึ้นมาในทันที จากนั้นมันก็รีบเก็บอุ้งเท้า โก่งตูด แล้ววิ่งไปหลบหลังต้นเมเปิล
ฉินสือโอวให้อีวิลสันมาเฝ้าปลาเหล่านี้เอาไว้ และฉงต้าผู้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดนั้นก็หวาดกลัวอีวิลสันยิ่งกว่าอะไร
เหมาเหว่ยหลงยืนมองอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศสักพักหนึ่งก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมา “เหล่าฉิน ชีวิตของนาย ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิต! คิดๆ แล้ว ตอนที่ฉันอยู่ประเทศจีนน่ะไม่ต่างอะไรกับการติดคุกเลย เทียบอะไรกับนายไม่ได้เลย”
ฉินสือโอวทาซอสปรุงรสลงบนตัวปลาหิมะที่ล้างสะอาดแล้ว จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดออกมา “ฟังดูน่าสนใจนะ ฉันอยู่ที่นี่ก็มีแค่ฟาร์มปลากับทะเลเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ตอนอยู่ประเทศจีนนายใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงขนาดไหนล่ะ? เที่ยวคลับ ช้อปปิ้ง นัดเดต พอเปรียบเทียบกันแล้วที่นี่ต่างหากที่เหมือนติดคุก”
เหมาเหว่ยหลงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “แสงสีพวกนั้นล้วนเป็นของปลอมทั้งนั้น อันที่จริงชีวิตก็วนๆ อยู่กับแค่ของพวกนั้นแหละ ทำงานอย่างหนัก นั่งเบื่อทั้งวัน เลิกงานก็เที่ยวคลับ นั่งดื่มถึงเที่ยงคืน กลับไปนอนพร้อมความเมา แล้วพอตื่นมาวันที่สอง ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม วนแบบเดิมซ้ำๆ ทุกวัน ไม่เห็นจะสนุกเลย มันต่างอะไรกับติดคุกล่ะ?”
ฉินสือโอวกล่าว “เพราะนายกำลังทำเพื่ออนาคตยังไงล่ะ ถ้านายชอบชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ของฉันจริงๆ นายก็ลาออกจากงานแล้วมาอยู่ที่นี่เสียสิ”
ความจริงแล้วเขาก็ชอบชีวิตความเป็นอยู่ลักษณะนี้ไม่น้อย ในทุกๆ วันก็เพียงต้องออกไปลาดตระเวนในท้องทะเลเสียหน่อย และไม่จำเป็นต้องกังวลกับผลผลิตในฟาร์มปลาด้วย เพราะอย่างไรเสียเขาก็มีพลังพิเศษแห่งจิตใต้สำนึกโพไซดอนซึ่งสามารถลงไปขุดค้นสมบัติในเรือที่จมลงใต้ทะเลได้ เพราะงั้นชีวิตจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ อยู่แล้ว
อีกอย่าง แม้จะไม่เจอสมบัติ ก็ยังมีของมีค่าอย่างปลาทูน่าครีบเหลือง ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน และหอยนมสาวทะเลยักษ์ที่สามารถเอาไปขายได้
ฉินสือโอวเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ งานของเหมาเหว่ยหลงนั้นเป็นสิ่งที่พ่อของเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ และมันยังเป็นความคาดหวังของวงศ์ตระกูลเขาอีกด้วย ดังนั้นใช่ว่าคิดอยากลาออกแล้วจะลาออกได้
แต่เหมาเหว่ยหลงกลับแสดงสีหน้าคล้อยตาม เขากลอกตาไปมาโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นเออร์บักก็เดินออกมา ตอนนี้ชายชราที่ดูเหนื่อยล้าและไร้ชีวิตชีวาเมื่อสองสามวันก่อนกลับมามีแววตาสดใส ฝีเท้าหนักแน่นและอกผายไหล่ผึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะฟื้นฟูกลับไปเหมือนตอนที่ฉินสือโอวเจอเขาครั้งแรกแล้ว
“เออร์บัก ตอนนี้คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง” ฉินสือโอวรีบถามขึ้นหลังจากเห็นเขา
เออร์บักพูด “ฉิน ผมพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ยาสมุนไพรที่เพื่อนคุณเอามาช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ตอนบ่ายผมนอนหลับในน้ำพุร้อนไปหนึ่งงีบ และตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ หลังจากดื่มยาสมุนไพร ผมก็ไม่รู้สึกปวดหัวอีกเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา แม้ไม่กล้าพูดว่าพลังพิเศษแห่งจิตใต้สำนึกโพไซดอนสามารถรักษาเนื้องอกในสมองได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพลังพิเศษนี้สามารถรักษาโรคได้
ตามสุภาษิตที่ว่า ‘รักเขา ให้รักสิ่งรอบตัวของเขาด้วย’ เออร์บักจึงยื่นมือไปจับมือของเหมาเหว่ยหลงอย่างเป็นมิตร เพราะฉินสือโอวบอกเขาว่ายาสมุนไพรล้ำค่านี้ เหมาเหว่ยหลงเองที่เป็นคนเอามา
ผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ของยาแพทย์แผนจีนนี้ทำให้เออร์บักมีความมั่นใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป แม้ปากจะบอกว่าตัวเองปล่อยวางแล้วและถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปพบพระเจ้าแล้ว แต่การตายไปยังไงก็ไม่สู้การได้มีชีวิตต่อ ดังนั้นคนปกติคนไหนเล่าที่อยากจะไปพบพระเจ้าจริงๆ
หลังจากเหมาเหว่ยหลงได้ทราบถึงเหตุผลที่เออร์บักขอบคุณตัวเอง เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตนหลายประโยคและหันไปพูดกับฉินสือโอว “ฉิน โซ่ว กล่องที่ฉันเอามาด้วยล่ะ ในนั้นมีของขวัญของนาย!”
“มีอะไรบ้างล่ะ” ฉินสือโอวถาม เขาหันไปพูดบางอย่างกับอีวิลสัน จากนั้นอีวิลสันก็เดินไปยังห้องฝากของแล้วกลับมาพร้อมแขนสองข้างที่หนีบกล่องเอาไว้ข้างละใบ และมือทั้งสองข้างที่ถือกล่องเอาไว้ข้างละใบเช่นกัน จากนั้นเขาก็วางลงอย่างง่ายดาย
เหมาเหว่ยหลงเปิดกล่องทั้งแปดใบออก เผยให้เห็นของที่อยู่ด้านใน
ซอสสะเต๊ะ ซอสถั่วเต้าซี่ น้ำจิ้มบ๊วย ซอสXO ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ซอสถั่วเหลือง น้ำมันกุ้งสด ซีอิ๊วหวาน ซอสเห็ด ซอสบาร์บีคิว ซอสเกลือ วูสเตอร์ซอส ซอสOK พริกไทยป่น ผงขิง ผงกระเทียม เต้าซี่ ผงพะโล้ น้ำพริกเผาเหล่ากานมา เป็นต้น
นอกจากนี้ในนั้นยังมีเครื่องเทศปรุงรสสำเร็จรูปสำหรับปลาต้มซอส หมูต้มซอส บะหมี่ซอสผัด หมูเส้นผัดเปรี้ยวหวานและไก่ตุ๋นจำนวนมากอีกด้วย
เมื่อเห็นของเหล่านี้ฉินสือโอวก็ตาเป็นประกาย เขาหัวเราะแล้วถามขึ้น “เป็นของขวัญที่ไม่เลวเลยจริงๆ ต่อไปนี้ถ้ามีของพวกนี้ การทำอาหารก็เป็นเรื่องง่ายแล้วล่ะ”
ในเซนต์จอห์นมีร้านอาหารจีน แต่ไม่มีไชน่าทาวน์และไม่มีซูเปอร์มาเก็ตสำหรับคนจีนโดยเฉพาะ ดังนั้นเครื่องปรุงรสอาหารจีนดั้งเดิมหลายชนิดจึงไม่สามารถหาซื้อได้ที่นั่น
กลับมาครั้งก่อนฉินสือโอวเองก็วางแผนที่จะเอาเครื่องปรุงรสบางส่วนกลับมาด้วย แต่ตอนนั้นมีทั้งเป็ดทั้งไก่และเมล็ดพันธุ์พืชจนไม่สามารถขนอะไรกลับมาได้มากกว่านี้แล้ว เขาจึงต้องทำใจ
แต่ตอนนี้เหมาเหว่ยหลงได้สร้างความเซอร์ไพรส์ให้แก่เขา สมแล้วที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจเขามากที่สุด
เวลาล่วงเลยมามากแล้ว นีลเซ็นเริ่มเตรียมมื้อเย็น ชาร์คตั้งเตาย่างของเขา เมื่อเนื้อหมูป่าชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลงไม้ พวกเราก็ทำการจุดไฟและเริ่มย่าง
ตอนนี้เขาสามารถมีสมาธิจดจ่อกับการทาน้ำมันและซอสปรุงรสได้แล้วเพราะมีอีวิลสันรับหน้าที่คอยควบคุมการย่างอยู่ข้างๆ เนื้อหมูชิ้นหนึ่งเป็นเหมือนไม้กวาดในมือที่เขาจะปัดไปตรงไหนก็ง่ายดายไปเสียหมด
ส่วนซีมอนสเตอร์นั้นมีหน้าที่ย่างปลาทะเล นอกจากนี้มื้อเย็นวันนี้ยังเป็นอาหารทะเลที่ทำมาเพื่อต้อนรับเหมาเหว่ยหลงโดยเฉพาะด้วย ดังนั้นนอกจากอาหารจานเด่นอย่างปลาย่างแล้ว ยังมีกุ้งย่าง หอยเชลล์ย่าง และปลาดาวย่างด้วย
ไม่นาน กลิ่นปิ้งย่างที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นยี่หร่าและอาหารทะเลก็กระจายไปทั่ว หู่จือ เป้าจือเดินวนอยู่รอบๆ พลางกระดิกหางไปด้วย ฉงต้านั่งอยู่ข้างๆ ซีมอนสเตอร์ สองตาของมันมองเนื้อหมูป่าชิ้นนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่น่าเสียดายที่อีวิลสันเป็นผู้ดูแลส่วนนั้น มันจึงไม่กล้าเดินเข้าไปอ้อน
……………………………………….