ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1426 น้ำมันวาฬถังหนึ่ง
วาฬไรท์พ่นน้ำออกมาเป็นลักษณะรูปตัววี แรงดันน้ำแรงมาก สามารถพ่นออกมาได้สูงห้าถึงหกเมตรคล้ายกับน้ำพุสองช่อ
จากนั้นพอมีวาฬไรท์ตัวหนึ่งพ่นน้ำออกมา ตัวอื่นๆ ก็ทำตามโดยเริ่มทยอยพากันพ่นน้ำออกมาเช่นกัน ประจวบเหมาะกับที่วาฬตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเรือปริ้นเซสเมล่อนพอดีจึงทำให้ละอองน้ำกระเด็นขึ้นมาบนเรือ!
วินนี่โยนชิ้นปลาพวกนี้แบ่งให้วาฬไรท์จนหมดแต่พวกมันที่มีรูปร่างใหญ่โตจึงทำให้กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ทั้งในน้ำก็ไม่มีชิ้นปลาแล้ว พวกมันจึงยื่นตัวขึ้นมาคราวนี้ไม่ใช่แค่แอบมองแล้วแต่ยังเอาหัวโผล่ขึ้นจากน้ำมาตั้งครึ่งหนึ่ง
“โอ้โห ไอ้เจ้าพวกจอมตะกละ” วินนี่หัวเราะพลางโบกมือแล้วตะโกน “ไปแล้วนะทุกคน หมดแล้ว อาหารหมดแล้วล่ะ พวกแกต้องไปหากินเองแล้ว!”
วาฬไรท์ไม่มีแรงพอที่จะตั้งตัวตรงในน้ำได้นาน พอเริ่มเหนื่อยแล้วก็ว่ายกลับลงไปในน้ำเหมือนเดิม เวลานี้เรือปริ้นเซสเมล่อนก็ได้ขับมุ่งหน้าไปยังทางเหนือต่อ
ขับไปได้สักพัก ซีมอนสเตอร์ที่อยู่ในห้องเดินเรือก็เดินออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ดูจากมอนิเตอร์หาปลาแล้ว เจ้าพวกนั้นดูเหมือนจะยังตามพวกเรามาอยู่นะ”
ชาร์คอุทานด้วยความตกใจว่า “จะเป็นไปได้ไง ความเร็วในการว่ายน้ำของวาฬไรท์ช้ามาก พวกมันไม่มีทางว่ายตามเรือพวกเราทันอยู่แล้ว!”
ซีมอนสเตอร์ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “หรือพวกมันเพิ่งกินอิ่มก็เลยทำให้มีพลังมากขึ้นอย่างนี้เหรอ? แต่พวกมันก็ตามอยู่ตลอดนะ ไม่เชื่อนายก็เข้าไปดูในห้องเดินเรือดูสิ”
ฉินสือโอวยังรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะวาฬไรท์ว่ายน้ำช้ามาก จึงไม่มีทางตามเรือที่แล่นด้วยความเร็วสี่สิบห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แน่ ดังนั้นเขาจึงเดาออกว่าเหล่าบอดี้การ์ดอยู่ในน้ำใกล้เกินไป
อย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงน้ำไปดู ก็พบคราเคนกับเฮยป้าหวังว่ายน้ำมาอย่างเร็วราวกับว่ายแข่งกันอยู่ เขาจึงรีบควบคุมทั้งสองเอาไว้ จากนั้นก็ออกคำสั่งพวกงูเหลือมทะเลที่อยู่ด้านหลัง ให้พวกมันดำลงลึกและว่ายออกจากเขตการแผ่คลื่นรังสี
และเมื่อยิ่งเข้าใกล้ทางเหนืออากาศก็ยิ่งหนาวขึ้น จากก่อนหน้านี้ฉินสือโอวยังดูตื่นเต้นที่จะออกไปรับลมทะเลและหยอกล้อกับหู่เป้าฉงหลัวอยู่ด้านนอกอยู่เลย แต่พอหลังจากเข้าสู่เขตน่านน้ำแลบราดอร์ก็หมดแล้วซึ่งความตื่นเต้น ส่วนใหญ่ช่วงบ่ายๆ ถึงค่อยจะออกมาอาบแดดด้านนอก
ปกติเวลาว่างมากๆ ฉินสือโอวก็จะถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปล่องทะเล และหลังจากเข้าสู่อ่าวแดงของน่านน้ำแลบราดอร์ ก็พบซากเรืออับปางลำหนึ่งขนาดยาวยี่สิบกว่าเมตรปรากฏอยู่บนก้นทะเล
เมื่อเห็นซากเรืออับปาง จิตใจของท่านชายฉินก็ถึงกับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรือลำนี้คือเรือสำเภา ที่เมื่อดูจากโครงสร้างแล้วเห็นได้ว่าเป็นเรือไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้กันทั่วไปในช่วงศตวรรษที่สิบห้าสิบหก ส่วนหัวเรือก็มีเครื่องเสากันชนและตราประจำตระกูล ดูแล้วเหมือนกับเรือขนสมบัติ
แต่เมื่อเข้าดูใกล้ๆ เขาพบว่ามีเรือไม้ลำเล็กๆ อีกสี่ลำอยู่ที่ส่วนหางของเรือโทรมๆ ผุพังลำนี้ เช่นนี้ก็คงจะไม่ใช่เรือขนสมบัติแล้วล่ะ
เพื่อเป็นการป้องกันกะลาสีเรือที่ไม่จงรักภักดี แอบหนีหรือแอบขโมยสมบัติบนเรือหนี เรือขนสมบัติจึงจะไม่พ่วงเรือเล็กไปเยอะ กลับกันจะเป็นเรือล่าวาฬซะมากกว่าที่ทำอย่างนั้น
และเมื่อเข้าไปดูห้องโดยสารเรือ ฉินสือโอวถึงกับตกใจ สิ่งที่เห็นก็คือศพสองสามศพ เนื่องด้วยน่านน้ำแลบราดอร์หนาวเย็นตลอดทั้งปี ศพพวกนี้จึงถูกผนึกไว้ในห้องโดยสารเรือ และด้วยความที่มีแบคทีเรียน้อยร่างจึงไม่มีการเน่าเปื่อย มันถูกรักษาให้คงอยู่ในสภาพร่างที่แห้งกรัง มองดูแล้วน่าสยดสยองเป็นที่สุด
ศพที่อยู่ก้นทะเลก็มีหลากหลายแบบ บ้างก็เน่าเปื่อย บ้างก็ขึ้นอืดเนื่องจากแช่อยู่ในน้ำทะเล แต่ศพแบบสุดท้าย หากสุดท้ายแล้วศพไม่มีการเน่าเปื่อยเซลล์ก็จะตายไปตามสภาวะความหนาแน่นของภายนอกและภายใน จนเข้าสู่กระบวนการสูญเสียน้ำ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะที่เขาเจอ
และลักษณะศพแห้งกรังเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวกลัวมากที่สุด เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง สีหน้าท่าทางของศพพวกนี้จึงดูโหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก แม้แต่อวัยวะบนใบหน้าก็บีบตัวเข้าหากันจนไม่สามารถที่จะแยกออกได้
จากนั้นเขาก็ไปเจอเข้ากับกล่องใบใหญ่สองกล่องที่ห้องข้างๆ โดยถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาค่อนข้างมีความหวังว่าหรือจะมีของล้ำค่าอะไรอยู่ข้างใน?
สุดท้ายพอเขาทำให้คลื่นปั่นป่วน กล่องผุๆ พังๆ นั้นก็แตกออกอย่างง่ายดาย และของทั้งหมดที่ทะลักออกมาก็คือกระดูกสีขาวโพลน! อีกทั้งเมื่อดูจากกระดูกกะโหลกศีรษะแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือกระดูกของคน!
แต่จะว่าไปฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะศพที่อยู่ห้องข้างๆ นั้นแห้งกรังแล้ว แต่ศพที่อยู่ในกล่องนั้นจะเน่าเปื่อยจนเนื้อหนังรุ่ยไปหมดเลยได้อย่างไรกัน?
แต่นี่ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจมาก ถ้าคิดไม่ออกก็ปล่อยไป แล้วเขาก็ทำการหาต่อ สุดท้ายก็เจอเข้ากับกองถังไม้ยางขนาดใหญ่จำนวนมากในห้องโดยสารเรือ พอเอาหนึ่งในนั้นมาผ่าดู ก็พบอีกว่าข้างในนั้นคือตัวอย่างน้ำมันวาฬที่แข็งตัว
เช่นนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าเรือลำนี้คือเรือล่าวาฬ น้ำมันพวกนี้ก็คงจะเป็นน้ำมันปลาของวาฬนั่นเอง
เมื่อก่อนน่านน้ำแลบราดอร์เคยเป็นแหล่งสำคัญในการล่าวาฬของชาวบาสก์ ซึ่งวาฬไรท์สองสามหมื่นตัวเริ่มดำรงชีวิตอยู่ในน่านน้ำนี้นับตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่สิบห้าสิบหกเป็นต้นมา แต่เนื่องด้วยถูกล่าโจมตีอยู่ตลอด วาฬไรท์ที่อยู่ที่นี่ถึงได้ดูร่อยหรอจนเกือบจะสูญพันธุ์ในปัจจุบัน
ตามที่ฉินสือโอวรู้ ในยุคเฟื่องฟูของศตวรรษที่สิบหก ช่วงฤดูล่าวาฬ มีนักล่าวาฬมากกว่าสองพันคนอาศัยอยู่แถบบริเวณอ่าวแดง ผลิตน้ำมันวาฬได้ห้าแสนแกลลอนทำให้ได้กำไรอย่างมหาศาล
ในช่วงเวลานั้น น้ำมันวาฬถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากอย่างหนึ่ง สามารถใช้ในการให้แสงสว่าง ทำน้ำมันหล่อลื่น รวมไปถึงเอามาทำเป็นสารเติมแต่งในยา สบู่ และยางมะตอยได้ ทั้งการเติมเครื่องเทศลงในน้ำมันวาฬในสมัยศตวรรษที่สิบหกซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่เหล่าผู้ดีชอบมากที่สุด
หลังจากที่ชาวบาสก์ล่าวาฬได้และนำไปลนอาบน้ำมันปลา เรือเดินสมุทรก็ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนทำการตลาดไปถึงทวีปยุโรป ซึ่งราคาขายของน้ำมันวาฬหนึ่งถังในปริมาณห้าสิบห้าแกลลอนนั้นสูงถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน
ดังนั้นสำหรับชาวบาสก์แล้ว การที่เจอแหล่งวาฬไรท์ในแลบราดอร์ก็เหมือนกับว่าเจอเหมืองทองคำ
แต่สำหรับท่านชายฉิน นี่คือไร้ประโยชน์ หลังจากเขาค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าสิ่งเดียวที่มีค่าในเรือลำนี้คือน้ำมันวาฬถังหนึ่งกับกล่องใบหนึ่งที่เจออยู่ในห้องโดยสารเรือที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา
กล่องใบนี้ถูกน้ำมันวาฬซีลไว้ ดังนั้นถึงจะไม่รู้ว่าข้างในกล่องมีอะไร แต่ฉินสือโอวคาดว่าข้างในจะต้องเก็บของดีไว้แน่
เขาคิดจะเปิดมันแต่เมื่อวิเคราะห์ดูจากการที่เจ้าของใช้น้ำมันวาฬซีลมันไว้ งั้นก็แสดงว่าของข้างในกล่องกลัวน้ำ ดังนั้นเขาจึงเรียกคราเคนมาให้มันใช้หนวดดูดกล่องไว้ เอาไว้หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วถึงค่อยเปิดดู
เอากล่องมาได้แล้ว ฉินสือโอวก็ต้องจากมาด้วยความจำใจ เพราะปัจจุบันน้ำมันวาฬไม่มีมูลค่าอะไรแล้ว ไม่ว่าจะนำมาทำแสงสว่างหรือน้ำมันหล่อลื่น เพราะน้ำมันวาฬมีสิ่งมาแทนที่มันเป็นที่เรียบร้อย
เช่นนี้แล้วเขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับ พอรู้สึกตัวเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ วินนี่ที่อยู่ข้างๆ เลยหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ พร้อมกับถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ? ทำไมคุณถึงได้ดูเศร้าอย่างนั้นล่ะ?”
ฉินสิอโอวตอบ “คงเป็นเพราะว่าอยู่ในทะเลมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรที่ดูเหมาะจะเก็บเกี่ยวได้เลย แล้วจะไม่ให้ผมเศร้าได้อย่างไรล่ะ”
เมื่อถึงที่สุดแล้วก็คงต้องหันกลับ ตลอดทางเหนือพอเข้าไปส่งเสบียงที่ท่าเรือเบอร์เวลล์แล้ว ถึงค่อยออกจากน่านน้ำแลบราดอร์ จากนั้นก็เข้าสู่เขตเกาะแบฟฟินเขตที่หนาวที่สุดของแคนาดา
ผ่านคาบสมุทรฮอลล์ของเกาะแบฟฟินและเข้าสู่ช่องแคบดาวิส ในเวลานี้ข้ามช่องแคบไปก็จะสามารถเห็นแคนาดาและเกาะกรีนแลนด์ได้อยู่ไกลลิบๆ
พอถึงสถานที่แห่งนี้ อุณหภูมิก็ลดลงถึงขั้นติดลบ ที่พวกเขาแพลนไว้ก็คือลอดผ่านช่องแคบดาวิสไปถึงอ่าวน้ำเย็นอิลูลิสแซท สุดท้ายเมื่อเรือประมงเข้าเทียบท่าเรือเกาะแอตตูเพื่อเตรียมส่งเสบียง ฉินสือโอวก็พบว่าน่านน้ำแห่งนี้มีปูจักรพรรดิอาศัยอยู่จำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ!
……………………………………………