ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1504 มิชลินสามดาว
ฉินสือโอวไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนี้ที่จู่ๆ ก็บังเอิญเจอชาลส์ มอร์รี่ที่นี่ เขาเหลือบมองแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้คงจะไม่ได้เพราะฟาร์มปลาคาร์เตอร์เหมือนกันใช่ไหม?
แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น การที่ชาลส์ มอร์รี่จะปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อาณาเขตของตระกูลมอร์รี่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ทำการบุกเบิกตลาดในแคนาดา เนื่องจากรัฐโนวาสโกเชียอยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกาและแฮลิแฟกซ์ก็ยังเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้กับนิวยอร์กที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ที่นี่เป็นสะพานเชื่อมธุรกิจ
ชาลส์ไม่ได้พบเขา เพราะพวกเขาเดินไปตามทางหลังจากออกจากร้านอาหาร กลุ่มคนพูดคุยและหัวเราะกัน ดูอารมณ์ดีราวกับว่าพวกเขากำลังกินอิ่มและดื่มกันอย่างเต็มที่พร้อมที่จะออกไปเดินเล่น ซึ่งแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างสบายใจแบบนี้
ฉินสือโอวเดินไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแบล็คไนฟ์ เขาไม่ต้องการเจอชาลส์ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้กลัวอะไร แต่แค่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง
บางทีอาจจะเป็นเรื่องปกติที่ชาลส์จะปรากฏตัวในแฮลิแฟกซ์ แต่เขาไม่ปกติแน่นอน ด้วยความฉลาดของปีศาจอย่างตระกูลมอร์รี่ เขาต้องมีปฏิกิริยาอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้เห็นเขา เขามาที่นี่เพื่อซื้อฟาร์มปลาคาร์เตอร์
แบล็คไนฟ์สมควรที่จะเป็นยอดฝีมือพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนด้านการลาดตระเวนและการต่อต้านการลาดตระเวน ด้วยการที่ฉินสือโอวซ่อนตัวแบบนี้ เขาก็มองปัญหาออกแล้ว จึงถามด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “บอส มีคนที่คุณไม่อยากเจอเหรอ?”
ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “นายเคยเห็นผู้ชายที่ดูไม่สุภาพคนนั้นไหม? ผู้ชายผิวขาวเหลืองคนนั้น ทางสิบเอ็ดนาฬิกา”
แบล็คไนฟ์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เห็นแล้ว”
“ตามเขาแล้วไปสืบว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันและพยายามหาจุดประสงค์การมาที่นี่ของพวกเขามาให้ได้” ฉินสือโอวกล่าว
แบล็คไนฟ์จึงไปซื้อหมวกเบสบอลและหนังสือพิมพ์จากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ จากนั้นก็เดินไปที่ชาลส์และพรรคพวกอย่างสบายอกสบายใจ
มีร้านค้ามากมายบนทางเดิน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ที่อยู่อาศัยและการขนส่งที่ครบถ้วน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านท่องเที่ยว
ฉินสือโอวเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ชาลส์และคนอื่นๆ เข้าไปก่อนหน้านี้ ร้านอาหารแห่งนี้มีขนาดเล็กและดูเรียบง่ายมาก มองจากภายนอกก็ดูธรรมดาๆ เป็นบ้านในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ทั่วไป ที่มีอวนจับปลา ยางรถ หางเสือและฉมวกแขวนอยู่นอกประตู
แต่ถ้ามองดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าร้านนี้ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะมีของกระจัดกระจายอยู่นอกบ้านเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่รกและยังเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่สบายๆ แบบหมู่บ้านชาวประมง
ทางเข้าของร้านอาหารฝังด้วยแผ่นสเตนเลสสตีลสีเงินรูปดอกไม้ที่มีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ว่า มิชลินไกด์ และมีตัวเลข2010 สี่ตัว อยู่บนตัวอักษร นอกจากนี้ยังมีลวดลายคล้ายกลีบดอกไม้สามกลีบอยู่ด้านล่าง
เมื่อได้เห็นแบรนด์นี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่คือโลโก้อาหารมิชลินเหรอ ลวดลายทั้งสามแบบนั้นไม่ใช่กลีบดอกไม้ แต่เป็นดาวมิชลิน ซึ่งหมายความว่านี่คือร้านอาหารมิชลินสามดาว!
สำหรับตัวเลขสี่ตัว 2010 นั้นหมายความว่า พวกเขาได้ให้คะแนนร้านอาหารนี้ไว้ในปี 2010 ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับสามดาวเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก
นักชิมทั่วโลกรู้ดีว่ามิชลินไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตยางล้อเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรประเมินราคาที่น่าเชื่อถือได้ของฝรั่งเศส ซึ่งมีประวัติอันยาวนานและเชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมการอาหาร
ในปี 1900 ผู้ก่อตั้งยางล้อรถมิชลินได้เผยแพร่คู่มือสำหรับนักเดินทางในการเลือกร้านอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งนั่นก็คือ “มิชลิน ไกด์” ตั้งแต่นั้นมา “มิชลิน ไกด์” ก็ได้รับการปรับปรุงและเปิดตัวทุกปี จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักชิม” ที่ล้ำค่าที่สุดและเป็นที่รู้จักในนามคัมภีร์อาหารยุโรป ต่อมาจึงได้เริ่มกำหนดดาวให้กับร้านอาหารฝรั่งเศสทุกปี จากนั้นก็เริ่มออกสู่ทั่วโลกและมอบคะแนนให้กับร้านอาหารทั่วโลก
บทวิจารณ์ของมิชลินค่อนข้างเข้มงวดและยุติธรรม แม้ว่าจะโหดร้ายก็ตาม คะแนนรวมจะเป็นสามดาวสามระดับ หนึ่งดาวเป็นร้านอาหารที่มี “ความคุ้มค่า” ในการแวะเวียนไปเยี่ยมชมและเป็นร้านอาหารที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะรูปแบบของอาหารในแบบเดียวกัน ทักษะการทำอาหารของร้านอาหารระดับสองดาวนั้นจะต้องดีมาก ต้องเป็นร้านอาหารที่ “ควรค่าแก่การอ้อม” ไปเยือน สามดาวเป็นร้านอาหารที่ “ควรค่าแก่การกลับไปอีกครั้ง” เป็นร้านที่มีรสชาติอร่อยจนทำให้ยากที่จะลืมเลือน ว่ากันว่าจะต้องคุ้มที่จะ “บิน” ไปกินโดยเฉพาะ
ในปีนี้เท่าที่ฉินสือโอวรู้ ปัจจุบันมีร้านอาหารมิชลินสตาร์เพียง 106 แห่งในโลกเท่านั้น ไม่มีร้านอาหารใดในนิวฟันด์แลนด์ที่ไปถึงระดับนี้ แม้แต่ร้านอาหาร 2 ดาวในนิวฟันด์แลนด์!
ดังนั้นจะไม่แปลกใจที่เห็นร้านอาหารมิชลินสามดาวที่นี่ได้อย่างไร?
ตอนนี้ฉินสือโอวก็ถือว่าเป็นนักชิม แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นนักชิมที่พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาชอบอาหารระดับไฮเอนด์อย่างเช่นฟัวกราส์และคาเวียร์ นอกจากนี้เขายังสามารถกินปลาตัวเล็กๆ ในหม้อและแพนเค้กทาคาฮาชิต้มน้ำซุปได้อีกด้วย สำหรับนักชิมแล้ว ร้านอาหารมิชลินสามดาวเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีแรงดึงดูดมากที่สุด
การที่จู่ๆ ได้เห็นร้านอาหารระดับสามดาวแห่งหนึ่งในสถานที่แบบนี้ สำหรับนักชิมแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจพอๆ กับการที่อู่ชือได้บังเอิญพบกับพระที่กำลังกวาดลานวัดที่ศาลาวัดเส้าหลิน ซึ่งมันมีพลังสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง
ฉินสือโอวเดินเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งถ้ามองจากด้านนอกก็ไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไรนัก จากนั้นก็มีผู้หญิงสวมชุดผ้าลินินขาวสะอาดมาขวางเขาไว้ เธอยิ้มและถามว่า “สวัสดีค่ะ คุณได้จองล่วงหน้าไว้ไหมคะ?”
ไม่ว่าจะร้านอาหารมิชลินที่ใดจะไม่มีทางขาดแคลนลูกค้า แม้แต่ในยุโรปการนับ “ดาว” ของมิชลินในการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก็ถือเป็นความเพลิดเพลินระดับสูงและแม้แต่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่มีเพียงดวงเดียวก็ต้องจำกัดลูกค้าทุกวัน
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะไม่สามารถเข้าไปในร้านอาหารประเภทนี้ได้ ถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้าและการโทรศัพท์จองก็ไม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าต้องการทานอะไร เพื่อให้พ่อครัวได้ทำการจัดเตรียม
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยทานอาหารมิชลินสามดาวไปสองครั้ง ครั้งแรกบิลลี่เลี้ยงอาหารเขาที่ร้านเพอร์เซในนิวยอร์ก ตอนนั้นเขายังได้พบกับราชินีแอวริล ส่วนครั้งที่สองเขากินที่ร้านยูคิมูระในโตเกียว ซึ่งมีคนเลี้ยงเขาทั้งสองครั้ง ดังนั้นเขาเลยไม่รู้จะต้องจองล่วงหน้าอย่างไร
เบิร์ดต้องการที่จะไปเจรจา ฉินสือโอวจึงส่ายหัว ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่ทำตามกฎก็พอแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่ต้องการที่จะเข้ามาทานอาหาร แต่ต้องการดูว่าชาลส์ทิ้งร่องรอยไว้ที่นี่ไหม
แม้ว่าจะพบกับร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปนั่งทานอาหารได้และเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย คลื่นและลมทะเลขัดเกลาอารมณ์ของเขาและเปลี่ยนความคิดของเขาไปอย่างมาก
เขาจึงกล่าวขอโทษพนักงานและกำลังจะจากไป ในขณะเดียวกันชายวัยกลางคนรูปร่างสูงในชุดพ่อครัวก็เดินออกมา เขาเหลือบมองไปที่ฉินสือโอวแล้วถามว่า “สวัสดีครับ คุณฉิน?”
ฉินสือโอวมองไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้น เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ บางทีอีกฝ่ายอาจจะเคยเห็นเขาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆ แต่ทำไมเขาถึงเรียกชื่อเล่นล่ะ
ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “สวัสดีครับ ผมคือฉินสือโอว ดีใจที่ได้พบคุณ”
พ่อครัววัยกลางคนยิ้มอย่างจริงใจและพูดว่า “สวัสดีครับ คุณฉิน ผมชื่อสแตนลี่ย์ คัลเบิร์ต ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณเช่นกัน อ้อ ผมอยากถามว่า คุณมากินข้าวเหรอ?”
ฉินสือโอวรู้สึกอายเล็กน้อย จึงพูดว่า “ผมบุ่มบ่ามเข้ามานิดหน่อย คุณสแตนลี่ย์ ผมไม่ได้จองโต๊ะไว้ ดังนั้นผมคิดว่าผมเสียใจที่พลาดครั้งนี้ หรือไม่ต่อไปผมจะจองล่วงหน้าถึงจะมารับประทานอาหารรสชาติดีๆ ได้”
พ่อครัววัยกลางคนยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็น มาเลย คุณฉิน นั่งข้างในนี้เลย มีโต๊ะว่างอยู่พอดี”
ไม่รู้ว่าทำไมฉินสือโอวมองไปที่รอยยิ้มของเขาแล้วถึงรู้สึกคาดเดาไม่ได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ราวกับว่าชายคนนี้มีความคิดอื่นภายใต้รอยยิ้มนั้น
…………………………….