ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 154 สู้กับหมาป่า
เมื่อพูดถึงหมาป่าสีเทาของอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวก็รู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆ
หมาป่าสีเทาเป็นคำเรียกรวมๆ ของหมาป่าที่กระจายตัวอยู่ในภาคเหนือของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยลำตัวสามารถยาวได้ถึง 2 เมตร หนักได้ถึง 70 กิโลกรัมส่วนตัวเมียจะหนักประมาณ 50 กิโลกรัม นับได้ว่าเป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่ที่สุดในตระกูลหมาป่าด้วยกัน
และแน่นอนว่ามันต่อสู้เก่งที่สุดในตระกูลหมาป่าด้วยเช่นกัน
พวกมันต่อสู้ได้เก่งแค่ไหนน่ะเหรอ? เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์แรงเยอะไหม? ทิเบตัน มาสทิฟฟ์เดียวสามารถเอาชนะเสือได้สามตัว ทิเบตัน มาสทิฟฟ์สามตัวสามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินได้ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ห้าตัวสามารถสู้กับพระเจ้าได้ พวกมันสิบตัวสามารถสร้างตำนานได้เลย ฟังดูสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ? ชาวเติร์กถึงกับยกย่องพวกมันว่าเป็น “ความโกรธของพระเจ้า” แต่ถ้าหากพวกมันบังเอิญได้เจอกันในป่าล่ะก็ หมาป่าสีเทาตัวเดียวสามารถจัดการทิเบตัน มาสทิฟฟ์ได้ถึงสองตัวอย่างสบายๆ เลยล่ะ!
หมาป่าชนิดนี้มีแรงกัดที่น่าทึ่งมากถึง 700 ปอนด์ วิ่งเร็วสุดได้ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสามารถวิ่งต่อไปอีก 20 กิโลเมตรด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกพวกมันหมายตา เมื่อนั้นฝันร้ายได้มาเยือนคุณแล้ว
ฉินสือโอวกระชับปืนในมือแล้วเขยิบเข้าใกล้นีลเซ็น ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ให้ตายสิ โชคร้ายจริงๆ ขึ้นเขาครั้งแรกก็เจอกับหมาป่าสีเทาเลยเหรอเนี่ย?”
ที่แคนาดาหมาป่าชนิดนี้เคยถูกล่ามาก่อน เนื่องจากพวกมันชอบทำร้ายสัตว์ชนิดอื่น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่มันกินอิ่มแล้วมันก็ยังทำร้ายสัตว์ตัวอื่นๆ ที่เหลืออยู่อีกด้วย ทำให้ผู้คนต่างพากันเกลียดพวกมัน เมื่อก่อนเมืองแฟร์เวลก็เคยจัดกิจกรรมล่าหมาป่า ว่ากันว่าตอนนี้หมาป่าบนเขาเหลือไม่เยอะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะเจอพวกมัน
ขนสีทองของหู่จือและเป้าจือตั้งชัน หูใหญ่ๆ ของพวกมันลู่ไปด้านหลัง สายตาดุดันเปล่งประกาย แยกเขี้ยวจนเห็นฟันอันแหลมคม พวกมันยืนเป็นรูปตัว ‘วี’ อยู่ด้านหน้าสุด เผชิญหน้ากับหมาป่าในเงามืดอย่างดุเดือด “แฮ่~ แฮ่~ แฮ่~”
ฉงต้าก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน ฉินสือโอวคิดว่าเจ้าขี้ขลาดนี่จะวิ่งมาหลบหลังเขาซะอีก ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ฉงต้าค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ หดลำคอ เบิกตากว้างมองไปรอบ ๆ และกรงเล็บกางกรงเล็บที่เหมือนมีดขนาดเล็กที่มักจะหดตัวในอุ้งมือออกมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีทั้งหมา หมีและปืน ฝูงหมาป่าก็รู้สึกลังเล ไม่กระโจนออกมา เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแล้ววิ่งไปวิ่งมา แต่ไม่ส่งเสียง นีลเซ็นบอกว่าพวกมันไม่แน่ใจว่าจะโจมตีพวกเราดีไหม
ฉินสือโอวกลัวว่าฉงต้าจะถูกหมาป่าทำร้าย ในสายตาของเขาเจ้าหมีน้อยคือสัตว์ที่มักจะเดินอุ้ยอ้ายส่ายก้นไปมา
แต่วันนี้ฉงต้าทำให้ฉินสือโอวถึงกับตะลึง มันค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างๆ หู่จือกับเป้าจือแล้วหดคอให้สั้นเข้าไปอีก นีลเซ็นกระซิบเบาๆ ว่า “หมีกำลังจะโจมตีแล้ว!”
“โฮ่! โฮ่!”ฉงต้ายื่นคอไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงคำรามก้องกังวานออกมาสองครั้ง อยู่ดีกินดีมาสองเดือนกว่า ทำให้ฉงต้าโตขึ้นไม่น้อย เสียงคำรามของมันไม่เหมือนเด็กอีกต่อไป แต่เหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายในป่าใหญ่
ฉงต้าพุ่งตัวไปข้างหน้าหลังจากคำราม โดยมีหู่จือและเป้าจือขนาบข้าง พวกมันพุ่งตัวออกไปได้ประมาณสิบกว่าเมตรก็ถึงขอบของเงาดำ
ฉินสือโอวรู้สึกเป็นห่วงจึงรีบยกปืนขึ้นมาเล็ง นีลเซ็นรั้งเขาไว้พร้อมพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะบอส มันไม่สู้กันตรงๆ หรอก พวกมันกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ รอดูกันว่าใครกลัวใคร!”
“ทำไมพวกเราถึงไม่โยนเนื้อให้พวกมันไปซะก็สิ้นเรื่อง”ฉินสือโอวพูด “ยังไงซะเราก็มีหมูตั้งครึ่งตัวกับเนื้อกวางอีกไม่น้อย”
นีลเซ็นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก หมาป่าเป็นพวกโลภมาก ชอบรังแกสัตว์อื่นและกลัวสัตว์ที่แข็งแรงกว่า ถ้าคุณโยนเนื้อให้พวกมัน พวกมันจะคิดว่าคุณกลัวแล้วพวกมันก็จะยิ่งเหิมเกริมได้คืบจะเอาศอก”
ฉงต้าคำรามด้วยความโกรธเคือง ส่วนหู่จือกับเป้าจือก็แผดเสียงสุดกำลังของพวกมันเช่นกัน เมื่อเจอกับสามสหายน้อยในระยะประชิด ฝูงหมาป่าหมาป่าไม่ได้จู่โจมเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ที่กำลังยั่วยุพวกมัน แต่กลับล่าถอยไป
การเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายนั้นต้องใช้ทักษะเป็นอย่างมาก แต่พวกมันไม่ต้องให้ใครมาสอน พวกมันรู้ว่าต้องทำอย่างไร ทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้มันอยู่ในสายเลือดอยู่ในกระดูกของพวกมันอยู่แล้ว
เมื่อหมาป่าล่าถอยไป ฉงต้ากับหู่จือและเป้าจือก็รีบถอยกลับมาไม่ได้ตามพวกมันไป
นีลเซ็นอธิบายว่า “พวกหมาป่าพยายามล่อเจ้าพวกนี้ให้เข้าไปในเงามืด เพื่อให้ง่ายต่อการโจมตี แต่หมีกับหมาสองตัวนี้ไม่หลงกล พวกมันอยู่ในระยะที่แสงจากกองไฟส่องถึงเสมอ เพราะพวกมันรู้ว่าพวกหมาป่ากลัวไฟ”
ฉินสือโอวพยักหน้า พวกหมาป่ายังคงวนเวียนอยู่รอบๆ นีลเซ็นจึงพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “คุณยิงปืนขึ้นฟ้าสักสองนัด หมาป่าพวกนั้นไม่ส่งเสียงอะไรเลย ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะโจมตีหรือไม่แบบนี้พวกเราไล่พวกมันไปก็เรียบร้อย”
เหมาเหว่ยหลงยกปากกระบอกปืนลูกซองเรมิงตันขึ้นมาแล้วกดไกปืนซ้ำๆ “ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงดังราวกับยิงปืนใหญ่ดังก้องไปทั่วผืนป่าอันเงียบสงัด นีลเซ็นกับฉินสือโอวก็ยกปืนขึ้นมายิงด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกหมาป่ารู้สึกหวาดผวา พอพวกมันได้ยิงเสียงปืนในที่สุดพวกมันก็รู้สึกกลัว แล้วค่อยๆ ล่าถอยไป ในที่สุดดวงตาสีเขียวก็หายไปในเงามืด
หู่จือกับเป้าจือเห่าอยู่สักพักก่อนที่เส้นขนตั้งชันจะกลับสู่สภาพปกติ พวกมันเลียปากแล้วเดินกลับมา ส่วนฉงต้าก็เดินกลับมาทำตัวน่ารักเหมือนเดิม
ฉินสือโอวกอดหู่จือกับเป้าจือและดึงฉงต้าเข้ามากอดด้วยเช่นกัน เขาหอมพวกมันทั้งสามอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “สุดยอดไปเลย ช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญจริงๆ! พวกแกปกป้องพ่อของพวกแกไว้ ฮ่าๆ ทำได้ดีมาก! หู่จือเป้าจือกล้าหาญมาก ส่วนฉงต้าก็ทำดีมากๆ เลย…”
ท่าทีของฉงต้าวันนี้เหนือความคาดหมายของฉินสือโอวไปมากจริงๆ ปกติแล้วแค่ลมพัดหญ้ากระดิกมันก็แทบจะมุดเข้าเป้ากางเกงของตัวเองแล้ว แต่หลังจากขึ้นเขามา ความกล้าหาญที่มันแสดงออกมาเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ
ชาร์คพูดถูก หมีสีน้ำตาลเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในป่า ที่บ้านมีของแปลกตาเต็มไปหมดมันจึงรู้สึกกลัว ในป่าต่อให้ต้องเจอกับเสือสิงห์กระทิงแรดพวกมันก็กล้าที่จะเดินหน้าเข้าไปสู้!
ความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว มันอยู่ในสายเลือดของหมีสีน้ำตาลอยู่แล้ว!
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยได้ได้ยินมาว่าตอนที่หมาป่าออกล่าเหยื่อ พวกมันมั่นคงและหนักแน่นมาก วิ่งไล่ล่าเหยื่อไม่ยอมปล่อยเป็นร้อยกิโล ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลัวว่าพวกมันจะกลับมาแก้แค้นในภายหลัง
แต่ก็อย่างว่าสิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น หมาป่าสีเทาของอเมริกาเหนือถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุดในบรรดาหมาป่า แต่พวกมันก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับฉินสือโอวและคนอื่นๆ หลังจากที่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองมีทั้งสุนัข หมีและปืนล่าสัตว์ พวกมันก็รู้ว่าพวกมันควรปล่อยเหยื่ออย่างพวกเราไป
ค่อนคืนไปแล้วแต่ฉินสือโอวกลับนอนหลับอย่างไม่เป็นสุขเท่าไร เขากังวลว่าหมาป่าเหล่านั้นจะกลับมาแต่สุดท้ายหู่จือกับเป้าจือก็ไม่ได้ส่งเสียงเห่าแต่อย่างใด เขาจึงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ฉินสือโอวตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าแล้วเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงยังคงนอนกอดหมอนอยู่จึงเดินออกจากเต็นท์มา
หู่จือกับเป้าจือก็ตื่นแล้วเหมือนกัน พวกมันนอนเล่นกันอยู่บนพื้นพอเห็นฉินสือโอวจึงวิ่งมาหา
ฉงต้ายังคงนอนขดตัวอยู่โดยมีต้าป๋ายเพื่อนสนิทของฉงต้าอยู่ให้อ้อมแขน ทำให้ดูเหมือนว่าฉงต้ามีขนสีขาวอยู่หย่อมหนึ่ง
หู่จือกับเป้าจือกำลังจะเห่า แต่ฉินสือโอวเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของเขาพร้อมกับส่งเสียง ‘ชู่ว’ เมื่อเห็นดังนั้นแลบราดอร์ตัวน้อยทั้งสองก็หุบปากของมันเข้าด้วยกันแล้วเอาตัวไปถูขาของฉินสือโอวแทน
หุบเขาในยามเช้านั้นสวยงามราวกับสวนดอกไม้บนสรวงสวรรค์
ดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับลูกไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ทางทิศตะวันออก ลำแสงสีทองตกกระทบผืนดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
หมอกยามเช้าจาง ๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่า ใบไม้สีเขียวของต้นเมเปิล ต้นสน ต้นบีช ต้นปาล์มแคระ ต้นเบิร์ชและอื่นๆ อีกมากมายมีไอน้ำเกาะอยู่ทั่วไปหมด ให้ความรู้สึกแสนสดชื่น
สายลมแผ่วเบาพัดมาสัมผัสร่างกาย ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่ครู่หนึ่งจนความรู้สึกหวานแผ่ซ่านจากจมูกและปากเข้าสู่ปอด
สัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนหนึ่งก็พากันมาดื่มน้ำในตอนเช้า เมื่อฉินสือโอวเดินไปถึงริมแม่น้ำ เขาก็เห็นพวกกระต่ายสโนว์ชู ไก่ป่าฮาเซล นกมุดน้ำ กวางเรนเดียร์ กวางแดงจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ริมแม่น้ำ
เวลานี้โลกและสวรรค์สงบสุขที่สุดเป็นประวัติการณ์ ฉินสือโอวไม่อยากเป็นคนทำลายความเงียบสงบนี้ ขนาดหู่จือกับเป้าจือยังหมอบลงกับพื้นไม่ส่งเสียงใดๆ
นกที่ตื่นเช้ามักมีหนอนให้กิน นกฝูงใหญ่กระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและก็มีนกแอ็งกรีเบิร์ดสามสี่ตัวบินมาหาหนอนหาหญ้ากินที่ริมน้ำ ตัวมันอ้วนตุ๊ต๊ะและกระโดดหยองๆ แหยงๆ เหมือนลูกไฟกำลังเต้น
…………………………………….