ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1573 ลาก่อน บ้านเกิด
จากการนึกถึงความทรงจำอันสวยงาม ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้ามานั่งในห้องโดยสาร ของเครื่องบิน 7000 สุดหรูหรา
เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวลำนี้ ตบแต่งด้วยเก้าอี้เบาะหนัง เก้าอี้นวมขนาดใหญ่ คริสตัลบาร์ เครื่องประดับเงินและทอง โต๊ะอาหารที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง ทีวีจอแอลซีดี รวมถึงไวน์แดงและไวน์ขาวทุกแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีพนักงานต้อนรับสุดสวยและนักบินผู้เชี่ยวชาญ นี่คือโลกแห่งความล้ำยุคที่แท้จริง
ที่ด้านนอกเครื่องบิน คนแก่สองคนกำลังกอดกันอยู่ พี่สาวและพี่เขยของฉินสือโอวอยู่ด้านข้าง เสี่ยวฮุยที่อยู่ในอ้อมกอดของชายชรา พยายามยกแขนขึ้นเพื่อโบกมือลา ดวงตาของชายชราทั้งสองคนสั่นไหว พวกเขาทั้งสองดูตัวเล็กลงไปทันที
ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ฉินสือโอวก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
เขารู้สึกไม่ดี เนื่องจากการจากบ้านในครั้งนี้ ความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวกำลังจะขาดกันจริงๆ อาจจะไม่ได้ขาดกันโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ใกล้ถึงจุดที่แตกหักแล้ว
การกลับบ้านในครั้งนี้ การทำงานของเขามีประสิทธิภาพมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออ่างเก็บน้ำ การซื้อพืชน้ำมาปลูก การซื้อบ่อเลี้ยงปลาอนุบาล ซื้อสุนัข จ้างคนงาน และยังรวมถึงการทำความสะอาดอ่างเก็บน้ำอีกด้วย ส่วนเวลาอื่นๆ เขาก็ใช้เวลาในการพูดคุยกับพ่อแม่ โดยไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน
เหตุผลที่ทำทั้งหมดนี้ก็คือ เขาต้องการให้พ่อแม่เขาได้มีเวลาและสามารถสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ได้ ก่อนหน้านี้ที่พ่อแม่ของเขามาอาศัยอยู่ที่แคนาดาได้สองปีกว่า แม้ว่า ณ ช่วงเวลานั้นจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่พ่อกับแม่ของเขากลับรู้ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตน นั้นก็เพราะเกิดความคุ้นชินจนเกิดมาเป็นนิสัย
เขาเคยชินกับการอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ครั้งแรกที่เขาจากบ้านมาเกาะแฟร์เวลครั้งแรก เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่นาน และเขาไม่ได้คิดว่าเขาจะสามารถทำงานประมงได้ เขาเลยไม่ได้คิดว่าเกาะแฟร์เวลจะเป็นบ้านของเขา
การที่จะได้อยู่กับพ่อแม่ ที่นั่นถึงจะเรียกว่าบ้าน นั่นคือความคิดของเขาในตอนนั้น เขายังคงคิดว่าเขาทำงานอยู่ข้างนอก เพียงแต่ในการทำงานครั้งนี้แค่อยู่ไกลบ้านเท่านั้น
ต่อมาพ่อแม่ของฉินสือโอวก็มาที่ฟาร์มปลา เขาก็เริ่มมีความรู้สึกหลงรักเกาะแฟร์เวล หลังจากนั้น เขาก็มีลูกสาว พอเขาแต่งงานกับวินนี่แล้ว ตอนนี้เขาก็มีทั้งภรรยาและลูกสาว เท่ากับว่าเขามีครอบครัวใหม่เพิ่มขึ้นมาแล้ว
ตอนนั้นเอง ที่ไหนที่มีพ่อกับแม่ก็อาจจะไม่ใช่บ้านเสมอไป แต่ที่ที่มีภรรยาและลูกต่างหากที่นั่นจึงเรียกว่าบ้าน…
มีเพียงก่อนหน้านี้ที่มีพ่อแม่คอยดูแลลูกอยู่ข้างกาย มีคนในครอบครัวมารวมตัวกัน แต่เขาก็ยังไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกแบบนั้น การกลับบ้านเกิดในครั้งนี้ เขาเพียงมาส่งพ่อแม่เท่านั้น แล้วเขาก็กลับแคนาดาเอง ทำให้ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็ตัดขาดกับพ่อแม่กะทันหัน
เมื่อเครื่องบินเจ็ทโกลบอล 7000 เริ่มทะยานขึ้น ฉินสือโอวก็ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างและมองลงไปข้างล่าง เขาปรับเปลี่ยนมุมในการนั่งเพื่อให้เห็นพ่อแม่ตลอดเวลา จากนั้นเขาก็เห็นพ่อแม่วิ่งเหยาะๆ ตามเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นอย่างเร่งรีบ ราวกับรู้ว่าฉินสือโอวคอยมองพวกเขาจากหน้าต่างอยู่ พวกเขาพยายามวิ่งไปยังตำแหน่งที่ฉินสือโอวจะสามารถเห็นพวกเขาได้
แต่เครื่องบินก็บินขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายพ่อแม่ของฉินสือโอวก็เล็กลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดเครื่องบินก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า ตอนนั้นฉินสือโอวก็มองไม่เห็นร่างของพ่อแม่แล้ว
ณ วินาทีนั้นเขาก็อดไม่ได้ ที่จะน้ำตาไหลออกมา
วินนี่รัดเข็มขัดนิรภัยให้ลูกสาวของตัวเอง จากนั้นก็รีบเข้าไปกอดฉินสือโอว พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นอะไรไป ที่รัก คุณเป็นอะไรไปเหรอคะ?”
เขากอดวินนี่อย่างแรง พลางร้องไห้พร้อมพูดออกมาว่า “ที่รัก ผมไม่มีบ้านเกิดแล้ว!”
ด้วยคำพูดและท่าทางที่แสดงออกมา ปกติฉินสือโอวที่เป็นคนเจ้าเล่ห์นั้น เขารู้สึกว่าตราบใดที่คนเรายังไม่ตายก็จะยังมีทางเลือก เขารู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ เขาสามารถพาพ่อแม่ไปแคนาดาได้ หรือไม่ก็ให้พ่อแม่อยู่ที่บ้าน เขาก็มีเงินเพียงพอ ที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมดง่ายๆ ซึ่งนั่นทำให้เขามีทางเลือกมากขึ้น
แต่เมื่อสิ่งต่างๆ กำลังเกิดขึ้นจริงๆ เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น!
ไม่ว่าจะมีเงินหรืออำนาจมากแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีทางที่จะพอใจในชีวิตได้แน่นอน!
เขาพาพ่อแม่ไปยังเกาะแฟร์เวล นอกจากพ่อแม่จะไม่คุ้นเคยกับผู้คนแล้ว คนที่จะพูดคุยด้วยก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ทุกปีพวกเขาทำได้เพียงนั่งเบื่ออยู่ในบ้าน แล้วแบบนี้จะเรียกว่าการใช้ชีวิตเหรอ? ถ้าเขาอยู่ที่บ้าน แล้วฟาร์มปลาล่ะ? ขายทิ้งงั้นเหรอ? นั่นคือน้ำพักน้ำแรงของเขาที่เสียไปไม่รู้ตั้งเท่าไรเพื่อแลกมากับการทำกิจการแห่งนี้! เขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง จะให้ทิ้งมันไปได้อย่างไร?!
วินนี่ตบหลังเขาเบาๆ ราวกับปลอบใจเด็กอยู่ พลางพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไรนะ ทำไมคุณจะไม่มีบ้านเกิดล่ะ? คุณจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ ที่นี่คือบ้านเกิดของคุณ พ่อและแม่ยังรอคุณอยู่ที่นี่นะ ถ้าหากคุณถือว่าเกาะแฟร์เวลเป็นบ้านเกิดของคุณ ผ่านไปสักพัก พวกเราก็ค่อยพาพ่อแม่มาอยู่ที่นี่ด้วยดีไหมคะ? รอเสี่ยวฮุยปิดเทอมก่อน แล้วยังมีครอบครัวของพี่สาวอีก ให้พวกเขามาด้วยเลย ดีไหมคะ?”
ฉินสือโอวน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขารู้สึกเศร้าใจมาก ความเศร้าของเขาเกิดจากหลายๆ เหตุการณ์ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พ่อแม่ก็แก่ชราลง ความขัดแย้งระหว่างเรื่องงานและเรื่องครอบครัว เขาสูญเสียความรู้สึกปลอดภัยเมื่อเครื่องบินบินขึ้นสูงไปเรื่อยๆ…
เสี่ยวเถียนกวาที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมายังฉินสือโอว เมื่อเห็นน้ำตาของคนเป็นพ่อ เธอก็เอื้อมนิ้วอวบเล็กๆ ไปเช็ดหน้าฉินสือโอวพลางพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ปะป๊า โอ๋ๆ! โอ๋ๆ! กวากวา ไม่ร้อง!”
วินนี่หันมามองพร้อมกับสีหน้าโมโหใส่เธอ คิ้วทั้งสองข้างของเธอขมวดเข้าหากัน เธอทำหน้าดุใส่เถียนกวา เด็กหญิงตัวน้อยกลัวมากจนต้องเอามือมาปิดปากของตัวเอง แต่เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหญิงแล้ววินนี่ก็อดที่จะแอบยิ้มออกมาไม่ได้
วินนี่ยังคงกอดฉินสือโอว เธอยังคงเอ่ยปลอบใจเขาต่อไปว่า “คุณอยู่ในเส้นทางของธุรกิจอันยาวนาน อีกอย่าง คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเราต่างก็เป็นของคุณ ใช่ไหม? เรายังสามารถมีลูกเพิ่มได้อีกหนึ่งคน ไม่สิ ไม่ถูก ลูกหนึ่งคนไม่พอ สองคน สามคน ห้าคน หกคนเลย ดีไหมคะ?”
ฉินสือโอวรู้สึกเศร้ามาก เขาร้องไห้ออกมา “แม่ง น่าอายจริงๆ ที่รัก ผมต้องเป็นคนปลอบคุณไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นคุณที่ปลอบผมแล้วล่ะ?”
วินนี่หัวเราะออกมาเบาๆ “เพราะว่าตอนนี้ ฉันเป็นภรรยาของคุณน่ะสิ คุณเป็นสามีของฉัน สามีปลอบภรรยาไงละคะ?”
เมื่อได้รับคำปลอบโยน อารมณ์ของฉินสือโอวก็ค่อยๆ ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้อารมณ์ดีมาก แต่ก็ไม่ได้อยากร้องไห้ตีโพยตีพายออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้หลังจากที่เขาเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งนี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว โชคดีที่การร้องไห้ครั้งนี้เขาร้องออกมาจนหมด ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ร้องไห้เสร็จ
วินนี่กอดฉินสือโอวไว้ในอ้อมกอดตลอดเวลา ทำให้แอร์โฮสเตสอิจฉาพวกเขาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้พวกเธอยังคิดว่าวินนี่และฉินสือโอวนั้นแสดงความรักต่อกัน ไม่ได้คิดว่าวินนี่กำลังกอดปลอบใจฉินสือโอวผู้ที่กำลังอ่อนแอ
ยังโชคดีที่เถียนกวาที่มองดูฉินสือโอวร้องไห้อยู่ จู่ๆ ก็ไม่รู้สึกกลัวความสูง เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวหยุดร้องไห้แล้ว ก็ดูเหมือนจู่ๆ เธอก็จำได้ว่ากำลังอยู่บนอากาศ ทันใดนั้นเธอก็แหกปากร้องไห้เสียงดัง
ฉินสือโอวกอดวินนี่แน่นแสดงให้เถียนกวาเห็น เขายื่นมือออกไปลูบหน้าลูกสาวแล้วพูดออกมาว่า “โอ่ๆ โอ๋ๆ ปะป๊าไม่ร้องเลยเห็นไหม”
เสี่ยวเถียนกวาถูกเข็มขัดนิรภัยรัดไว้ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ เธอพยายามดิ้นร่างกายอันอุดมสมบูรณ์ของตัวเองอย่างหนัก พร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหน้าทำท่าอยากกอดวินนี่ เธอร้องไห้โวยวายออกมาเสียงดังว่า “มะม๊า มะม๊า กวากวาอยากกอด!”
วินนี่รู้สึกเบื่อหน่าย เธอผลักฉินสือโอวออกและเข้าไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อย แล้วพึมพำออกมาว่า “พวกคุณสองคนนี่นะ ไม่ช้าไม่เร็วฉันจะต้องโดนพวกคุณแย่งตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งแน่นอน! เอาล่ะ ไม่ร้องๆ มะม๊ามากอดหนูแล้ว หนูไม่กลัวแล้วใช่ไหมคะ?”
เสี่ยวเถียนกวาไม่สนใจ เธอยังคงดึงเสื้อผ้าและร้องไห้ต่อไป ฉินสือโอวทำได้เพียงทำหน้าตาตลกๆ ใส่เธอ และพยายามแกล้งเธอ ปรากฏว่าเสี่ยวเถียนกวายื่นมือออกไปตบใส่หน้าเขาเต็มๆ ออกไปนะ น่าเกลียดจะตาย!
……………………………