ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1599 ขายไม้พาโลซานโต
แฮมเล็ตตบไปที่บ่าของฉินสือโอว แล้วบอกว่าวิธีแก้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้แล้ว หนทางเดียวคือเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นคลินิก แต่ถ้าเขาคิดว่าไม่โอเค ก็คงต้องย้ายโรงพยาบาลออก ไม่ก็เขาออกเงินทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ไม่มีหนทางอื่นแล้ว
ฉินสือโอวให้เขาช่วยคิดหาวิธีในการเปลี่ยนลักษณะของคลินิก เพราะโอโดมไม่สามารถเป็นแพทย์ประจำครอบครัวได้ อย่างน้อยก็ควรจะจ่ายยาหรือให้น้ำเกลือได้ นอกจากนี้แล้วจะต้องเปิดแผนกทันตกรรมด้วย ไม่เช่นนั้นคลินิกแห่งนี้ก็เปล่าประโยชน์
ครั้งนี้ถึงคราวที่แฮมเล็ตจะกลอกตามองบนบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็รับปาก เพราะอย่างไรก็ตามฉินสือโอวก็เป็นผู้สนับสนุนการหาเสียงรายใหญ่ของเขา ซึ่งระยะเวลาในการหาเสียงครั้งถัดไปก็อีกไม่นานแล้ว
เมื่อพอจะแก้ปัญหานี้ได้คร่าวๆ ฉินสือโอวก็กลับไปที่ฟาร์มปลา ระหว่างทางนีลเซ็นถามบอสของเขาอย่างระมัดระวังว่าทำไมถึงไม่มีความสุข หรือเป็นเพราะเขาจะแต่งงานเลยไม่มีความสุขเหรอ?
ฉินสือโอวบอกว่าเขามีความสุข มีความสุขมาก นายรีบขอแต่งงานเลย หลังจากนั้นฟาร์มปลาจะได้จัดงานเลี้ยงฉลองงานแต่ง
“นับว่าเป็นการจัดเรื่องยินดีขจัดเรื่องร้ายละกัน” ฉินสือโอวคิดอย่างเบื่อหน่าย
เมื่อเอ่ยถึงงานแต่งงาน นีลเซ็นก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “โชคดีนะครับที่ผมทำงานกับบอส ไม่อย่างนั้นต่อให้หาเงินได้ก็เก็บไม่อยู่ หลายปีนี้ที่อยู่กับบอสมา ผมเก็บได้ 5 แสนดอลลาร์แคนาดา เลยไม่มีความกดดันที่จะจัดงานแต่งเลย”
ฉินสือโอวถามขึ้น “นายเก็บได้ 5 แสน?”
นีลเซ็นพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “ใช่ บอส ผมเก็บเงินเก่งใช่ไหมล่ะ?”
ถ้าฉินสือโอวไม่ได้อยู่บนเรือยอชต์ก็คงเกือบจะอัดเขาแล้ว เขาตะโกนเสียงดังว่า “แม่ง บ้านแกสิ นี่เรียกว่าเก็บเงินเหรอ? ปีหนึ่งฉันให้เงินเดือน โบนัสต่างๆ รวมๆ กันแล้วมากกว่า 5 แสนตั้งเยอะ นายเอาไปใช้ที่ไหนหมดฮะ?”
นีลเซ็นพูดด้วยความเสียใจ “นี่เก็บตั้งเยอะแล้วนะบอส ผมจะคำนวณให้ดู…”
หลังจากนั้นฉินสือโอวก็เริ่มฟังเขาคำนวณ อะไรก่อนมาฟาร์มปลาติดหนี้เขาอยู่ 1 แสน ช่วยเพื่อนอีกหลายหมื่น แล้วยังอะไรซื้อบ้านให้พ่ออยู่ตอนแก่ จ่ายเงินดาวน์ไปหลายแสนอีก…
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าตัวเองว่านีลเซ็นผิดไปหน่อย จึงพูดขึ้นว่า “เพื่อน นายทำได้ดีจริงๆ โอเค แต่งงานครั้งนี้เงินนายพอไหม? นายต้องซื้อบ้านหลังหนึ่งด้วยหรือเปล่า?”
ตอนนี้วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ประเทศจีน ที่แคนาดาก็มีปัญหานี้เช่นกัน วัยรุ่นไม่มีเงินซื้อบ้าน ผ่อนก็ไม่ไหว อย่ามองแค่ว่าพื้นที่ในแคนาดามีเยอะ ที่ดินว่างเปล่าก็มากมาย แต่ในเมืองใหญ่ก็มีพื้นที่อยู่แค่นั้น ทุกคนต่างย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเบียดเสียด แล้วยังมีผู้อพยพที่ย้ายเข้าไปอีกอย่างต่อเนื่อง ราคาบ้านจึงขึ้นสูงไปโดยปริยาย
ตามที่ฉินสือโอวรู้มา ราคาอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.2 -4.66 แสน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ลดลงมาแล้ว เพราะปีที่แล้วราคาเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.24-4.75 แสน ต่อบ้านทั้งหลัง
แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านในเมืองใหญ่ แล้วไปซื้อในเมืองเล็กหรือชนบทแทนก็จะสบายและผ่อนคลายขึ้นเยอะ เพราะการซื้อบ้านของตัวเอง เป็นเรื่องง่าย ยกเว้นแค่การเสียภาษีโรงเรือนในภายหลังที่เป็นเรื่องน่ากังวลใจ
นีลเซ็นยักไหล่ “ซื้อบ้าน? ทำไมต้องซื้อบ้าน? พวกเรายังวัยรุ่นอยู่ ซื้อตอนนี้ก็เร็วไปหน่อย”
ฉินสือโอวตอบว่า “แต่ลูกของพวกเธอกำลังจะคลอดแล้วนะ อีกอย่างนานไม่รู้สึกเหรอว่ามีบ้านถึงจะเป็นครอบครัว? นายต้องเป็นครอบครัวให้กับแพรีสนะ”
นีลเซ็นหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่ที่มีผมกับเขา ที่นั่นก็คือบ้าน”
ฉินสือโอวก็ยักไหล่แต่ไม่พูดอะไรต่อ เพราะคนละความคิดกัน ตอนนี้นีลเซ็นและแพรีสก็อยากจะใช้ช่วงที่ยังหนุ่มสาวใช้ชีวิตให้สนุกเต็มที่ ถ้าเป็นเรื่องซื้อบ้านหรือเรื่องเกษียณ รอหลังอายุ 40 ปีก่อนค่อยคิด
อย่างไรก็ตามเขาเป็นถึงพี่ใหญ่ ก็ต้องช่วยดูแลลูกน้องที่เป็นน้องชาย ฉินสือโอวจึงบอกว่าถ้าคิดจะซื้อบ้านให้บอกเขา ยืมเงินเขาไม่คิดดอกเบี้ย หรือจะสร้างบ้านวิลล่าสักหลังของตัวเองในฟาร์มปลาแกธเธอริงก็ได้ จะได้เป็นเพื่อนกับบูล
นีลเซ็นส่ายศีรษะ แล้วพูดว่า “พวกเราคงรอก่อนแหละครับ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะซื้อบ้าน ราคาบ้านสูงขนาดนี้ จนเกิดวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว เชื่อว่าราคาจะลดลงอีกแน่ๆ ในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า!”
ฉินสือโอวรู้เหตุผลว่าทำไมนีลเซ็นถึงไม่ซื้อบ้าน เพราะว่าเขาอยู่ตรงนี้ นีลเซ็นจึงไม่กล้าพูด เนื่องด้วยชาวจีนอพยพเข้ามามากจึงทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นมาก
สไตล์การใช้ชีวิตของคนจีนและคนแคนาดาต่างกันโดยสิ้นเชิง จากเมื่อกี้ก็พอดูออกแล้ว ฉินสือโอวอยากให้นีลเซ็นซื้อบ้าน แต่นีลเซ็นกลับคิดว่าซื้อบ้านแล้วกดดัน ต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าภาษีโรงเรือน แล้วยังมีค่าประกันต่างๆ อีก เงินเหล่านี้สู้เอาไปใช้สนุกกับชีวิตดีกว่า
เมื่อกี้ตอนที่พูดถึงการใช้เงิน 5 แสนไม่หยุด ในแผนของนีลเซ็นล้วนเป็นเรื่องอย่าง พาแพรีสไปดูการแข่งขัน ฟังโอเปร่า ดูคอนเสิร์ต ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เป็นต้น
เท่าที่ฉินสือโอวรู้ ชาวจีนฮั่นถือเป็นกลุ่มคนที่ทำงานหนักและอดทนที่สุด และมีความสามารถในการทนรับความลำบากได้มากที่สุด พวกเราไม่ต้องใช้ชีวิตให้สนุก ทำงานทุกวัน เลิกงานก็มาดูแลที่บ้านไม่เคยบ่นสักคำ แน่นอนว่าก็สามารถประหยัดเงินไปได้โดยปริยาย แล้วเงินที่เก็บก็สามารถมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ได้
ควบคู่ไปกับการเข้ามาของผู้อพยพที่ร่ำรวย ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ในแคนาดาก็พุ่งสูงขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นในประเทศการเก็งกำไรด้านอสังหาริมทรัพย์อาจจะดีกว่าสำหรับคนที่อยู่อาศัยมาก่อน บ้านเดิมที่พวกเขาอยู่จึงมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
แต่กรณีนี้ไม่ใช่สำหรับคนแคนาดา เพราะพวกเขาต้องจ่ายภาษีโรงเรือน ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องจ่ายก็อิงตามค่าบ้านโดยตรง เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งราคาที่อยู่อาศัยแพง พวกเขาก็ต้องจ่ายภาษีมากขึ้นเช่นกัน แต่เงินเดือนกลับน้อยเท่าเดิม จึงส่งผลให้ถ้าคุณภาพชีวิตไม่แย่ลง ก็คงจ่ายค่าภาษีไม่ไหว
ฉินสือโอวเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “นายก็คิดว่าเป็นเพราะชาวจีนอพยพมาจึงผลักให้ราคาบ้านสูงขึ้นใช่ไหม?”
นีลเซ็นยิ้มแบบกระอักกระอ่วน “ไม่ครับบอส เมืองเซนต์จอห์นไม่ได้มีผู้อพยพจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงของราคาบ้านไม่ได้เกี่ยวกับผู้อพยพเลย ผมกำลังรอให้ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์มันแตกอยู่จริงๆ ครับ”
ตอนนี้มีคำบอกกล่าวที่ว่า ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงไปอยู่ 35 ดอลลาร์และคงราคาอยู่แบบนั้น 5 ปี จะส่งผลให้อัตราการตกงานของคนแคนาดาสูงขึ้นถึง 12.5% ซึ่งอัตราการตกงานจำนวนนี้น่ากลัวมาก แค่บอกว่าแต่ละคนจะกินข้าวแต่ละมื้ออิ่มไหมก็ยากแล้ว จึงแน่นอนว่าไม่มีเงินไปซื้อบ้านที่อยู่อาศัย ราคาจึงลดลงอย่างรวดเร็วแน่นอน
หน่วยงานอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งคาดการณ์ว่า หากราคาน้ำมันยังลดลงในอีก 2 ปีข้างหน้า ราคาที่อยู่อาศัยในแคนาดาก็จะลดลงเช่นกัน
ขณะนี้ผู้คนส่วนมากในแคนาดาคิดจะซื้อบ้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ราคาน้ำมันลดลงไปแล้วถึง 50% ในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทพลังงานหลายแห่งรัดกุมการลงทุน ลดจำนวนพนักงาน แต่ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกว่าราคาที่อยู่อาศัยจะลดลง ในทางตรงกันข้ามทุกครั้งที่ดูข่าวเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในแคนาดา ราคาบ้านแทบทุกแห่งกำลังเพิ่มขึ้น
หลังจากที่เขากลับไปที่ฟาร์มปลา รอจนวินนี่เลิกงาน เขาก็เล่าเรื่องโรงพยาบาลในเมืองให้วินนี่ฟัง
หลังจากวินนี่ได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่จริงๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกเรายังไงก็ต้องแก้ปัญหาได้”
เมื่อเห็นว่าวินนี่ไม่ค่อยสนใจ ฉินสือโอวจึงยักไหล่แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
เบลคโทรหาเขา บอกว่าช่วยติดต่อคนซื้อไม้พาโลซานโตให้เขาได้แล้ว ถ้าหากเขายินดีที่จะขาย จะได้ทำเรื่องนัดไปดูของที่ฟาร์มปลาต้าฉินสองเลย
ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหา ไม้พาโลซานโตพวกนี้เขาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงคิดจะขายทิ้ง ไม้ที่หนาและยาวที่สุดถูกส่งไปบริษัทจัดประมูลริชชี่เพื่อประมูลในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ตอนที่เขากลับบ้านเมื่อเดือนก่อน ประมูลได้ราคาสูงถึง 5.4 ดอลลาร์แคนาดาต่อกรัม
…………………