ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1651 บอกให้คุณรู้ว่าผมโหดขนาดไหน
หลังจากได้ยินข้อเสนอของฉินสือโอว โอปุสก็นิ่งเงียบ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ พูดว่า “คุณฉิน คุณน่าจะรู้ว่า พวกเราต้องเสียสละอะไรมากมายขนาดไหนเพื่อที่จะสร้างแบรนด์ฮิลตันนี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหม?”
กับดักในการเจรจาธุรกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว ฉินสือโอวรู้ดีว่า ถ้าเขาตอบว่าเขาเข้าใจ ถ้าเช่นนั้นโอปุสก็จะพูดว่า ในเมื่อคุณเข้าใจ คุณก็ไม่ควรจะทำให้เพื่อนลำบากใจด้วยการมีความคิดแบบนี้ แต่ถ้าหากเขาบอกว่าไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นโอปุสก็จะบอกว่าแม้แต่สถานการณ์ของเราคุณยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะมาร่วมมือกันเพื่ออะไร?
ดังนั้นฉินสือโอวจึงเลี่ยงตอบคำถามสำคัญด้วยการตอบแบบอื่นแทน “การก่อตั้งแบรนด์แต่ละแบรนด์ขึ้นมา การสร้างครอบครัวแต่ละครอบครัวให้มีฐานะขึ้นมา แน่นอนว่าต้องเสียสละมากมาย ปัญหาอยู่ที่สิ่งที่คุณเสียไปมันคุ้มค่ากันไหม หากการเสียสละครั้งหนึ่งสามารถแลกกลับมาด้วยผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของตระกูลฮิลตัน ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงไม่เลือกที่จะทำแบบนี้ล่ะ?”
โอปุสยิ้มแล้วพูดว่า “คุณพูดได้มีเหตุผล พ่อหนุ่ม แต่ตอนนี้จุดที่ทำให้ผมลำบากใจก็คือ ผมไม่รู้ว่าถ้าร่างกายของฮิลตันรับส่วนที่เป็นคุณเข้ามาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองทางเคมีอย่างไร ถ้าหากว่ามันไม่ได้ผล หรือผลออกมาเท่าทุนล่ะ?”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ถ้าหากคุณอยากได้คำสัญญา ผมคงให้คำสัญญาอะไรไม่ได้ พระเจ้าได้กำหนดให้บางคนมีความคิดที่จะเสี่ยงเพื่อที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้จักมากขึ้น แต่พวกเขาก็สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ได้มากที่สุด ผมคิดว่าคุณโอปุสก็น่าจะเป็นคนแบบนี้ ใช่ไหมครับ?”
โอปุสจิบชาเขียวอย่างสบายๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขามองไปที่ทะเลสาบที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
สำหรับการเจรจาครั้งนี้ ฉินสือโอวต้องเอาชนะให้ได้ การขยายตัวของแบรนด์ต้าฉินเริ่มติดชะงัก ความเร็วในการตั้งร้านขายในเมืองใหญ่ทีละแห่งช้าเกินไป ต้นทุนสูงเกินไป และมีความเสี่ยงสูงเกินไป นอกจากนี้แล้ว ตอนนี้เขาต้องการช่องทางการเปลี่ยนถ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามปริมาณการผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มปลาอื่นๆ ของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ก็ต้องการผลิตอาหารทะเลคุณภาพระดับกลางที่เก็บเกี่ยวได้จากทะเลเช่นกัน
แต่โอปุสยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร อำนาจในการรุกก่อนยังอยู่ในมือเขา เบิร์ดช่วยโอปุสไว้ครั้งหนึ่งเป็นเครื่องต่อรองที่ดีที่สุดของเขา หากยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่สำคัญก็ยังใช้ไม่ได้
ในเวลานี้ฉินสือโอวรู้สึกว่าโอปุสต้องการแข่งขันกับเขาในเรื่องเวลาและความอดทน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว เพราะอย่างไรก็ตามเขามีเรื่องอื่นที่ยังทำได้
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในทะเลสาบเล็ก เขาแหย่ปลาตัวใหญ่ทีละตัวๆ ที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ พวกปลาน้ำจืดชั้นยอดเหล่านี้เมื่ออารมณ์เสียจะดุร้ายมาก เพียงแค่ได้รับสิ่งกระตุ้นเล็กน้อยก็จะบ้าคลั่งขึ้นมา หลังจากนั้นก็จะกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
โดยเฉพาะปลาดุกแม่น้ำไนล์ ปลากินเนื้อชนิดนี้จะกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำตลอดเวลาที่ตื่นเต้น เพียงเท่านี้ก็เริ่มมีการแสดงปลาตัวใหญ่โบยบินสนุกๆ ดูที่ทะเลสาบแล้ว โดยเฉพาะปลาดุกแม่น้ำไนล์และปลาไซบีเรียนไทเมนหลายตัว ไม่รู้ว่าตระกูลฮิลตันไปเอาปลาตัวใหญ่พวกนี้มาจากไหน น้ำหนักน่าจะเกิน 100 ปอนด์หมดทุกตัว
ปลาตัวใหญ่ที่กระโดดลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกระตุ้นโอปุสที่นั่งนิ่งราวกับภูเขาได้ เขามีงานอดิเรกในการตกปลา เนื่องจากฐานะครอบครัวและสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิต การตกปลาธรรมดาไม่สามารถตอบเขาได้ เขาคิดว่าเขาควรจะเอาชนะปลาที่ดุร้ายพวกนั้นได้ แต่เนื่องจากงานที่ถาโถม จึงทำให้เขาไม่มีเวลาออกทะเลไปตกฉลามที่ดุร้ายกว่านี้ได้ เขาจึงทำได้เพียงรวบรวมปลาน้ำจืดที่ดุร้ายจากทั่วทุกมุมโลกและเลี้ยงไว้ตกปลาเล่นในฟาร์ม
การผ่านเหตุการณ์เมื่อสักครู่มาได้แน่นอนว่าน่ากลัวมาก แต่สำหรับคนอย่างโอปุส การผจญภัยและการพิชิตนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ชั่วนิรันดร์ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถนำพาครอบครัวใหญ่อย่างฮิลตันไปสู่ความรุ่งเรืองได้ เมื่อเห็นปลาตัวใหญ่เหล่านี้กระโดดขึ้นจากน้ำ โอปุสก็เริ่มลืมเรื่องราวบทเรียนที่ผ่านมา เขาเริ่มนั่งไม่อยู่ ดวงตาของเขาวูบไหวเมื่อมองไปที่ปลาตัวใหญ่ที่กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำเหล่านั้น
ฉินสือโอวอาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นว่า “คุณโอปุส ปลาของคุณที่นี่ช่างดุร้ายเสียจริง หรือเป็นเพราะว่าเลือดเนื้อของปลาดุกเวลส์ยักษ์นั่นที่ไปกระตุ้นพวกปลาที่น่ากลัวพวกนี้? ผมคิดว่าเวลานี้ทางที่ดีที่สุดควรจะหาคนไปปลอบประโลมพวกมันสักหน่อย ไม่เช่นนั้นใต้น้ำคงมีเลือดออกมามากจนกลายเป็นแม่น้ำแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดโอปุสก็นั่งนิ่งไม่ได้ เขาออกไปหาคนให้อาหารสัตว์ ให้พวกเขาไปให้อาหารปลาพวกนี้ ปลาตัวใหญ่มองดูผิวเผินแล้วจะดุร้าย แต่จริงๆ แล้วยิ่งปลามีขนาดใหญ่จะยิ่งนิ่งเมื่ออยู่ในสภาวะปกติ หรือพูดได้ว่า เมื่อกินอิ่มแล้ว การโจมตีของปลาตัวใหญ่ที่ดุร้ายก็จะยิ่งถดถอย
เหตุผลในเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก การว่ายหรือขยับของปลาตัวใหญ่จะใช้พลังงานมากกว่า นอกจากนี้แล้วร่างกายที่มีขนาดใหญ่ของมันยังแสดงให้เห็นว่าตัวมันเป็นเป้าที่ชัดเจน ง่ายต่อการถูกล่าจากฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นพวกมันจะอยู่เงียบๆ ใกล้กับรังเมื่อไม่ได้อยู่ในสภาวะที่เป็นนักล่า
เมื่อโอปุสยืนขึ้นมา จะนั่งลงกลับไปเหมือนเดิมก็ไม่ง่ายแล้ว การแข่งความอดทนรอบนี้เขาแพ้แล้ว ไม่สามารถที่จะกลับไปรักษาความนิ่งขรึมไว้ได้ จึงทำได้เพียงเริ่มคุยกับฉินสือโอวขึ้นมา
ฉินสือโอวคุยเรื่องที่เขาสนใจก่อน จึงจงใจคุยเรื่องปลาตัวใหญ่ ถามเขาว่าในทะเลสาบมีปลาอะไรอยู่บ้าง
โอปุสแนะนำปลาขนาดใหญ่ที่ดุร้ายสิบกว่าชนิด ถึงแม้คำพูดจะดูสงวนท่าทีไว้ แต่ท่าทางและสายตาก็เก็บความหยิ่งผยองไว้ไม่มิด เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าเขารู้สึกภูมิใจมากกับการได้ครอบครองปลาตัวใหญ่ที่ดุร้ายมากมายเหล่านี้
ตอนที่เขาแนะนำปลาจระเข้ ฉินสือโอวรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว “คุณได้ดูข่าวของเดือนสิงหาคมเมื่อปีที่แล้วไหม มีคนจับปลาจระเข้ที่หนักถึง 400 ปอนด์ที่แม่น้ำแบรซัสในเท็กซัสได้? ”
ฉินสือโอวพยักหน้า “แน่นอนครับ นั่นเป็นเจ้าปลาที่ช่างดุร้ายจริงๆ มีขนาดใหญ่เท่ากับเรือเล็กลำหนึ่งเลยใช่ไหมครับ? ผมจำได้ว่าตาซ้ายของมันถูกแทงด้วยฉมวกจนใช้การไม่ได้? ใช่ปลาตัวนั้นไหมครับ?”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาก็แสดงสีหน้าที่ตกใจในเวลาที่เหมาะสม “โอ้ พระเจ้า คุณโอปุส ตอนนี้ปลาตัวนี้อยู่ในมือคุณแล้วใช่ไหม?”
แน่ล่ะว่าเขาไม่เคยสนใจข่าวพวกนี้หรอก ในทะเลมีปลาตัวใหญ่มากมาย เขาจะไปสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไปทำไมกัน? แต่ทว่าเมื่อมีจิตใต้สำนึกแห่งโพไซดอนเขาก็โกงได้ ปลาทุกตัวในทะเลสาบเขารู้จักเป็นอย่างดีหมด ปลาจระเข้ตัวใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งในทะเลสาบนั่นตาซ้ายเสียแล้ว อีกทั้งรอบๆ ดวงตายังมีรอยแผลเป็นของฉมวกทิ้งไว้อีกด้วย เพียงเท่านี้เขาผูกเรื่องเข้ากันหน่อยก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
คำตอบนี้ทำให้โอปุสพึงพอใจมาก การที่มีคนสนใจในสิ่งเดียวกับเรามักจะทำให้คนเรามีความสุข แล้วคำตอบของฉินสือโอวก็เหมาะพอดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ ยิ่งทำให้เขารู้สึกพอใจ
หัวหน้าตระกูลพยักหน้า “คุณเดาถูกต้องแล้ว เพื่อนผอง ไอ้เจ้าตัวดุร้ายนั่นตอนนี้อยู่ที่นี่กับผม ตาข้างหนึ่งของมันใช้การไม่ได้แล้วจึงทำให้มันเปลี่ยนเป็นโหดร้ายกว่าเก่า ผมจึงต้องส่งคนไปตามมันเพื่อให้อาหารโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นพอมันรู้สึกหิว มันสามารถทำให้ทะเลสาบนี้เกิดความวุ่นวายมหาศาลได้!”
ฉินสือโอวแสดงสีหน้าสงสัยในเวลาอันเหมาะสม “แค่ปลาจระเข้ตัวหนึ่ง ร้ายกาจได้ขนาดไหนกัน? ตามคำบอกเล่าของคุณ มีปลาดุร้ายขนาดใหญ่หลายร้อยตัวในทะเลสาบของคุณ และมีพันธุ์ที่คล้ายกันหลายชนิดในนั้น ฝูงหมาป่าน่าจะน่ากลัวกว่าหมีสีน้ำตาลใช่ไหมครับ?”
เมื่อเป็นเช่นนี้โอปุสก็เริ่มไม่พอใจดั่งคาด เขาพูดขึ้นว่า “คุณไม่เคยเจอมัน คุณไม่มีทางรู้หรอกว่ามันน่ากลัวขนาดไหน! มีครั้งหนึ่งคนให้อาหารของผมเกือบจะโดนมันลากลงไปในน้ำตอนที่มันโผล่ขึ้นมา ผมกล้าพนันเลยว่า ตอนนี้ไม่มีปลาน้ำจืดตัวไหนบนโลกใบนี้ที่ร้ายกาจกว่ามันแล้ว”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “อาจจะใช่ แต่ถ้าสำหรับปลาในทะเลแล้ว เจ้านี่ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึงด้วยซ้ำ โอ้ ขอโทษด้วยครับ คุณโอปุส ผมไม่ควรพูดเช่นนี้”
………………………………