ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1714 ยื้อ
เมื่อก่อนตอนฉินสือโอวยังทำงานที่เมืองไหเต่ามักต้องดูแลต้อนรับเจ้าหน้าที่ราชการเป็นประจำ ดังนั้นจึงเคยเห็นปลาเก๋าลายจุดมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นลายเสือ ลายดาวฟ้า หรือลายหนู แม้จะไม่เคยกินแต่ก็เคยเห็นมาก่อน
แต่ว่าปลาเก๋าลายจุดพวกนี้ตัวค่อนข้างเล็ก ตัวหนึ่งก็มีน้ำหนักแค่หนึ่งสองชั่งเท่านั้น แต่ปลาเก๋าลายจุดอเมริกาที่ซีมอนสเตอร์จับได้นั้น ตัวใหญ่มีน้ำหนักประมาณสิบกว่ากิโลกรัม ตัวเล็กก็มีน้ำหนักถึงสามสี่กิโลกรัม ตัวใหญ่ได้สะใจมาก
เขาตัดหัวตัดหางของปลาพวกนี้ออก หลังจากล้างทำความสะอาดเครื่องในแล้วก็ได้เผยให้เห็นถึงเนื้อสีขาวออกชมพูออกมา จากนั้นก็หั่นออกเป็นชิ้นๆ ใส่หอมขิงกระเทียมลงไปในหม้อ แล้วก็ใส่เหล้าขาวลงในน้ำอีกนิดหน่อย ของใช้ประจำวันที่เตรียมไว้ที่ฟาร์มปลานี้มีไม่มาก ไม่มีเหล้าสำหรับทำอาหาร จึงต้องใช้เหล้าขาวแทน
จากนั้น เขาก็เอาเนื้อปลาไปนึ่งในหม้อ บูลที่อยู่ข้างๆ มองดูแล้วก็หัวเราะร่าออกมา พูดว่า “กัปตันนี่หาทางลัดเก่งจริงๆ เลยครับ นี่น่ะง่ายกว่าการย่างปลาอีกนะครับ”
การทำปลานึ่งใช่ว่านำปลาไปนึ่งก็เสร็จแล้ว จุดที่สำคัญคือต้องราดน้ำปรุงรสลงไปด้วย ฉินสือโอวทำน้ำปรุงรสโดยใช้น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วและน้ำมันถั่วลิสงที่ต้มจนร้อน รอจนไอน้ำเดือดออกมาจากหม้อแล้ว ก็เปิดฝาหม้อนำปลาออกมาราดน้ำปรุงรสลงไป เท่านี้อาหารจานนี้ก็เสร็จแล้ว
เหล่าชาวประมงข้างนอกยังคงนำปลาใหญ่หนึ่งตัวมาหั่นชิ้นแล้วไปย่างเหมือนเดิม สำหรับพวกเขาแล้ว กินข้าวจะต้องดื่มเบียร์ด้วย และการดื่มเบียร์จะไม่มีของปิ้งย่างได้อย่างไร
ปลานึ่งออกหม้อมา บูลสูดจมูกไปมาแล้วหัวเราะเหอๆ พร้อมพูดว่า “กลิ่นนี่ไม่เลวเลยครับ กัปตัน ไม่เสียแรงที่คุณเป็นถึงผู้ชายที่อยู่ระดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหารนะครับ แม้แต่ก้อนหินถ้าอยู่ในมือคุณ คุณก็สามารถเอามาทำอาหารได้ด้วยใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวก็หัวเราะด้วย ชี้ไปที่เรือที่อยู่ด้านนอกแล้วพูดว่า “นายว่างจนปวดไข่แล้วใช่ไหม? ฉันเห็นพวกนายเก็บพืชทะเลมาได้ด้วยนี่ ไป ไปจัดการให้ที เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้พวกนายอีกสองจาน”
ตอนที่เขาซื้อเมล็ดพันธุ์ของสาหร่ายทะเลและพืชน้ำมา ต้องมีพวกเมล็ดพันธุ์ของผักปนมาด้วยอยู่แล้ว พวกมันก็ได้เติบโตที่นี่ด้วยเหมือนกัน เมื่อเหล่าชาวประมงไปเก็บเกี่ยวสาหร่ายจึงเก็บพวกมันขึ้นมาด้วย
เมื่อกี้ฉินสือโอวเห็นว่ามีสาหร่ายจีฉ่าย รังนกทะเล สาหร่ายวากาเมะและพวกสาหร่ายโนริจำนวนไม่น้อยเลย ของพวกนี้ล้างทำความสะอาดง่าย หลังจากใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูแล้วใช้พริกมายำก็สามารถได้กับข้าวที่อร่อยมากจานหนึ่งแล้ว
หน้าร้อนอากาศอบอ้าว เป็นเวลาที่เหมาะจะกินผักแบบเย็นๆ พอดี
แน่นอนว่าบูลรู้จักผักทะเลพวกนี้ดี แถมเขายังเด็ดผักเป็นอีกด้วย เขาเด็ดออกมาแต่ส่วนที่อ่อนที่สุด หลังจากล้างน้ำเสร็จแล้ว ที่เป็นสีเขียวก็เขียวขจี ที่เป็นสีขาวก็ขาวจนใส มองไปแล้วดูอ่อนสดทำให้คนมีความอยากอาหารได้มากเลย
ฉินสือโอวหั่นลงไปทีหนึ่ง จากนั้นก็นำมายำแบ่งใส่ชามหลายๆ ใบแล้วก็ยกออกไป
เหล่าชาวประมงที่อยู่ข้างนอกได้มือถือขวดเบียร์แล้วเริ่มดื่มกันขึ้นมาแล้ว แต่ว่าไม่มีใครเริ่มกินอาหาร เจ้าพวกนี้ก็โหดแบบนี้แหละ แม้ไม่มีกับแกล้มก็ยังดื่มเบียร์อย่างออกรสออกชาติได้
ฉินสือโอวถูกชาวประมงพวกนี้ทำให้เป็นคนขี้เหล้าไปแล้ว พอเห็นเจ้าพวกนี้ถือขวดเบียร์ดื่มไปพลางคุยโวกันไปพลางแล้ว เขาก็เข้าไปขอมาขวดหนึ่ง แล้วก็นั่งลงข้างๆ มองพวกเขาคุยโวกันด้วยรอยยิ้ม
หลังจากทำความรู้จักกันมากว่าหนึ่งปี ภาษาอังกฤษของพวกเกิงจุนเจี๋ยดีจนสามารถคุยได้คล่องแล้ว ตอนนี้พวกเขาดื่มเบียร์ไปพลางคุยโม้กันไปพลาง คุมพวกชาวประมงได้อยู่หมัด แล้วก็โม้ต่อเสียใหญ่โต
เรื่องที่พวกเขาพูดก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ในการร่วมต่อต้านการก่อการร้าย จับยาเสพติด และการเป็นทหารทั้งหลาย เหล่าชาวประมงฟังกันด้วยท่าทีอึ้งไปตามๆ กัน ส่วนฉินสือโอวก็แอบยิ้มๆ ตอนที่รับสมัครเขาเคยถามคนพวกนี้แล้ว โอกาสในการเหนี่ยวปืนของพวกเขาตอนยังอยู่ในกองทหารนั้นน้อยเสียจนนับนิ้วได้ ต่อต้านการก่อการร้ายกับจับยาเสพติดอะไรกัน
ปลาย่างได้ที่พอประมาณแล้ว ฉินสือโอวจึงบอกให้ทุกคนกินข้าวกันได้ ซีมอนสเตอร์นึกว่ายำผักเป็นสลัดผัก จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “วันนี้มีของหวานก่อนอาหารด้วยเหรอครับ?”
พูดเสร็จเขาก็คีบสาหร่ายวากาเมะมาจำนวนหนึ่ง จานนี้ยำโดยใช้น้ำมันพริก พอเข้าปากแล้ว เขาก็อดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ว่า “เผ็ดสะใจ!”
เกิงจุนเจี๋ยใช้ภาษาอังกฤษพูดเล่นกับซีมอนสเตอร์ว่า “นี่ถือว่าเผ็ดเหรอ ฉันจะเล่าให้นายฟังนะ ที่ประเทศจีนของพวกฉันมีเผ็ดสี่แบบ แบบแรกคือเผ็ดกลัวไหม แบบที่สองคือไม่กลัวเผ็ด แบบที่สามคือเผ็ดไม่กลัว แบบที่สี่คือกลัวไม่เผ็ด นายคิดว่านายอยู่ในระดับไหน?”
ฉินสือโอวพูดแทรกมาว่า “เกิง ภาษาอังกฤษนายไม่เลวเลยนี่นา ไอ้คำพูดแบบนี้นายยังสามารถแปลออกมาได้อีก”
เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะเหอๆ ออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออกจะภูมิใจนิดหนึ่งว่า “ต่อไปถ้าวีซ่าทำงานผมหมดแล้วกลับประเทศไป หากหางานทำไม่ได้ก็จะไปสอนพิเศษภาษาอังกฤษ ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ”
พูดถึงเรื่องวีซ่าการทำงาน ฉินสือโอวถามพวกเขาว่าใกล้จะครบกำหนดแล้วใช่ไหม จากนั้นก็ถามความคิดเห็นพวกเขา ว่าจะทำอะไรหลังจากครบกำหนดแล้ว
เขาไม่อยากปล่อยคนพวกนี้ไป เพราะว่าการฝึกชาวประมงที่ได้มาตรฐานทีหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย พวกของเกิงจุนเจี๋ยทั้งซื่อสัตย์และยังทนความลำบากได้อีก พวกเขามักจะทำงานล่วงเวลาที่ฟาร์มปลากันเป็นประจำ ออกทะเลกับพวกซีมอนสเตอร์แต่เช้ามืดกลับมาดึกก็ไม่เคยบ่นอะไรด้วย
แต่ว่า เขารู้สึกว่าถ้าครบกำหนดแล้วจะต้องมีคนอยากจะออกแน่นอน อย่างไรเสียการมาทำงานต่างประเทศแล้วจากบ้านเกิดมานั้น ได้เจอพ่อแม่ภรรยากับลูกแค่ปีละไม่ถึงครั้งสองครั้ง ที่บ้านเกิดปัญหาอะไรก็ไม่สามารถไปจัดการได้ พอหาเงินได้ก้อนหนึ่งแล้วก็กลับไปทำธุรกิจที่บ้านน่าจะดีกว่า
เกิงจุนเจี๋ยดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่งแล้วพูดว่า “บอสครับ พวกผมสามารถมาทำงานกับคุณได้เนี่ย ก็ถือว่ามีบุญแล้วครับ ความจริงพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คุณลองดูได้ไหมครับว่าสามารถต่อเวลาได้อีกหรือเปล่า พวกผมอยากจะทำงานกับคุณที่นี่อีกสักสองปีครับ”
คนอื่นๆ ก็พยักหน้า พูดว่า “ใช่ๆ พวกผมอยากจะทำงานที่นี่ต่ออีกสักสองปีครับ”
การมาทำงานที่ฟาร์มปลาหาเงินได้มากจริงๆ ปีหนึ่งพวกเขาสามารถหาเงินได้อย่างน้อยก็หกเจ็ดแสน
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ ฉินสือโอวก็ดีใจขึ้นมา ดูท่าว่าวิธีการบริหารของเขาไม่เลวเลย คนเหล่านี้ถึงได้มีความรู้สึกว่าฟาร์มปลาเป็นบ้านแบบนี้
การจะต่ออายุการทำงานไม่มีปัญหา เขาดื่มเบียร์แล้วก็พูดว่า “อย่างนี้ดีไหม ฟาร์มปลายุ่งขนาดนี้ พวกนายเองก็ไม่มีโอกาสหยุดงานกลับบ้านสักที งั้นไปรับคนในครอบครัวมา พ่อแม่ ภรรยาลูก ทั้งค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายในแคนาดาฟาร์มปลาจะเป็นคนออกเอง”
คนสิบคนเท่ากับสิบครอบครัว ใช้เงินไม่เท่าไรหรอก แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วไม่ถือว่าเป็นเงินเยอะ การมาครั้งหนึ่งอย่างน้อยๆ หนึ่งครอบครัวก็ต้องใช้เงินหลายหมื่นเหรียญหรืออาจจะมากกว่า สำหรับเหล่าชาวประมงแล้วถือว่าเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักทีเดียว
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหาเงินได้ไม่น้อย แต่การท่องเที่ยวของคนในครอบครัวครั้งละแสนนี้ สำหรับพวกเขาแล้วก็ยังถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองอยู่ เงินนี้คือเงินที่แลกมาด้วยกำลังและความโดดเดี่ยวความเหงาที่ต้องจากครอบครัวมาเลยเชียวนี่นา แม้จะใช้น้อยกว่านี้ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดี
เมื่อได้ฟังคำของฉินสือโอวแล้ว พวกของเกิงจุนเจี๋ยสิบคนก็ดีใจกันขึ้นมาทันที พวกเขารีบยกขวดเบียร์ขึ้นมา แล้วพากันพูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “มาๆๆ บอส ชนกันๆ พวกเราชนแก้วกัน!”
ฉินสือโอวดื่มเบียร์ที่เหลืออยู่ครึ่งขวดจนหมดเรอออกมาที จากนั้นก็ชิมปลาเก๋าลายจุดอเมริกานึ่ง เนื้อของปลาชนิดนี้จะหยาบกว่าเนื้อของปลาเก๋านิดหน่อย ความรู้สึกจะคล้ายกับเนื้อไก่ แต่ว่ามีความหอมแบบทะเลอยู่ จิ้มกับน้ำราดแล้วกินก็ยังคงรสเลิศมากมาย
พวกของบูลชิมแล้วก็พากันพยักหน้า แต่ว่าคนส่วนมากก็ยังกินปลาย่างอยู่ดี สำหรับพวกเขาแล้วการปิ้งย่างนี่แหละคือความต้องกาของชีวิต
ฉินสือโอวส่ายหัว นึกถึงคลิปหนึ่งในอินเทอร์เน็ต จึงพูดกับพวกชาวประมงว่า “สำหรับพวกนายแล้ว ไม่มีมื้อไหนที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยปิ้งย่างใช่ไหม?”
พวกของบูลรู้สึกงง พูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่นะครับ”
ฉินสือโอวพูดต่อว่า “อ้อ ถ้ามีแล้วล่ะก็ สามารถจัดการได้ในสองมื้อล่ะสิ?”
เหล่าชาวประมงคิดกันสักพักแล้วพยักหน้า พูดว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็สามารถจัดการแบบนั้นได้ครับ”
………………………………