ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1812 กลับมารวมตัวกันกินทังหยวน
หลังจากฉินสือโอวกลับมาที่ฟาร์มปลาสัปดาห์ที่สอง ปลายเดือนมกราคม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศจีนเริ่มหยุดกันแล้ว หลังจากเสี่ยวฮุยมีเวลา พี่สาวกับพี่เขยก็จะจองตั๋วเครื่องบินบินมาที่นครเซนต์จอห์น
เดิมทีตามความคิดของเขาคือจ้างเที่ยวบินพิเศษมา แต่พี่สาวกับพี่เขยรู้สึกว่าไม่จำเป็น พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวก็ดุเขาว่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ดังนั้นก็เลยต้องจองตั๋วเครื่องบินและบินมาจากปักกิ่ง
ฉินสือโอวอยากซื้อเครื่องบินลำใหญ่มาโดยตลอด มันคือสัญลักษณ์ของฐานะกับสถานะ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอีกด้วย เพื่อความมั่งคั่งและสถานะของเขา บอมบาร์เดียร์จะมอบเครื่องบินสุดหรูที่สั่งทำให้กับเขา สำหรับเรื่องนี้ วินนี่คัดค้าน พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อของชิ้นนี้ ทั้งครอบครัวออกไปเที่ยวกันน้อยมาก ส่วนใหญ่ทุกคนก็อยู่บ้านที่ฟาร์มปลา การซื้อเครื่องบินจึงเป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยสิ้นเชิง
โดยพื้นฐานแล้ว ท่านชายฉินก็เป็นเด็กดีที่ประหยัด และเขาก็รู้สึกว่าการซื้อเครื่องบินส่วนตัวมันไม่จำเป็น ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องเดินทางไกล เขาก็สามารถเช่าเครื่องบินลำใหญ่ผ่านทางบริษัทเอ็กซ์เพรสได้ แบบนั้นจะประหยัดเงินมากกว่า
รวมเวลาแล้ว เมื่อครอบครัวของพี่สาวใกล้จะมาถึงนครเซนต์จอห์น ฉินสือโอวก็พาเถียนกวานั่งเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่ไปรับ
เมื่อเหยียบจุด พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยก็เดินลากกระเป๋าเดินทางออกมา เสี่ยวฮุยก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาเหมือนกัน เขาสวมเสื้อยีน ที่คอมีผ้าพันคอผืนเล็กพันไว้ แล้วก็สวมหมวกเบสบอลไว้บนหัว ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งกายของเด็กชายตัวน้อย เขายืนห่างออกไปไกลมากและโบกมือให้ฉินสือโอวอย่างตื่นเต้น “น้าๆ พวกเราอยู่ตรงนี้! ”
หลังจากไม่ได้เจอกันหนึ่งปี เสี่ยวฮุยเปลี่ยนไปมาก สูงขึ้นนิดหน่อยแล้วก็ดูแข็งแรงขึ้น ผมสีดำสนิท หน้าตาหล่อเหลา เขาต้องได้รับประโยชน์จากอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยพลังแห่งโพไซดอนที่ฉินสือโอวมักจะส่งไปให้ตลอดแน่นอน
ฉินสือโอวเดินไปอุ้มเขาหมุนรอบหนึ่ง และหัวเราะฮ่าๆ “โห ทำไมหลานน้าตัวหนักขนาดนี้แล้วล่ะ? แม่หลานป้อนอาหารหมูให้หลานกินที่บ้านทุกวันใช่ไหม? เหมือนกับที่เลี้ยงหมูตัวเล็กๆ โตเร็วมาก”
เสี่ยวฮุยที่กำลังมีความสุขได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึงทันที เขาพูดเสียงอ่อนว่า “น้าครับ ผมกินเนื้อหมูถึงโตเร็ว ผมไม่ได้กินอาหารหมู”
พี่สาวของฉินสือโอวมองฉินสือโอวอย่างโกรธเคือง “แกเนี่ย ไม่สามารถสร้างความประทับใจดีๆ ให้หลานของแกได้เลย พูดดีๆ น่ะได้ไหม? เป็นตัวอย่างให้หลานของแกน่ะได้ไหม?”
ฉินสือโอวยิ้ม “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มานี่สิ เถียนกวา บอกทุกคนสิ หนูคือใครเอ่ย?”
ครอบครัวของเขามักจะวิดีโอคุยกัน ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงคุ้นเคยกับพี่สาวของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ปากเล็กๆ ขยับและพูดเสียงหวาน “คุณป้า คุณลุง พี่เสี่ยว หนูชื่อเถียนกวา พวกคุณยังจำหนูได้ไหมคะ?”
พี่สาวของฉินสือโอวชอบเถียนกวามาก เด็กหญิงตัวน้อยดูนุ่มนิ่ม และน่ารักน่าชัง เธออุ้มเถียนกวาขึ้นมาหอมแก้มอย่างแรงไปหนึ่งที และพูดด้วยรอยยิ้ม “จำเถียนกวาได้แน่นอน เถียนกวาน่ารักขนาดนี้สวยขนาดนี้ ใครเห็นแล้วจะลืมได้กันล่ะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยยิ้ม และปืนขึ้นไปบนเสา “งั้นคุณป้าเอาของขวัญอะไรมาให้เถียนกวาเหรอคะ?”
เสี่ยวฮุยใช้นิ้วเกาจมูกล้อเลียนเธอ “น้องสาวหน้าไม่อายจริงๆ ทำไมเธอไม่มีมารยาทแบบนี้ เธอไม่สามารถขอของขวัญต่อหน้าได้”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่สนใจ เธอเผยรอยยิ้มหวานออกมาและทำตัวน่ารัก “หนูยังไม่ประสีประสา หนูยังเด็กอยู่เลย คุณแม่บอกว่า ถ้าเด็กๆ ทำผิด พระเจ้าก็จะให้อภัย”
พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก “ไอ๊หยาเสี่ยวโอว ลูกสาวแกไม่ธรรมดาจริงๆ เด็กอายุแค่ 2 ขวบกว่าพูดคล่องขนาดนี้ และยังสามารถพูดคำพูดของคนอื่นได้อีก”
ฉินสือโอวตบที่หน้าอกและพูดอย่างภาคภูมิใจ “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกพี่ไม่เห็นเหรอว่าใครสอนลูกสาว”
เพราะอายุต่างกัน พี่สาวของฉินสือโอวจึงข่มน้องชายอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครั้งนี้เมื่อเห็นเขาทำตัวเสแสร้งก็ไม่พอใจทันที และหันไปถามเด็กหญิงตัวน้อย “เถียนกวา ปกติใครดูทีวี อ่านหนังสือ และพูดคุยกับหนูเหรอคะ?”
ฉินสือโอวลูบจมูกและไอออกมา แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ไว้หน้าเขา และพูดอย่างแข็งขัน “อ้วนใหญ่กับอ้วนเล็กเล่นกับเถียนกวา พี่น้องเฟอเรทก็เล่นกับเถียนกวาเหมือนกัน บางครั้งหู่จือ เป้าจือกับซิมบ้าก็มาเล่นกับหนู ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่จะเล่นกันเอง ไม่เล่นกับเถียนกวาเลย!”
คนกลุ่มหนึ่งพูดไม่ออก พี่สาวของฉินสือโอวถามอย่างระมัดระวัง “อ้วนใหญ่กับอ้วนเล็กคือใครอีก? ฟาร์มปลาของแกเพิ่มสัตว์เลี้ยงตัวใหม่อะไรมาอีก?”
ฉินสือโอวยิ้มแห้ง “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงตัวใหม่อะไรหรอก ฟาร์มปลามีฝูงแมวน้ำกรีนแลนด์ สิ่งที่เธอพูดถึงก็คือแมวน้ำ 2 ตัว มันคือเพื่อนตัวน้อยหรือสมุนที่แข็งขันที่สุดของเธอ”
เดิมทีการรับเลี้ยงหมีขั้วโลกอย่างฉงเอ้อ เขากับวินนี่ก็หวังว่าจะสามารถเพิ่มเพื่อนให้กับเถียนกวาได้ หนึ่งคนหนึ่งหมีเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเด็กและเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งมันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีช่วงหนึ่งในกระบวนการการเจริญเติบโตของเด็กหญิงแน่นอน ผลคือเด็กหญิงตัวน้อยกับหมีขั้วโลกไม่ถูกกัน ถ้าเจอกันจะสู้กันแน่นอน และก็ยังสู้กันมาตลอดจนถึงตอนนี้ ซึ่งก็ทำให้คู่สามีภรรยาเศร้าใจอย่างมากเช่นกัน
ขณะที่คุยกัน ฉินสือโอวก็พาพวกเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เสี่ยวฮุยเต็มไปด้วยความสนใจในเฮลิคอปเตอร์สุดหรูลำนี้ หลังจากขึ้นไปก็มองซ้ายมองขวา แตะบนแตะล่าง ท่าทางตื่นเต้นมาก
เบิร์ดดึงคันบังคับเครื่องบิน ปีกของเฮลิคอปเตอร์หมุนเสียงดังฟึ่บๆ นอกห้องโดยสารมีลดพัดมาจากทุกทิศทางอย่างรุนแรง ลำตัวของเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ส่ายไปมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มบินขึ้นฟ้า เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น ลำตัวของเฮลิคอปเตอร์ก็เสถียรขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็บินอยู่บนฟ้าไปตลอดทาง และบินไปทางเกาะแฟร์เวล
เสี่ยวฮุยเอนตัวอยู่ด้านหลังที่นั่งคนขับและมองไปทางที่นั่งคนขับอย่างเคลิบเคลิ้มผ่านกระจกกันกระสุน ฉินสือโอวหยอกล้อ “หลานชาย นายมองอะไรถึงเคลิบเคลิ้มขนาดนี้? อนาคตอยากเป็นนักบินเหรอ?
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เสี่ยวฮุยก็ส่ายหน้าอย่างเหยียดหยาม “ผมไม่เป็นคนขับเครื่องบินหรอก ผมจะเป็นทหารอากาศ ผมจะขับเครื่องบินทิ้งระเบิด!”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายคนนี้กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมต้นแล้ว ทำไมถึงยังไร้เดียงสาขนาดนี้? เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เด็กวัยรุ่น 4 คนในบ้านหลังนั้นก็เหมือนจะเข้าเรียนเร็วเกินไปนิดหน่อย เสี่ยวฮุยเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมต้น ในบรรดาพวกเขาคนที่เด็กที่สุดก็ขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว
เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน แคนาดาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของนักเรียนมาก ในโรงเรียน สุขภาพจิตของนักเรียนยังสำคัญกว่าผลการเรียนเสียอีก พาวลิสกับอีก 4 คนเข้าเรียนช้า ตอนที่อายุของพวกเขาถึงชั้นมัธยมปลาย ผลคือพวกเขายังอยู่โรงเรียนประถม นั่นส่งผลต่อศักดิ์ศรีและความมั่นใจของพวกเขามาก แต่การเรียนการสอนของแคนาดา สิ่งนี้สำคัญกว่าความรู้ที่ได้เรียน
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็กำลังรออยู่ พี่สาวของฉินสือโอวและคนอื่นลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ พ่อของฉินสือโอวยื่นมือไปลูบหัวของเสี่ยวฮุยและถามเขาว่าผลการสอบปลายภาคเป็นอย่างไรบ้าง สีหน้าของเสี่ยวฮุยก็หมองลงทันที
ฉินสือโอวจัดห้องให้ครอบครัวของพี่สาวเพื่อพักผ่อนแล้ว คนเยอะเกินไป พวกเขาจึงพักอยู่ที่วิลล่าของฟาร์มปลาไม่ได้ ฉินสือโอวก็เลยจัดให้พวกเขาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชาวประมง ซึ่งสภาพย่ำแย่นิดหน่อย แต่พวกเขาก็กลับไปแค่นอนพัก เวลาอื่นก็อยู่ในวิลล่า
เมื่อครอบครัวมารวมตัวกันแล้ว ฉินสือโอวก็เสนอให้กินทังหยวน อาหารประเภทนี้สำหรับคนจีนไม่มีความหมายอะไร นอกจากการกลับมาพบกันใหม่
ทุกคนบอกว่าโอเค เขาไปซูเปอร์มาร์เก็ตและเดินดูรอบๆ เมืองนี้ไม่มีทังหยวนขาย อันที่จริงคนที่อยู่ในเมืองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือทังหยวน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของคนจีนในนครเซนต์จอห์น แต่ฉินสือโอวเห็นว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตมีแป้งข้าวเหนียวกับเมล็ดงา เมล็ดถั่วลิสงช็อกโกแลตและของอื่นๆ เขาแค่ซื้อและกลับไปห่อเอง คนก็เยอะเร็วอยู่แล้ว
………………………………