ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1832 แผงลอยของไม่ใช้แล้ว
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ทำให้การส่งมอบทำได้เร็วมาก ทางฝั่งฉินสือโอวไม่ขาดแคลนเงิน ทางฝั่งเจ้าของก็อยากรีบปล่อยของ ทั้งสองฝ่ายจึงเข้าขากันได้ในทันที ฉินสือโอวยกเรื่องการโอนบ้านให้กับเออร์บัก ส่วนเขาก็ไปเก็บกวาดบ้าน
จุดที่เขาชอบในบ้านหลังนี้ ก็คือสไตล์การตกแต่งภายในที่ทั้งหรูหราแต่ก็เรียบง่าย วินนี่ชอบสไตล์แบบนี้ สามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องตกแต่งใหม่
ดังนั้น บ้านหลังนี้สามารถถือกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย ขอแค่เปลี่ยนผ้าห่มกับเครื่องครัวก็ได้แล้ว
จงต้าจวิ้นกับเหมาเหว่ยหลงช่วยฉินสือโอวเก็บกวาดบ้าน ชาวประมงทั้งกลุ่มก็มาช่วยด้วย ทำให้งานเก็บกวาดทั้งง่ายและเร็ว จุดสำคัญคือทำความสะอาด เอาของที่ไม่มีประโยชน์กับไม่ได้ใช้ไปวางไว้หน้าประตู
ตึกนี้ไม่ใช่เขตที่อยู่อาศัยแบบล้อมกำแพงขึ้นมา แต่เป็นอพาร์ทเม้นท์แบบตั้งเดี่ยว หน้าประตูเป็นถนน แต่ไม่ใช่ถนนหลัก ทำให้เสียงดัง ถือว่าเป็นการหาความสงบจากความวุ่นวายได้เลย
ฉินสือโอวนำผ้าห่มมาพับแล้วก็ใส่เข้าไปในกล่อง ติดโน้ตกระดาษไว้ด้านบน ราคาผ้าห่มสุญญากาศอยู่ที่สิบดอลลาร์แคนาดา จึงเขียนไว้ว่า “ผ้าห่มสะอาดหมดจด จำนวนการใช้น้อย”
นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องครัวที่มองดูแล้วยังใหม่อยู่ ก็ถูกเขาห่อแล้ววางไว้หน้าประตู ราคาที่เขียนติดไว้บนกระดาษก็ถูกมาก ของที่แพงที่สุดคือเครื่องอบมัลติฟังก์ชั่นแต่ก็ราคาเพียงแค่ห้าสิบเหรียญเท่านั้น เพราะถ้าเกิดเป็นของใหม่เลย อย่างน้อยๆก็ต้องราคาหนึ่งพันเหรียญ
จงต้าจวิ้นถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมไม่ขายเป็นมือสองไปล่ะ? นายเอามาขายราคาถูกแบบนี้ สู้เอาไปทิ้งขยะเสียดีกว่า”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่ก็คือขายมือสองแหละ ถ้านายอยากจะหาร้านที่รับเฉพาะแต่ของมือสองแล้วล่ะก็ ขอโทษด้วย เซนต์จอห์นไม่มี ต้องเป็นเมืองใหญ่อย่างโทรอนโตเท่านั้นถึงจะมี วางของมือสองพวกนี้ไว้หน้าประตู กำจัดโดยขายราคาถูก หลักๆ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่มีรายได้ต่ำ พอพวกเขาเจอที่ถูกใจแล้วจะได้ซื้อกลับไปใช้”
เหมาเหว่ยหลงก็อธิบายให้เขาฟังว่า “คนแคนาดาไม่เหมือนกับคนจีนอย่างพวกเรา บางครั้งก็ไม่เอาหน้า แต่บางครั้งก็เอาหน้ายิ่งกว่าเป็นสองเท่า ในด้านของใช้มือสอง นอกจากว่าจะจำเป็นจริงๆ ไม่อย่างนั้นปกติพวกเขาจะซื้อของใหม่ ไม่มีแนวคิดในการใช้ชีวิตแบบประหยัดเงิน คนพวกนี้เป็นพวกแบบไหนสิ้นเปลืองก็จะทำแบบนั้น”
ของใช้ในชีวิตประจำวันที่ไม่ใช้แล้วสำหรับคนแคนาดาแล้ว จัดการค่อนข้างลำบาก ถ้าหากเอาให้รัฐบาลจัดการ ยังต้องเสียเงินอีก เป็นค่าจัดการของเสีย ดังนั้นโดยทั่วไปจึงวางขายกันหน้าประตู หนึ่งคือหารายได้ สองคืออำนวยความสะดวกให้คนที่ต้องการ สามคือประหยัดเงิน
ถ้าเกิดว่าสุดท้ายไม่มีคนซื้อ ปกติแล้วจะส่งไปให้ร้านค้าที่แนะนำโดยสถานการกุศล พวกเขาจะเลือกอันที่คิดว่ามีประโยชน์มาขาย เงินที่ได้จากการขายออกไปในราคาถูกก็จะนำมาใช้กับงานการกุศล
ของที่ฉินสือโอววางออกมา โดยมากเป็นของดีทั้งนั้น พวกผ้าห่มล้วนใหม่เหมือนเพิ่งซื้อ จากคำพูดของเจ้าของบอกว่ายังไม่เคยมีคนใช้มาก่อน แต่ว่าเขาไม่มีทางให้วินนี่กับลูกใช้ผ้าห่มมือสองเด็ดขาด แล้วก็ยิ่งไม่มีทางให้ใช้เครื่องครัวมือสองด้วย ดังนั้นจึงนำไปจัดการให้หมด
เขาเชื่อในคำพูดของเจ้าของ ผ้าห่มเคยถูกใช้หรือเปล่าเขาไม่กล้ารับประกัน แต่น่าจะไม่เคยซักมาก่อน ผ้าห่มสุญญากาศก่อนซักกับหลังซักสามารถเห็นถึงความแตกต่างได้
พวกเครื่องซักผ้า ตู้เย็นก็เอาออกมาด้วย ในนั้นมีแบตเตอร์รี่บางส่วนที่เป็นแบบพลังงานสูง ฉินสือโอวต้องเปลี่ยนเป็นแบตเตอร์รี่รักษ์โลกก่อน เพื่อป้องกันรังสีที่มากเกินไปส่งผลกระทบต่อ่สุขภาพของวินนี่และลูก
จงต้าจวิ้นเห็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ใหม่เอี่ยมพวกนี้ถูกแปะโน้ตราคาถูกแล้วโยนไว้นอกบ้านแล้ว ใบหน้าก็เผยสีหน้าปวดใจออกมา เปรยออกมาว่า “ฉันไม่กลัวพวกนายจะหัวเราะหรอก แต่ความคิดของฉันในตอนนี้ ก็คือ***ทำไมตอนอยู่จีนฉันถึงไม่เจอเรื่องดีๆแบบนี้บ้าง? เครื่องซักผ้าตู้เย็นพวกนี้ดีขนาดนี้ ถ้าเป็นที่จีนน่าจะเครื่องละหลายหมื่นเลยมั้งเนี่ย? จะขายออกไปในราคาไม่กี่ร้อยแบบนี้เนี่ยเหรอ?”
ฉินสือโอวตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “เอาน่า อำนวยความสะดวกให้คนที่ต้องการไง อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องน่าหัวเราะตรงไหนกัน? ต่อไปนายหาเงินได้แล้ว ตอนจัดการของมือสองก็มีท่าทีแบบนี้แหละ”
จงต้าจวิ้นส่ายหัวถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วฉันต้องมีเงินแค่ไหนถึงจะทำแบบนี้ได้?”
ไม่นานก็มีคนถูกของใช้ในชีวิตประจำวันนอกอพาร์ทเม้นท์ดึงดูด คู่แรกที่มาซื้อคือสองสามีภรรยาชาวผิวขาว หลังจากพวกเขาดูเครื่องใช้ไฟฟ้าจำพวกตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ เครื่องสกัดน้ำผลไม้และเตาอบแล้ว ก็รีบควักเงินให้กับจงต้าจวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที
ฉินสือโอวมองดูสองสามีภรรยาที่แม้จะเป็นชาวผิวขาว แต่ว่าสีผิวค่อนข้างคล้ำนิดหน่อย รูปหน้าชัดเจนไม่ค่อยเหมือนกับคนผิวขาวที่เห็นได้ทั่วไปในเมืองเซนต์จอห์นเท่าไร ดวงตาและผมก็เป็นสีดำ จึงถามไปว่า “ไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นคนซีเรียหรือเปล่าครับ?”
ชายคนนั้นมองเขาอย่างระวังแล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย พวกเราเป็นชาวอพยพที่ถูกกฎหมายครับ”
คำนี้เท่ากับเป็นการยอมรับแล้วว่าเป็นคนซีเรีย ฉินสือโอวยิ้มๆ อย่างเป็นมิตร พูดว่า “ในเซนต์จอห์นมีโปรแกรมช่วยเหลือนะครับ หากว่าพวกคุณอพยพมาจากซีเรียในหนึ่งปีนี้ การซื้อของใช้มือสองสามารถได้รับส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จ่ายเงินแค่ครึ่งเดียวของป้ายราคาก็พอแล้วครับ”
ตอนนี้ซีเรียกำลังมีสงครามกลางเมือง ชาวอพยพกว่าหลายแสนคนได้มุ่งหน้าไปยังชายแดนประเทศ ทวีปอเมริกาและยุโรปก็กำลังหารือกันอยู่ว่าควรจะจัดการกับปัญหาอพยพนี้อย่างไร แต่นักเลงใหญ่อย่างอเมริกาที่ปกติก็ดูแคลนพวกคนตัวเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับหน้าไม่อาย บอกตรงๆ มาเลยว่าพวกเขาไม่รับชาวอพยพ แคนาดาก็เดินตามรอยพี่ใหญ่ พวกเขาก็ไม่รับด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับคนอพยพชาวซีเรียพวกเขาได้ยกเว้นให้
คู่สามีภรรยาชาวซีเรียนี้น่าจะอพยพมาอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่ได้มีเงินมาก เพราะสงครามกลางเมือง ทรัพย์สินของพวกเขาได้ค้างไว้ในประเทศนำออกมาไม่ได้ ในบางรัฐของแคนาดาได้มีการตั้งนโยบายช่วยเหลือชาวอพยพซีเรียไว้ ทางชุมชนก็มีองค์กรช่วยเหลือด้วยเช่นกัน พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ก็เข้าร่วมกับนโยบายนี้ด้วยเหมือนกัน
ผู้ชายคนนั้นยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ หลังจากจ่ายเงินแล้วก็เงียบไป ราวกับว่าศักดิ์ศรีของตัวเองได้รับความบอบช้ำอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฎิเสธ กลับกันใบหน้ายังมีสีหน้าที่ออกจะวางใจด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีเงินอะไร แม้ว่าจะซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมือสองพวกนี้ในราคาถูก ก็ยังกินแรงเอาเรื่องอยู่
ฉินสือโอวช่วยเขาหาบริษัทย้ายบ้านบริษัทหนึ่ง เพื่อส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้ไปให้ ผู้ชายกอดขอบคุณเขา จากนั้นก็เกิดความสนใจที่จะชวนเขาคุยขึ้นมา ถามพวกเขาว่าเป็นชาวอพยพมาจากที่ไหน
ฉินสือโอวบอกว่ามาจากประเทศจีน ใบหน้าของสามีภรรยาซีเรียก็เผยสีหน้าอิจฉาออกมา ผู้ชายพูดว่า “ประเทศจีน ผมเคยไป ผมเป็นคนทำโปรแกรมรถไฟฟ้าน่ะ เลยเคยไปดูงานที่ประเทศของพวกคุณมาก่อน พวกคุณเก่งมากเลย ประเทศใหญ่ขนาดนั้น ประชากรเยอะขนาดนั้น แต่กลับไม่มีสงครามกลางเมืองหรือความขัดแย้งทางศาสนาเลย ผู้นำของพวกคุณเก่งมากครับ”
จงต้าจวิ้นฟังภาษาอังกฤษสำเนียงเหน่อของผู้ชายไม่ออก จึงถามเหมาเหว่ยหลง หลังจากเหมาเหว่ยหลงแปลให้เขาฟังแล้ว เขาก็ยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “ขอเถอะ พรรคการเมืองกับผู้นำของพวกเรายังมีคนต่างชาติอิจฉาอีกเหรอ? ถ้าฉันกลับไปบอกกับพวกพี่น้องของเราแล้วล่ะก็ พวกเขาต้องหาว่าฉันพูดไปเรื่อยแน่นอน”
ก่อนจะมาที่เซนต์จอห์น ตอนที่ฉินสือโอวใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีนก็บ่นไม่เลิก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องราคาบ้านและค่ารักษาที่แพงหูฉี่ แต่ว่าพอออกประเทศแล้วกลับพบว่า ในบรรดาชาวอพยพนั้น สถานการณ์ของคนจีนก็ยังถือว่าค่อนข้างดีกว่า คนอพยพชาวจีนมาเพื่อที่จะไล่ตามชีวิตและสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า แต่ชาวอพยพของบางประเทศนั้น มาเพราะเลือกไม่ได้ เพราะไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศพวกเขาได้ต่อไป
หลังจากฝ่าฝันในต่างประเทศมาสี่ห้าปี ฉินสือโอวเติบโตขึ้นมาก เขาไม่พูดถึงอำนาจของรัฐและพรรคต่างๆอีกเลย แต่ว่าถ้าพูดถึงด้านการรักษาความมั่นคงแล้วล่ะก็ ทั่วโลกก็ไม่มีประเทศไหนที่สามารถเทียบกับประเทศจีนได้จริงๆ
………………………