ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1839 เริ่มการตกเบ็ดราว
การเก็บเกี่ยวแบบอวนลากเป็นงานประนีต ไม่สามารถดึงรั้งรุนแรงได้ เรือหาปลาสองลำทำการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ บนทะเล ทำการบังคับอวนอย่างเบามือให้ลอยไปตามกระแสน้ำทะเลลึก ไม่ทำการปิดอวน เพราะรอคำสั่งของฉินสือโอวอยู่
คนที่บังคับเรือทั้งสองลำคือชาวประมงเก่าแก่สองคน แซ็กกับเอลเดอร์ การตัดสินใจในตอนนี้ของพวกเขาถูกต้องมาก ใช้ความเข้าใจในการทำงานของทั้งสองฝ่าย ลากอวนล้อมไปมา การทำแบบนี้แม้ว่าจะไม่สามารถปิดอวนได้ แต่ก็ไม่ทำให้ฝูงปลาด้านในหนีออกไป
ฉินสือโอวขมวดคิ้วมองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด จงต้าจวิ้นไม่กล้ารบกวนเขา จึงถามเหมาเหว่ยหลงเสียงเบาว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นเหรอ? แกรู้ไหมว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรดี”
เหมาเหว่ยหลงเกาหัว พูดว่า “ไม่รู้ ฉันเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ รู้แค่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องบนทะเลน่ะฉันพูดไม่ถูกหรอก”
ฟังคำพูดของทั้งสองแล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะแล้วหันกลับมาพูดว่า “พอแล้วน่า ถามฉันมาตรงๆ ก็ได้ ฉันไม่ได้กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยสักหน่อย พูดคุยกันได้ไม่เป็นไรหรอก การปิดอวนล้อมนั้นหลักๆ สามารถทำได้สองวิธี หนึ่งก็คือเน้นการล้อม อีกอันก็คือเน้นการกางออก ฉันต้องคิดก่อนว่าจะใช้วิธีไหนมาปิดอวนดี”
จับปลาในฤดูหนาว หลักๆ จะใช้วิธีการแบบกางออก โดยอ้างอิงจากทิศทางลม ทิศทางกระแสน้ำและทิศทางการเคลื่อนตัวของเป้าหมายที่ทำการหว่านอวนลงไป แล้วทำการรักษาตำแหน่งปากของอวนไว้ให้ตรงกับทิศทางเคลื่อนตัวของเป้าหมาย แล้วค่อยๆ ลากไปอย่างนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ทำการดูให้แหอวนกางออกได้เต็มที่ เพื่อทำการปิดล้อมฝูงปลาทั้งหมดไว้แล้วทำการเก็บแหขึ้นมา
แต่ว่าทิศทางลมและทิศทางกระแสน้ำในตอนนี้ไม่อำนวยต่อการเก็บแหของพวกเขา วิธีนี้จึงใช้ไม่ได้ ฉินสือโอวคิดสักพัก แล้วก็สั่งการให้เรือหาปลาสองลำให้ใช้อีกวิธีหนึ่งในการเก็บเกี่ยวปลา วิธีนี้จำต้องใช้น้ำมันเครื่องและแรงคนที่มากขึ้น แต่ว่าเหมาะสมมากกว่า
ฉินสือโอวทำการออกคำสั่งไปในโทรศัพท์ไร้สายเรื่อยๆ ทำการเลือกเรือหลักจากเรือหนึ่งในสองลำนั้น ส่วนอีกลำให้เป็นเรือรอง แรงม้าของเรือทั้งสองลำพอๆ กัน เรือของแซ็กมีท้องเรือที่กว้างกว่า จึงต้านแรงของคลื่นทะเลได้มากกว่า ดังนั้นเรือของเขาจึงเป็นเรือหลัก ส่วนเรือเอลเดอร์จะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากกว่า จึงให้เป็นเรือรอง
แซ็กสั่งการลงไปทีหนึ่ง ชาวประมงบนเรือเริ่มทำงานช่วยเหลือกันและกัน พวกเขาเอาอวนมาติดไว้ที่ซ้ายขวาของกราบเรือ แล้วแบ่งคนเฝ้าไว้ หากว่าอวนถูกดึงจนเปลี่ยนรูปร่างไปมาก เขาก็ต้องทำการผ่อนอวน เพื่อไม่ให้อวนฉีกขาด
ตอนนี้ขอบบนล่างของอวนได้ทำการกางออกทั้งหมดแล้ว ปีกขวาอยู่ด้านหน้า ปีกซ้ายอยู่ด้านหลัง เรือหลักปล่อยสมอหยุดเรือไว้ เรือรองก็หันกราบขวาไปทางเรือหลัก จากนั้นก็เก็บอวนไปด้วยหมุนตัวเรือไปด้วย
ฉินสือโอวทำการสังเกตการณ์การเคลื่อนตัวของอวนในทะเลผ่านจิตสำนึกแห่งโพไซดอน พอถึงน่านน้ำที่ความเร็วของกระแสน้ำค่อยๆ ลดลงแล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้เริ่มเก็บอวนในทันที
ในตอนนี้ทั้งเรือหลัก และเรือรองได้ค่อยๆ ประกบเข้าหากัน เรือทั้งสองลำเข้าหากันทางกราบเรือซ้ายของตัวเอง หลังจากเรือรองเอาอวนวาร์ป แท่งเหล็กและห่วงคล้องเรือยื่นให้กับเรือหลักแล้ว ก็ทำการปรับตำแหน่งเรือ ปรับทิศทางแล้วทำการดึงปีกทั้งสองด้านพร้อมกันกับเรือหลัก
บนเรือทั้งสองลำต่างก็มีสายพาน เมื่อสายพานเดินเคลื่อนแล้ว ลวดสลิงก็จะลากอวนเพื่อเริ่มการปิดอวน
เรือปริ้นเซสเมล่อนอยู่ห่างค่อนข้างไกล เหมาเหว่ยหลงกับจงต้าจวิ้นมองสถานการณ์ของเรือทั้งสองลำได้ไม่ชัด ไม่เข้าใจว่าทำไมชาวประมงรอบๆ จึงพากันสีหน้าเคร่งเครียด
ฉินสือโอวจึงอธิบายให้พวกเขาฟัง ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาที่เต็มไปด้วยความดุดัน พวกมันสามารถเติบโตได้ถึงสามถึงสี่เมตร เพราะว่าร่างกายมีรูปร่างเหมือนกับลูกระเบิด ดังนั้นหากว่าพวกมันออกแรงพุ่งชนอย่างบ้าคลั่งแล้วล่ะก็ พลังการพุ่งชนนั้นก็พอๆ กับระเบิดลูกหนึ่งเลย หากว่าเก็บอวนได้ไม่ดี มีโอกาสสูงที่อวนล้อมจะถูกพวกมันทำให้ฉีกขาดได้
จงต้าจวิ้นยากที่จะเชื่อ เขาชี้ไปที่อวนล้อมจับพูดว่า “โอ้โอ เจ้าปลานี่แรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันเห็นตาข่ายของอวนอันนี้มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่โป้งฉันเลยนะ ถึงจะเป็นรถคันหนึ่งก็น่าจะล้อมอยู่หรือเปล่า?”
ฉินสือโอวพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นการพุ่งชนแค่ครั้งเดียว อวนนั้นก็ไม่กลัวหรอก แต่ว่าถ้าปลาทูน่าครีบน้ำเงินเกิดคลั่งขึ้นมา พวกมันก็จะพุ่งชนแบบต่อเนื่องเลย พอแรงพุ่งชนหลายครั้งรวมกัน งั้นโอกาสที่จะทำลายอวนล้อมได้ก็ค่อนข้างมากแล้ว”
ในสถานการณ์แบบนี้ การเก็บอวนล้อมไม่จำเป็นต้องรักษาให้ปากอวนกับทิศทางกระแสน้ำอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ในระหว่างการเก็บอวนนั้น เรือสองลำจะทำการลากอวนไปตามกระแสน้ำไประยะหนึ่ง ใช้แรงของกระแสน้ำ เพื่อกางอวนให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ฝูงปลาข้างใน พยายามไม่ให้พวกปลาทูน่าครีบน้ำเงินรู้สึกตื่นตูมให้มากที่สุด
เรือสามลำออกทะเลมาในครั้งนี้นำเอาชาวประมงมาแทบจะทุกคน คนห้าสิบกว่าคนได้เข้าร่วมการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ด้วย ในนั้นนอกจากแซ็กกับเอลเดอร์ที่พาคนห้าคนทำการหว่านอวนและเก็บอวนแล้ว คนที่เหลือทั้งหมดล้วนอยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อน
พวกเขาเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครัน เหมือนกับนักรบที่รอจะออกรบนั่นแหละ เพื่อรอเพียงคำสั่งเดียว ทุกคนบุก!
ส่วนคำสั่งที่พวกเขารออยู่นั้น ก็คือเตรียมตกเบ็ดราว
ตอนที่เรือทั้งสองลำเริ่มเก็บอวนนั้น ได้ล่องไปตามกระแสน้ำและออกจากน่านน้ำแห่งนี้ไป และรอบๆ บริเวณนี้ก็ได้มีปลาที่หลุดรอดออกมาได้จำนวนหนึ่ง การจะเก็บเกี่ยวปลาพวกนี้ ก็ต้องพึ่งวิธีตกเบ็ดราวนี่แหละ
ฉินสือโอวปัดมือ เหล่าชาวประมงก็ทำการจัดเตรียมสายเบ็ดที่มัดกันไว้เป็นม้วนๆ พวกเขาเริ่มทำงานแล้ว
เบ็ดราวคือหนึ่งในอุปกรณ์การตกเบ็ดที่สำคัญมากที่สุด เพราะกระจายออกไปได้กว้าง ทำให้จำนวนและผลผลิตที่ได้สูงที่สุด เจ้าตัวนี้ก็คือการนำสายเบ็ดมาผูกไว้กับราวเป็นระยะเท่าๆ กัน ตรงหัวและท้ายของสายมีตะขอเกี่ยวปลากับเหยื่อล่ออยู่ เป็นการทำการติดตั้งแบบลอยและจมลงไป โดยนำมันไปผูกไว้ตรงส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนล่าง ส่วนด้านล่างก็ผูกตะขอเบ็ดเกี่ยวปลาไว้ทั้งแผง เพื่อล่อให้ปลามาติดเบ็ด
ทิศทางการปล่อยสายควรจะปล่อยไปตามแนวขวางหรือแบบทแยงจะดีที่สุด โดยปกติแล้ว ปลาทูน่าชอบล่าอาหารแบบต้านกระแสน้ำ การปล่อยสายลงไปแบบนี้จะตั้งฉากกับกระแสน้ำทะเล ทำให้สามารถดึงดูดปลาทูน่าได้ดีกว่า
เบ็ดราวเป็นวิธีการตกปลาอีกวิธีหนึ่งที่ทดสอบกำลังคน เบ็ดราวหนึ่งแท่งจะมีความยาวประมาณห้าหกกิโลเมตรหรืออาจจะยาวกว่านั้น อย่างเช่นราวที่อยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนหนึ่งแท่งก็มีความยาวถึงแปดกิโลเมตรแล้ว บนนั้นทุกๆ สิบเมตรจะมีสายเบ็ดผูกอยู่ จำเป็นต้องให้คนงานไปทำการผูกตะขอกับเหยื่อบนสายพวกนั้น
หรือก็คือว่า เบ็ดหนึ่งแท่งจะมีสายเบ็ดกว่าแปดร้อยเส้น ด้านหน้าและหลังของสายเบ็ดอันหนึ่งมีตะขออยู่สองอัน ทั้งหมดต้องทำการผูกตะขอกับเหยื่อล่อถึง 1600 อัน ปริมาณงานแบบนี้ถือว่าเป็นงานที่ใหญ่พอดูเลย!
แต่ว่างานแบบนี้จำเป็นต้องไปทำหน้างานเท่านั้น ไม่สามารถทำการผูกสายกับตะขอไว้ล่วงหน้าได้ เพราะสายเบ็ดที่มีความยาวแปดกิโลเมตรนั้นไม่มีทางม้วนเก็บสายไว้ได้เลย แต่ถ้าเกิดสายเกิดพันกันขึ้นมาแล้วก็จะกลายเป็นการพันกันที่ยุ่งเหยิงมาก ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะแกะอย่างไรก็แกะไม่ออกแน่นอน
เรือปริ้นเซสเมล่อนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วหกนอต เหล่าชาวประมงรีบทำงานกันอยู่ตรงท้ายเรือ ราวกับไลน์การผลิตสายหนึ่ง ราวเบ็ดลงไปในทะเลแล้ว จำต้องทำการผูกตะขอและเหยื่อล่อปลาก่อนที่เบ็ดจะลงไปในน้ำทะเล ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการสูญเสียทรัพยากรสายเบ็ดพวกนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากตะขอและเหยื่อล่อแล้ว ยังมีคนรับผิดชอบผูกทุ่นลอยน้ำอีกด้วย ประมาณทุกสิบเมตรจะมีสายเบ็ดเส้นหนึ่ง และประมาณทุกสายเบ็ดห้าเส้น จะต้องทำการผูกทุ่นลอยน้ำไว้เพื่อรักษาการลอยตัว แถมทุกสองครั้งที่ผูกทุ่นเสร็จ ก็ยังต้องติดเครื่องแจ้งเตือนแรงดันไว้อีกด้วย
เครื่องแจ้งเตือนอันนี้สำคัญที่สุด หลังจากที่พวกปลาติดเบ็ดแล้วพวกมันจะทำการดึงสายเบ็ดให้จมลงไป เมื่อเครื่องแจ้งเตือนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงดันแล้ว ก็จะทำการกะพริบไฟออกมา เท่านี้ชาวประมงจะได้รู้ว่าปลาติดเบ็ดได้ทันเวลาเพื่อจะได้ทำการเก็บขึ้นมา
ปลาทูน่าดุดันและอุกอาจ พอพวกมันติดเบ็ดแล้วหากว่าไม่ทำการจับขึ้นมาได้ทันเวลาแล้วล่ะก็ เจ้าพวกนี้ก็จะคิดหาวิธีหนีอีก และแม้ว่าจะไม่หนี พวกมันก็จะทำการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งทำให้สายเบ็ดพันกันขึ้นมา หากว่าตะขอเบ็ดแต่ละอันเกิดพันกันขึ้นมาแล้วล่ะก็ จะเป็นการให้เหล่าชาวประมงต้องใช้แรงมากขึ้นอย่างมาก
ชาวประมงยี่สิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำงานอีกกลุ่มพักผ่อน พวกเขาเป็นราวกับแขนกลในสายการผลิต แต่ละคนได้ทำการนำตะขอตกปลา เหยื่อล่อ ทุ่นลอยน้ำและเครื่องแจ้งเตือนผูกไปบนเชือกอย่างแม่นยำและชำนาญ
……………………………