ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1856 ตามหาหลัวปอ
ผ่านไปสองวัน หลัวปอก็ยังหายตัวไป ตอนนี้ไม่ใช่แค่วินนี่ที่ร้อนใจ ฉินสือโอวเองก็ร้อนใจเช่นกัน เพราะไม่ใช่นิสัยของหลัวปอ ปกติไม่ว่าจะไปเล่นที่ไหนก็จะกลับมาในวันนั้น เพราะอย่างไรก็ตามเกาะแฟร์เวลก็มีขนาดเล็ก
ฉินสือโอวลูบหน้าผาก คาดเดาว่า “พวกนายคิดว่า พ่อแม่ของหลัวปอมาเอาตัวไปแล้วหรือเปล่านะ?”
วินนี่ตอบว่า “ถ้าหมาป่าขาวคู่สามีภรรยามาเอาหลัวปอไป ก็น่าจะมีเงื่อนงำอะไรบอกก่อน หลัวปอไม่ควรจะหายไปแบบไร้ร่องรอยอย่างนี้ คุณลองคิดดูดีๆ ช่วงเวลานี้คุณอยู่ที่ฟาร์มปลาตลอดไม่ใช่เหรอคะ?”
ฉินสือโอวส่ายศีรษะ เขาคิดแล้วคิดอีก ไม่มีความทรงจำอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมาป่าขาวคู่สามีภรรยาโผล่ออกมาเลย แต่เขากลับนึกถึงฉากที่หัวไชเท้าน้อย หู่จือและเป้าจือขุดแก่นตะวันด้วยกัน ตอนนั้นหู่จือและเป้าจือช่วยมันขุดแก่นตะวันอย่างมีความสุข แต่หลัวปอกลับเดินวนแปลงแก่นตะวันเป็นวงกลมไป สีหน้าดูงุนงง
แต่สิ่งนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับที่หลัวปอหายตัวไป เพราะอย่างไรก็ตามจากวันนั้นหลัวปอก็อยู่ในบ้านหลายวันอย่างว่านอนสอนง่าย
คิดไม่ออกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ฉินสือโอวจึงทำได้แค่ออกไปตามหา วินนี่มองหลัวปอเป็นเหมือนลูกสาวคนโต ก่อนที่หัวไชเท้าน้อยนี้จะมาที่ฟาร์มปลา พวกสัตว์พวกนี้ต่างก็เป็นตัวผู้ มันจึงเป็นสาวน้อยตัวแรก และยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่วินนี่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต ความรู้สึกจึงแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นถ้าหัวไชเท้าน้อยหายไปจริงๆ วินนี่ก็อาจจะเป็นบ้าได้ เพราะแค่สองวันนี้เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอยู่แล้ว
ฉินสือโอวใช้ช่องทางวิทยุสาธารณะไร้สายถามประชาชนในเมืองก่อน “ทุกท่าน มีใครเห็นหัวไชเท้าน้อยบ้านผมไหม? มันหายตัวไปสองวันได้แล้ว ถ้าใครพบเห็นช่วยแจ้งมาทางผมด้วยนะครับ”
แลร์รี ฮิวจ์พอไม่มีอะไรทำก็มานั่งชิลล์อยู่แถววิทยุสาธารณะไร้สาย พอได้ยินคำพูดของเขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หัวไชเท้าน้อยคือใคร? นายเก็บสัตว์อะไรมาเลี้ยงเพิ่มอีกเนี่ย? หัวไชเท้าคงไม่ใช่ชื่อเฟอเรทคู่นั้นหรอกมั้ง? เฟอเรทบ้านนายหายตัวไปแล้วเหรอ?”
พอเจอเขาทักมาแบบนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มรู้ว่าวิธีการถามของเขาไม่ถูกต้อง เขาจึงรีบเสริมว่า “ก็คือหมาป่าขาวของบ้านผม ชื่อของมันคือหลัวปอ หัวไชเท้าเป็นชื่อเล่นของมัน”
“หมาป่าขาวตัวนั้นหายตัวไปงั้นเหรอ เป็นไปได้อย่างไร เจ้านั่นมันฉลาดและหัวไวมาก มันคงไปเล่นที่ไหนแล้วมั้ง? คงไม่ได้ถูกใครจับไปใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แน่นอน ถึงแม้ว่าช่วงสองวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวแปลกหน้าเข้ามาในเมือง แต่พวกเขาจะเข้าออกที่ท่าเรือต้องได้รับการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางก่อน ไม่มีสิ่งของต้องห้ามในกระเป๋าเดินทางเลย”
“เฮ้ ฉิน ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกได้เลยนะ พวกเราจะไปช่วยนายหาด้วย”
ไม่มีข่าวของหมาป่าขาวจากวิทยุสาธารณะไร้สายเลย ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงพาหู่จือ เป้าจือและฉงต้าออกไปตามหา เพราะการรับรู้กลิ่นของเจ้าสามตัวนี้ดีที่สุด ถ้าหมาป่าขาวมีทิ้งกลิ่นไว้ พวกมันต้องหาได้อย่างแน่นอน
แต่สถานที่ที่หมาป่าขาวจะทิ้งกลิ่นไว้มากที่สุดก็คือที่ฟาร์มปลา เจ้าสามตัวทำจมูกฟุดฟิดไปมา วนรอบฟาร์มปลาไปเรื่อยๆ
เวลานี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไกด์คนหนึ่งในเมืองโทรมาบอกว่า “เฮ้ ฉิน ผมได้ยินมาว่าคุณกับนายกเทศมนตรีวินนี่กำลังหาหมาป่าขาวอยู่เหรอ? มันหายไปนานเท่าไรแล้ว? เมื่อวานตอนกลางวันผมพานักท่องเที่ยวขึ้นเขา เหมือนมีคนบอกว่าเห็นหมาป่าขาว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบถามอย่างร้อนรนว่า “อะไรนะ? เจอหมาป่าขาวของบ้านผมงั้นเหรอ? ที่ไหนกัน? บนเทือกเขาเคอร์บัลใช่ไหม? บอกตำแหน่งเป๊ะๆ มาให้ผมหน่อย ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้!”
ไกด์บอกว่า “ใช่ เมื่อวานเราปีนขึ้นไปบนภูเขาจากถนนสายใหม่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาเคอร์บัล น่าจะอยู่ช่วงกลางภูเขา ตอนที่พวกเราพักมีคนไปเอาน้ำ บอกว่าเห็นหมาป่าขาวดื่มน้ำอยู่ตรงแม่น้ำ ผมคิดว่าน่าจะเป็นหลัวปอของบ้านคุณ เพราะประการแรกหมาป่าสีเทากลายพันธุ์เป็นของหายาก ประการที่สองหมาป่าขาวไม่ได้โจมตีหลังจากที่เห็นนักท่องเที่ยว แต่กลับจากไปอย่างช้าๆ”
ตอนนี้ผู้คนบนเกาะยังไม่ได้เปรียบหัวไชเท้าน้อยกับหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ที่สูญพันธุ์ในทางทฤษฎีว่าคือสิ่งเดียวกัน พวกเขาคิดเพียงว่าหัวไชเท้าน้อยเป็นหมาป่าสีเทากลายพันธุ์เช่นเดียวกับปอหลัวก็คือกวางมูสที่กลายพันธุ์ การกลายพันธุ์เป็นแนวคิดของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วถึงเรียกว่าการกลายพันธุ์ เพราะต่อให้ปอหลัวเปลี่ยนเป็นสีทองก็เรียกได้ว่าการกลายพันธุ์อย่างหนึ่ง
หลังจากที่รู้ตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว ฉินสือโอวก็บอกวินนี่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง พาหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและสามหนุ่มเวหาขึ้นรถไปด้วยกัน เถียนกวาก้าวขาสั้นๆ ของเธอไล่ตามมา พูดเสียงหอบว่า “ปะป๊า หนูก็จะไปหาหลัวปอด้วย”
ฉินสือโอวตอบว่า “หนูอยู่เป็นเพื่อนหม่าม๊าที่บ้านดีไหมคะ? หนูยังเล็ก ปีนเขาเหนื่อยมากนะ”
เถียนกวาส่ายศีรษะด้วยความดื้อดึง เบะปากน้อยๆ แล้วพูดว่า “ไม่เอา หลัวปอกลับมาหม่าม๊าถึงจะมีความสุข เถียนกวาถึงจะมีความสุข หลัวปอไม่กลับบ้าน เถียนกวาไม่มีความสุข เถียนกวาจะไปหามันด้วย”
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ดื้อรั้นของลูกสาว ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพาอีวิลสันไปด้วย แน่นอนว่าหลังจากปีนขึ้นไปบนภูเขาได้เพียงไม่กี่ก้าวเจ้าตัวเล็กก็จะเหนื่อยและเดินไม่ไหว ถึงตอนนั้นให้อีวิลสันแบกเธอก็โอเคแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะขึ้นเขาจากถนนสายใหม่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือ นีลเซ็นกับชาร์คก็ขับรถขึ้นไปพร้อมกับปืนและอธิบายว่า “ถนนใหม่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือเป็นถนนบนภูเขาที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสัตว์ป่าดุร้ายจำนวนมาก ฝูงหมาป่าสีเทาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่นเกือบทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดคือรวมตัวกันไปเยอะหน่อยจะเหมาะมากกว่า”
ฉินสือโอวกลับไม่กังวลสัตว์ร้ายบนเขา เขามีฉงต้าจอมโหดที่อยู่ใต้คำสั่งเขา ต่อให้มีเสือดุร้ายมาก็สามารถปะทะด้านหน้าได้ แถมยังมีเจ้าสามหนุ่มเวหาอีก พวกมันไม่ได้กินมังสวิรัติสักหน่อย
รถทั้งสองคันขับไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอย่างรวดเร็ว ด้านนี้เป็นด้านที่มีร่มเงาของเทือกเขาเคอร์บัล มีความสูงและชันมากเป็นพิเศษ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากที่สุด มีพุ่มไม้และวัชพืชอยู่ทุกหนทุกแห่ง แสงแดด ส่องแสงในเวลาเที่ยงวัน แต่ไม่สามารถเจาะเรือนยอดที่เขียวชอุ่มลงมาได้ แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่เรือนยอดก็ไม่มีใบไม้ที่เจริญเติบโตยาวเต็มที่
ถนนบนภูเขาที่นี่เพิ่งเปิดใช้ ตามริมถนนจึงยังมีวัชพืชที่พยายามเจริญเติบโตขึ้นมาอยู่ ฉินสือโอวปล่อยให้ฉงต้าและเจ้าสามตัวลงมา ให้พวกมันดมดูว่ามีกลิ่นของหมาป่าขาวหรือเปล่า
ฉงต้าเบิกตาเล็กๆ ของมันออกกว้างแล้วทำจมูกฟุดฟิด ใบหน้าอวบอ้วนของมันแสดงความลังเลออกมา ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขา ดูท่าแล้วน่าจะมีกลิ่นของหมาป่าขาวอยู่
เมื่อเห็นแบบนี้ฉินสือโอวก็ตื่นเต้น ปล่อยสามหนุ่มเวหาออกไปตระเวนดูบนท้องฟ้า หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มปีนเขา
ชาร์คเดินบนถนนบนภูเขาที่สูงชันและยากลำบากและส่ายศีรษะตลอดเวลาโดยกล่าวว่า “บ้าเอ๊ย ไม่เข้าใจจริงๆ นักท่องเที่ยวพวกนี้มีถนนอิฐบล็อกดีๆ กลับไม่เดิน ทำไมพวกเขาถึงยอมเดินบนถนนห่วยๆ แบบนี้ด้วย?”
ฉินสือโอวไม่มีอารมณ์มาอธิบาย จึงอธิบายง่ายๆ ว่า “พวกเขามองสิ่งเหล่านี้เป็นการผจญภัย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ไปปีนเขาหิมาลัย สำหรับนักท่องเที่ยวประสบการณ์บนเส้นทางภูเขาที่แห้งแล้งจะทำให้พวกเขามีพื้นที่ให้คุยโวได้มากขึ้นในอนาคต”
เถียนกวาถือว่าเป็นอัจฉริยะในกลุ่มวัยเด็กด้วยกันเองแล้ว เธอแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางกีฬาที่ยอดเยี่ยม หลังจากเดินบนภูเขามานานกว่าสิบนาที ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ขาสั้นๆ ของเธอยังมีพลังพอที่จะปีนขึ้นภูเขาได้ต่อ
ฉินสือโอวไม่สามารถเดินไปตามถนนบนภูเขาได้ บางครั้งเขาต้องเดินไปตามแนวขวางสักระยะหนึ่ง ตะโกนเรียกชื่อหัวไชเท้าน้อย ซึ่งในเวลานี้ต้องใช้แรงกายมากกว่าเดิม หลังจากเดินต่อไปได้อีกสิบนาทีกว่า ในที่สุดเถียนกวาน้อยก็เหนื่อยจนเดินต่อไปไม่ไหว
ฉงต้านั่งยองอยู่หน้าเธอให้เธอปีนขึ้นหลังอย่างอ่อนโยน เตรียมที่จะแบกเธอไว้ด้านหลัง และในช่วงขณะนี้เอง แคลร์นกอินทรีทองที่ลาดตระเวนบนท้องฟ้าจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา ปากของมันส่งเสียงร้องดังแหลม ดูเหมือนว่าจะค้นพบบางสิ่ง!
………………….