ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1874 ร้องไห้
คนที่ไล่ตามเถียนกวามาด้านหลังคือเด็กน้อยตัวอวบอ้วน บูลซื้อรถสามล้อให้กับเขา เขากำลังออกแรงถีบเต็มที่
สาเหตุที่เขาถีบอย่างแรง เพราะการตกแต่งที่ซับซ้อนบนสามล้อซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่เหมือนรถออกศึก ดังนั้นเด็กอ้วนตัวโตจึงรู้สึกว่าเขากลายเป็นทหารและเต็มไปด้วยความสนใจในรถสามล้อคันนี้
“โอ้ โอ้ โอ้ เถียนกวา ฉันจะไล่ตามเธอสำเร็จแล้วนะ!” เด็กอ้วนตัวโตร้องอย่างดีใจอยู่ด้านหลัง “ฉันเป็นวัวออกศึกตัวใหญ่ ฉันจะล้มเธอซะ!”
เถียนกวาหันไปมอง เธอเผยให้เห็นสีหน้าเหยียดหยามบนใบหน้าอวบอ้วนของเธอ เธอเบะปากแล้วยื่นมือไปตบหมาป่าผู้เคราะห์ร้ายชี้ไปที่ด้านหลังแล้วตะโกนว่า “หันหลังกลับ อัศวินของฉัน ไปฆ่าวัวโง่ตัวนี้กัน!”
หากไม่มีเถียนกวาตัวอ้วนขี่อยู่บนหลังมัน หมาป่าขาวคงกระโดดหันหลังกลับได้อย่างแข็งแรง ผลปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้ว ส่วนเอวของเจ้าหมาป่าขาดพละกำลัง มันพยายามกระโดดจนเอวเกือบพลิก
ไม่รู้ว่าใครทำอานเบาะนุ่มนี้ให้กับเถียนกวา เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนกระดูกของหมาป่า เขาจงใจเลื่อนอานไปข้างหน้าและใกล้กับไหล่ของหมาป่าสีขาว ส่วนครึ่งหน้าของหมาป่าทรงพลัง ถ้าไม่เป็นเช่นนี้เถียนกวาสามารถนั่งทับจนเอวมันหักได้
หมาป่าผู้โชคร้ายแสยะยิ้มและร้องคร่ำครวญ แต่เด็กอ้วนตัวโตนึกว่าหมาป่าคำรามเพื่อที่จะเริ่มทำการโจมตี ไขมันบนใบหน้าของเขาไหวสั่นด้วยความกลัว เขาบิดมือจับและพยายามจะหันหลังและหนีไป
แต่เขาอ้วนเกินไป พอพยายามจะบิดรถตัวก็เลยบิดไปด้วย รถสามล้อเลย ‘โครม’ พลิกคว่ำอย่างกะทันหัน…
ฉินสือโอวนิ่งงัน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามและทนไม่ได้ที่จะดูฉากนี้ รถสามล้อใช้โครงสร้างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเสถียรภาพทางกล แม้แต่แบบนี้รถยังทรงตัวไว้ไม่อยู่ แสดงให้เห็นว่าเด็กอ้วนตัวใหญ่แค่ไหน!
เมื่อรถพลิกคว่ำเด็กอ้วนก็ถูกทับไว้อยู่ข้างใต้ เขาพยายามจะหงายตัวพลิกกับขึ้นมา แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนกับปูเสฉวนบกที่กำลังจะลอกคราบ บิดตัวไปมาอยู่ตรงนั้นสักพัก สุดท้ายก็ไม่สามารถพลิกตัวขึ้นมายืนได้
ในเวลานี้เองหมาป่าผู้โชคร้ายวิ่งมาพอดี เถียนกวาโอบหัวของหมาป่าไว้แล้วร้องอย่างดีใจว่า “อ๋า เจ้าวัวโง่ เจ้าวัวโง่ นายทำไมถึงโง่ขนาดนี้? ยังโง่กว่าน้องชายฉันอีก ฮ่าๆ!”
บูลน้อยแม้จะโง่แต่ก็มีศักดิ์ศรี เมื่อโดนเถียนกวาพูดเสียดสีแบบนี้ เขาหลับตาเล็กๆ ของเขาแล้วก็ร้องไห้เสียงดังโหวกแหวกขึ้นมา
ฉินสือโอวส่ายศีรษะพร้อมกับฝืนยิ้ม เดินไปแล้วก็พูดไปว่า “โอเค โอเค ที่รัก อย่าร้องเลยนะ ฉันจะอุ้มหนูขึ้นมา…”
เถียนกวาบ่นพึมพำอยู่ตรงนั้น “ร้อง ร้อง ร้องอยู่นั่นแหละ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้อง พวกเราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ พวกเราก็มี ก็มีอายุหลายขวบแล้ว หม่าม๊าบอกว่า จะเตรียมส่งให้ฉันไปเรียนหนังสือแล้ว นายยังจะร้องอีก น่าอายจริงๆ!”
“แงๆๆ…” เด็กอ้วนร้องหนักกว่าเดิม ตัวเองไม่ได้โง่อย่างเดียวแต่ยังทำให้คนอื่นขายขี้หน้าด้วย
เถียนกวาตบที่ไปคอของหมาป่าผู้โชคร้าย แล้วตะโกนไปที่บูลน้อย “นายยังจะร้องอีกเหรอ? ถ้ายังร้องอีกฉันจะให้หมาป่ากินนายทิ้งซะ!”
หมาป่าผู้โชคร้ายร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการอ้าปากแล้วคำรามใส่ “บรู้วววว…บรู้ววววว!”
เสียงหอนที่แหลมคมของหมาป่านั้นทะลุทะลวงและมีพละกำลังในการยับยั้งมาก น่าเกรงกลัวและไม่มีใครเทียบได้ เต็มไปด้วยแรงปะทะ!
ถ้าเกิดอยู่ในป่าแล้วฉินสือโอวได้ยินเสียงหอนแบบนี้ จะต้องหวาดระแวงแล้วแน่นอน แค่พิจารณาจากเสียงเพียงอย่างเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเจ้าหมาป่านี้แล้ว
เขาไม่คิดว่าช่วงเวลาที่เขาห่างบ้านไป หมาป่าผู้โชคร้ายที่ดูดซึมพลังโพไซดอนจะมีความเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ ตอนนี้เจ้านี่คือมีความสามารถและท่าทางที่เหมือนสัตว์ป่าดุร้ายเต็มกระบวน
เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหมาป่าผู้โชคร้าย ก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นที่ประตูวิลล่า เสียงนี้เป็นที่คุ้นเคยของฉินสือโอว มันคือหัวไชเท้าน้อย เสียงแหลมและนุ่มนวลขึ้นพร้อมกับมีความความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
เมื่อเสียงหอนของหมาป่าสองตัวดังขึ้นพร้อมกัน เด้กอ้วนตกใจกลัวไปหมด เขายังจะกล้าร้องไห้อีกที่ไหน? เขาเช็ดหน้า หดคอแล้วรีบซ่อนตัวอยู่ใต้รถสามล้อ
ฉินสือโอวดึงรถสามล้อออก แล้วประคองเด็กอ้วนขึ้นมา หลังจากนั้นก็พูดอย่างเคืองๆ ว่า “พอได้แล้วเถียนกวา อย่าไปแกล้งเพื่อน แล้วก็เจ้าหมาป่าตัวซวยด้วย ไม่ต้องร้องแล้ว!”
หมาป่าผู้โชคร้ายกลับหอนอย่างร่าเริงมากขึ้น การตอบสนองของหัวไชเท้าน้อยก็เหมือนกับหญิงที่รักตอบกลับแชทของมัน จึงทำให้มันตื่นเต้นมาก
หมาป่าผู้โชคร้ายกำลังกลั้นหายใจและเตรียมที่จะส่งเสียงคำรามที่น่ากลัว ฉินสือโอวเหลือบตามองบนใส่มัน ทันใดนั้นมันก็ตกใจและเกือบหมดลมหายใจ ส่วนเถียนกวางที่หลังของมันก็ยื่นมือออกมาเพื่อหยิกแก้มของมัน เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงทำได้เพียงหุบปากอย่างไม่เต็มใจเท่านั้น
เมื่อกลับไปที่วิลล่า ฉินสือโอวยกเถียนกวาขึ้นมา หมาป่าผู้โชคร้ายรีบสะบัดตัวไปมาคิดที่จะสะบัดอานที่อยู่บนหลังให้หลุดออก แต่ผลสุดท้ายสะบัดไปหลายรอบก็ไม่หลุด มันก็เลยช่างมัน วิ่งไปหาหัวไชเท้าน้อยเหมือนเด็กน้อยเอาหัวถูๆ อยู่ด้านหน้า
ห้องนั่งเล่นปูพรม และมีซีกวาตัวน้อยๆ นอนอยู่เงียบๆ ถือขวดนมขนาดใหญ่และดื่มนม วินนี่กลอกตามองบนเมื่อเห็นเขากลับมาและพูดว่า “คุณยังรู้ว่ามีบ้านต้องกลับด้วยเหรอคะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะอิอิ “ผมก็ไปประชุมที่เมืองหลวงมาไง คุณก็รู้นี่ ผมก็โดนบังคับไปตามสภาพน่ะ จริงสิ หน้าร้อนมาถึงแล้ว ครั้งนี้พวกเราไปฟาร์มปลาแห่งที่สามทั้งครอบครัวกัน อุทยานแห่งชาติคีจิมคูจิกในฤดูร้อนสวยมากเลยนะ”
วินนี่ยักไหล่แบบช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องลางานอีกแล้วน่ะสิ? พระเจ้า นายกเทศมนตรีอย่างฉันดูจะไม่ค่อยเหมือนที่เขาร่ำลือกันไว้”
ฉินสือโอวดูออกว่าภรรยาของเขาเริ่มไหวหวั่นกับข้อเสนอแล้ว วินนี่ไม่ได้ต้องการพวกอาหารเลิศรส เสื้อผ้า เครื่องสำอางและกระเป๋ามากนัก แต่เธอชอบทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่เธอสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจหลังจากมาถึงเมืองเล็กๆ ที่นี่
คุยกับวินนี่สักพัก เขาก็เข้าไปอุ้มลูกชายของเขา เจ้าตัวเล็กเอาแต่จับขวดนมและดูดจุกนมเล่นตลอด พอเขาอุ้ม ลูกชายก็ไม่พอใจทันที คายจุกนมออกแล้วอ้าปากร้องไห้
เมื่อได้ยินเสียงลูกชายร้องไห้ พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่กำลังยุ่งอยู่ในครัวก็วิ่งออกมา เมื่อเห็นฉินสือโอวกำลังยุ่งกับการจัดการลูกชายตรงหน้า แม่ของฉินสือโอวก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูเราสิ เป็นพ่อประสาอะไรกัน แม้แต่ลูกตัวเองยังอุ้มไม่เป็น?”
วินนี่รับลูกชายมาอุ้มต่อและจูบเขาที่หน้าผาก เจ้าตัวเล็กก็แค่ร้องไห้ระงม แต่ไม่มีน้ำตา เขาจ้องไปที่วินนี่และเมื่อเขาพบว่าเป็นแม่ที่คุ้นเคยเขาก็ปิดปากและหยุดร้องไห้ ยื่นมือน้อยๆ ออกไปเพื่อเล่นกับผมของเธอ
ฉินสือโอวอยากจะอุ้มลูกชายอีก แต่พอเขาจะเข้าไปอุ้ม เจ้าลูกชายก็รีบอ้าปากเตรียมร้องโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
เมื่อเป็นเช่นนี้ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ตกลงแล้วนี่มันลูกชายผมหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมเห็นหน้าผมแล้วเหมือนเห็นศัตรู?”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ วินนี่ก็เข้าไปหยิกเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ กัดฟันและขมวดคิ้ว “คุณยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอคะ? ตั้งแต่ลูกชายเกิดมาคุณเจอเขากี่ครั้ง? ไม่ได้กลับมาบ้านตั้งหลายวัน คุณคิดว่าสมองของลูกชายเป็นคอมพิวเตอร์หรือไงคะ? เขาจำคุณได้สิถึงแปลก!”
ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ตระหนักได้ว่าเมื่อกี้เขาพูดคำพูดงี่เง่าอะไรออกไป เขาจึงรีบขอโทษ แล้วก็รีบรับปากทุกวิถีทางว่าวันหลังจะไม่หายหน้าจากแม่ลูกไปอีกแล้ว
ดวงตากลมโตของเถียนกวาเปล่งประกาย สักพักพอฉินสือโอวจะเข้าไปกอดเธอ เธอก็อ้าปากร้องคร่ำครวญทันที
เจ้าเด็กอ้วนตัวโตที่กำลังเล่นอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเห็นเถียนกวาร้องไห้เขาก็วิ่งมา แล้วยืนเกาจมูกของเขาพร้อมยิ้มกว้างเมื่อเห็นเธอเป็นทุกข์ “เฮ้ เฮ้ น่าอาย น่าอาย ร้องไห้ขี้มูกโป่งมันน่าอายนะ…”
เถียนกวาหลับตาและยื่นขาเตะออกไป เตะไปที่ร่างเจ้าเด้กอ้วนอย่างแม่นยำ เด็กอ้วนตัวโตก็เริ่มร้องไห้เช่นกัน คราวนี้ไม่ใช่ร้องแห้งๆ แต่ร้องโหยหวนเสียงดัง
ฉินสือโอวหมดความอดทนแล้ว เพิ่งกลับบ้านทำไมเรื่องถึงเยอะขนาดนี้นะ?
เขาประคองเจ้าเด็กอ้วนขึ้นมาอีกครั้ง มองไปที่เถียนกวาแล้วถามขึ้นว่า “คราวนี้หนูร้องไห้ทำไมอีกล่ะ?”
เถียนกวาหลับตาแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ร้อง ปาป๊าก็ไม่อยู่กับเถียนกวาน่ะสิ!”
ฉินสือโอว “…”
…………………………………..