ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1877 กลับบ้านไปแต่งงาน
เมนูหลักของมื้อเย็นคือซี่โครงทอดซึ่งซี่โครงนี้แตกต่างจากที่อื่น เหมาเหว่ยหลงส่งลูกแพะมาให้ และพอครั้งนี้ฉินสือโอวกลับมา พ่อของฉินสือโอวก็ตั้งใจฆ่าแพะตัวนี้ ซึ่งซี่โครงแพะก็เอามาจากแพะตัวนี้นี่เอง
เมื่อล้างซี่โครงแพะจนสะอาดก็ใช้กะปิหมักต่อ เพราะบางทีที่ฟาร์มปลาก็จะจับพวกเศษกุ้งเศษปูได้ เมื่อก่อนมักจะโยนกลับไปในทะเลไปเป็นอาหาร แต่พ่อแม่และของฉินสือโอวเป็นคนประหยัด จึงเก็บขึ้นมาทำเป็นกะปิ
เพราะอย่างไรก็ตามก็เป็นกุ้งและปูที่ได้รับการปรับปรุงโดยพลังงานแห่งโพไซดอน รสชาติของกะปิที่ทำออกมาได้จึงมีรสหวาน สด อร่อยมากๆ
ฉินสือโอวเริ่มชักชวนพ่อกับแม่ว่าไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ถ้าอยากจะกินกะปิ ก็ไปจับลูกกุ้งแดงในทะเลขึ้นมาสักหน่อยเอามาทำกะปิ นี่แหละถึงจะเป็นอาหารที่ดีที่สุด แต่พ่อและแม่ฉินสือโอวไม่ยินยอม พวกเขาบอกว่ากะปิต้องใช้เศษกุ้งพวกนี้มาทำถึงจะอร่อย
แน่นอน กะปิที่พ่อและแม่ฉินสือโอวทำอร่อยมาก และทั้งสองก็ยังนำกะปิไปสานสัมพันธ์ต่อด้วย กะปิที่พวกเขามีจำนวนเยอะกินเองไม่หมด เริ่มแรกก็ให้กับพวกชาวประมง ต่อมาเมื่อไปเที่ยวในเมืองก็ไปให้คุณลุงคุณป้าที่พวกเขารู้จัก ทุกคนต่างเอ่ยชมว่าอร่อยทำให้ทั้งคู่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
กะปิชั้นดีคู่กับซี่โครงแพะชั้นเลิศ ไม่ต้องใส่อะไรเพิ่มทั้งนั้น รอจนทอดซี่โครงเสร็จ เอาขึ้นจากกระทะ แล้วก็กินได้เลย
เมื่อเด็กอ้วนเห็นซี่โครงแพะที่พ่อฉินสือโอวทำ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมกลับบ้าน พอพลบค่ำก็กอดถือแก้วน้ำใบใหญ่คอยบ้วนปากอยู่ตลอด วินนี่ถามด้วยความแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องให้ฉินสือโอวเอ่ยปากเลย เถียนกวาก็แย่งเล่าเรื่องโชคร้ายที่เด็กอ้วนเจอในสวนผักให้ฟังไปรอบหนึ่ง
หลังจากที่เด็กอ้วนกินมะระเข้าไป ก็ไม่ได้กินสิ่งอื่นต่ออีกเลย มะระเหล่านี้ก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพจากพลังโพไซดอนเช่นกัน จึงขมมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าได้ต้มในน้ำเดือดทิ้งสักรอบ ก็จะมีเพียงรสชาติกรอบอร่อยเหลืออยู่
ฉินสือโอวพูดอย่างดีใจว่า “ตอนนั้นลูกสาวทำดีมาก เธอบอกกับบูลน้อยว่ากินไม่ได้ แต่ว่าบูลน้อยไม่ฟัง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เถียนกวารีบวิ่งหนี ฉินสือโอวยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูสิ ลูกสาวช่างถ่อมตัวจริงๆ อายจนไม่กล้ารับคำชื่นชมเลยเหรอเนี่ย?”
วินนี่ยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น ท้าวสะเอวแล้วตะโกนว่า “เถียนกวา กลับมาหาหม่าม๊าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เถียนกวาวิ่งหอบหนีไป แล้วหันกลับมาบอกว่า “เถียนกวาไม่เอาหม่าม๊าแล้ว เถียนกวาจะไปหาคุณย่า”
ฉินสือโอวมึนงงไปหมด ถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
วินนี่ตอบด้วยอารมณ์ขุ่นๆ ว่า “ไม่น่าบูลน้อยถึงไม่ฟังคำพูดของเราแล้วดึงดันจะกินให้ได้ เถียนกวาเด็กนิสัยไม่ดี ปกติตอนที่เธออยู่กับบูลน้อย ของที่อร่อยเธอก็จะบอกว่าไม่อร่อย ยิ่งของอร่อยเท่าไรก็จะบอกว่าไม่อร่อยเท่านั้น บูลน้อยถูกเธอหลอกตั้งหลายครั้ง ตอนหลังมารู้เรื่องนี้เข้า พอเถียนกวายิ่งบอกว่าไม่อร่อย เขาก็จะต้องกินให้ได้”
ฉินสือโอวเพิ่งจะเข้าใจว่าตอนนั้นเมื่อได้ยินคำพูดชักชวนของเถียนกวาแล้ว บูลน้อยถึงดึงดันจะกินให้ได้ เขานึกว่าเด็กน้อยเข้าสู่วัยไม่เชื่อฟังก่อนถึงเวลา แต่ที่แท้โดนเถียนกวาหลอกนี่เอง!
ระหว่างรับประทานอาหาร ฉินสือโอวเรียกบูล แซ็ก นีลเซ็นและคนสนิทของเขามากินด้วยกัน ชาร์คและซีมอนสเตอร์เป็นคนคอยดูแลฟาร์มปลาแห่งที่สาม ส่วนเกิง จุนเจี๋ยจัดการคนงานที่ฟาร์มปลาแห่งที่สอง และเบิร์ดประจำอยู่ที่นิวยอร์กดูแลร้านอาหารต้าฉินในอเมริกาเหนือ
วินนี่เตรียมพริกไทยดำ เกลืองา พริกป่น ซอสมะเขือเทศและเครื่องปรุงอื่นๆ ไว้ให้เรียบร้อย เนื้อทอดจะมีรสชาติดีขึ้นถ้าได้โรยเครื่องปรุงเหล่านี้
เมื่อมองไปที่ชาวประมงที่เหลือเพียงไม่กี่คน ไม่รู้ทำไมฉินสือโอวนายใหญ่ถึงรู้สึกอยู่ดีๆ ก็เสียใจ พูดขึ้นว่า “เพื่อนผองทั้งหลาย ทำไมพวกเราถึงมีเหลือกันแค่นี้แล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ เมื่อไรจะเรียกคนอื่นๆ กลับมา มาจัดปาร์ตี้ให้ทุกคนครึกครื้นกันดีกว่า!”
บูลเอาซี่โครงโรยพริกไทยดำยัดใส่ปากลูกชาย หัวเราะแล้วพูดว่า “กัปตันนี่เป็นเรื่องดีเลย ฮ่าๆ พวกตัวใหญ่ทุกคนอยู่ข้างนอกคนเดียวและชีวิตของทุกคนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความสุขไม่น้อยเลย”
ฉินสือโอวกลอกตามองบน มีความสุขบ้าบออะไร!
ขณะที่หู่จือและเป้าจือกำลังสะบัดหางไปมาเพื่อรอกินกระดูกอยู่นั้น อยู่ดีๆ พวกมันก็วิ่งออกไป หลังจากนั้นก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวรู้ว่านี่หมายถึงมีคนรู้จักมาหา
เป็นจริงดั่งคาด ชายหญิงคู่หนึ่งเดินตามเข้ามา คือโหวจื่อเซวียนและหวงเจียเจีย
ฉินสือโอวไม่ได้เจอโหวจื่อเซวียนมาสักพักแล้ว ตั้งแต่สองปีที่แล้ววินนี่คาดหวังว่าจะมีลูกเขาก็ไม่ค่อยได้เข้าไปในเมือง จึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหวงเจียเจียมาถึงที่เมืองเมื่อไร
รีบทักทายทั้งคู่และเชื้อเชิญให้นั่งกินข้าวด้วยกัน โหวจื่อเซวียนหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่ นี่ผมมาตามกลิ่นหอมเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ ผมตั้งใจพาเจียเจียมาขอกินข้าวที่นี่ด้วย พี่จะยินดีต้อนรับไหมครับ?”
หวงเจียเจียดึงเขาเบาๆ สีหน้าตำหนิเขาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกว่าเขาพูดแบบนี้ไม่เหมาะสมเท่าไร
แต่ฉินสือโอวไม่ถือสา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีสิ ยินดีต้อนรับแน่นอน! รีบนั่งเร็ว บูล เทเหล้าให้โฮ่วจื่อมันหน่อย ในเมื่อเขามาขอข้าวกิน ฉันก็ต้องดูแลให้อิ่มท้องสำหรับอาหารทุกอย่าง”
โฮ่วจื่อกินซี่โครงแพะกับกะปิไปชิ้นหนึ่ง รีบยกนิ้วหัวแม่มือเอ่ยปากชมว่า “อืม อร่อยมาก รสชาติของซี่โครงแพะคือที่สุด! คุณลุงกับคุณป้าต้องเป็นคนทำแน่ๆ คุณลุงกับคุณป้าทำอาหารเก่งมากเลยครับ!”
พ่อของฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราชอบกินก็กินเถอะ ฮ่าๆ กินเยอะๆ หน่อย ซี่โครงแพะทั้งตัวฉันทอดไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนกินเต็มที่้เลยนะ!”
ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าโหวจื่อเซวียนมาหาตัวเองต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาถึงฟาร์มปลาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงรอเขาเอ่ยปาก
เป็นไปดั่งคาด เมื่อทานไปได้สักพัก โหวจื่อเซวียนก็พูดขึ้นว่า “พี่ ผมอาจจะต้องลาหยุดยาว หรือเป็นไปได้แม้กระทั่งว่าจะลาออก”
ฉินสือโอวตกใจ ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? นายจะกลับจีนแล้ว?”
“จะแต่งงานแล้ว ใช่ไหม?” วินนี่ที่อยู่ด้านข้างยิ้มตาหยีแล้วถามขึ้น จากนั้นเธอก็เอาซี่โครงชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากเถียนกวาที่กำลังกินอย่างมูมมาม
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ หวงเจียเจียรีบก้มหน้างุด ส่วนโหวจื่อเซวียนยิ้มอย่างโง่เขลา แล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ครับ พี่สะใภ้เก่งมากเลยครับ ดูออกด้วย ใช่แล้วครับ ผมจะแต่งงานกับเจียเจียแล้ว ต้องกลับไปเตรียมงานแต่งและอย่างอื่นอีก ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยครับ”
เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวค่อยเบาใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตามใจนายเลย จะหยุดนานแค่ไหนก็ได้ นายแล้วก็คู่เกย์ของนายจะกลับไปด้วยกันใช่ไหม? ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันให้พอลหาคนงานชั่วคราวมาเพิ่มได้”
โหวจื่อเซวียนลูบหัวแล้วบอกว่า “แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีหรอกครับพี่ อีกอย่าง พูดตามตรงแล้ว พวกเราพอแต่งงานกันแล้วก็คงไม่ได้ไปไหนแล้ว ก็คงขยายกิจการอยู่ที่จีนแล้ว”
ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “นายอยู่ที่เกาะแฟร์เวลไม่มีความสุขเหรอ?”
วินนี่ที่ไปที่หลังมือของเขาแล้วพูดว่า “ฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องมีความสุขหรือไม่มีความสุขหรอก ฉันเข้าใจโฮ่วจื่อ คนคนหนึ่งไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้นนะ เขาก็ไม่ได้มีกิจการที่แคนาดา อีกอย่างเพื่อนเขา ญาติเขาและเพื่อนของภรรยาต่างก็อยู่ที่จีนหมด”
โหวจื่อเซวียนมองไปที่เธออย่างซาบซึ้ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ เป็นแบบที่พี่สะใภ้พูดเลย ทั้งครอบครัว ญาติและเพื่อนต่างอยู่ที่จีน ทางที่ดีที่สุดคือทำงานขยายกิจการที่ประเทศจีนต่อไป เพราะอย่างไรก็ตามพ่อแม่ของผม แม่สามีของผมและพ่อตาของผมก็แก่แล้ว ดังนั้นเราต้องเป็นคนกตัญญูครับ”
ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าอพยพมาทางนี้ก็ได้แล้ว แต่เมื่อมองไปที่พ่อแม่ของตัวเองที่ไม่ยอมย้ายมา เขาจึงเก็บคำพูดนี้กลับคืนไป หลังจากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะค่อนอึมครึม เถียนกวาและบูลน้อยอยู่ดีๆ ก็งัดข้อกันเอง
บูลน้อยเห็นว่าพออยู่ด้านข้าง จึงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาใช้ประโยชน์จากน้ำหนักของเขากระแทกเถียนกวาล้ม ตะโกนขึ้นว่า “วันนี้หนิวหนิวจะเอาชนะเธอ!”
เถียนกวาไม่กลัว ตะโกนใส่ว่า “หู่จือ เป้าจือ หมาป่าตัวซวย มานี่เดี๋ยวนี้ จัดการมันซะ!”
ฉินสือโอว “…”
………………………………………………..