ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 256 การประนีประนอมของสเปน
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ตัวหนึ่งนี่ถือว่าโชคดีเหรอครับ? ชาลส์ตกได้สองตัว ตาแก่เคนต์ก็ตกได้สองตัว ได้ยินว่าเฟล็บส์ตกได้สามตัวแน่ะ”
“ใช่เลย ฉิน ฉันคงต้องขอแย่งหมวกของกัปตันโชคช่วยของนายไปแล้วล่ะ” เสียงแหบแห้งดังมาจากข้างหลัง เขาหันกลับไปมอง เป็นเฟล็ปส์จากเรือลักกี้นั่นเอง
เรือลักกี้จอดเทียบอยู่กับเรือบอลหิมะ เฟล็ปส์กระโดดขึ้นมา หู่จือและเป้าจือก็วิ่งเข้าไปใกล้พร้อมทำท่าขู่ทันที
“โว้ๆ เจ้าหนุ่มแข็งแรงทั้งสอง ฉันเป็นเพื่อนของพ่อพวกแกเอง พวกแกจะกัดฉันไม่ได้นะ” เฟล็บส์รีบถอยหลังแล้วพูด
ฉินสือโอวผิวปากทีหนึ่ง หู่จือและเป้าจือจึงวิ่งกลับไปในห้องโดยสาร เบื้องหน้าพวกเขายังมีเงาเล็กๆ เงาหนึ่ง ก็คือบุชน้อย ที่กำลังโยกก้นอ้วนๆ ของมันวิ่งไปมาในห้องโดยสารอยู่
ตอนนี้บุชน้อยรู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็นลูกเก็บของพ่อตัวเองทำให้ออกสื่อไม่ได้ ฉินสือโอวแค่ผิวปาก มันก็ต้องรีบซ่อนตัวไว้
เฟล็บส์ออกมาดูผลงานตัวเอง แล้วถือโอกาสพูดชมตัวเองไปด้วย “ฉันจับได้ปลาสามตัว พอดีสามวันวันละตัว แต่ว่าฉันก็ยังต้องขอบคุณนายนะ ฉิน นายเป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง ไม่นึกเลยว่านายจะแบ่งน้ำแข็งมาให้ฉัน”
ถังเก็บความเย็นของเรือลักกี้ไม่ค่อยดี สามารถเก็บน้ำแข็งได้สองวันเท่านั้น เมื่อฉินสือโอวรู้จึงแบ่งเศษน้ำแข็งที่เขาใช้เหลือให้ไป ทำให้เขาอยู่ต่อได้อีกวัน เท่ากับว่าช่วยเขาจับปลาได้อีกตัว
ลูกชายของเฟล็ปส์เมื่อขึ้นฝั่งแล้วก็รีบไปซื้อไอซ์ไวน์มาสองขวด หลังซื้อมาก็รีบยื่นให้ฉินสือโอวขวดหนึ่งด้วยท่าทีที่นอบน้อม เฟล็บส์ถือขวดไอซ์ไวน์ชนกับฉินสือโอว แล้วพูดว่า “แด่การเก็บเกี่ยวที่ดี ชนกันเถอะ!”
ตาแก่เจมส์ที่กำลังคิดเงินอยู่ทางนั้น พูดขึ้นว่า “เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ? ฉันบอกว่านายคือกัปตันโชคช่วยใช่ไหม? ใช่จริงๆ นายน่ะคือกัปตันโชคช่วย”
เฟล็บส์พูดว่า “ไม่ใช่ ผมต่างหากคือกัปตันโชคช่วย”
ตาแก่เจมส์เบะปากแล้วพูดว่า “ไม่ นายไม่ใช่ เป็นฉินต่างหาก รู้ไหมว่าเพราะอะไร? เพราะเมื่อเริ่มต้นฤดูล่าปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ก็เท่ากับฤดูล่าปลาทูน่าครีบเหลืองน่ะจบไปแล้ว ดังนั้นเมื่อวานราคาของปลาทูน่าในตลาดจีนจึงขึ้นไปอีก 15% แต่ฉินก็ยังโชคดีจับปลาทูน่าครีบเหลืองได้ตั้งเยอะ”
ฤดูของปลาทูน่าครีบน้ำเงินคือเดือนมีนาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม หรือที่ชาวประมงอเมริกาเรียกกันติดปากว่าช่วงทองแปดเงินเก้าดำสิบนั่นเอง เหตุผลที่เรียกกันอย่างนี้ เพราะว่าเดือนสิงหาคนั้นเป็นเดือนเริ่มต้นของการล่าปลา จำนวนปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่จับได้จะมากที่สุด เดือนกันยายนจะรองลงมา และพอถึงเดือนตุลาคมนั้นพูดได้ว่าแทบจับปลาไม่ได้เลย
ฤดูจับปลาทูน่าครีบเหลืองนั้นมีเพียงสองเดือน คือกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคม หรือก็คือปลาที่มีจำนวนมากนั้นระยะเวลาในการจับก็จะยิ่งสั้นตาม เหตุผลเป็นเพราะเหล่าบริษัทหาปลาทั้งหลาย มักจะใช้อวนล้อมและอวนลากในการจับปลาทูน่าครีบเหลือ หว่านลงไปเพียงครั้งเดียวก็สามารถจับได้หลายตันเลย
ฉินสือโอวรับเช็คเงินสดจำนวนสี่หมื่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐมา เขาสะบัดเช็คไปมาหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมรู้สึกไม่อยากกลับไปเลี้ยงปลาเลย ดูสิครับ ออกทะเลวันเดียวก็หาเงินได้ถึงหนึ่งหมื่นเหรียญเลย หากออกทะเลไปตลอดฤดูล่าปลางั้นก็คงจะหาได้สักสี่ห้าแสนเหรียญใช่ไหมครับ?”
ชาวประมงหลายคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา เฟล็บส์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หยุดหัวเราะได้แล้ว ฉินได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกัปตันโชคช่วยนะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะจับปลาได้เยอะก็เป็นได้ ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ยากจนฉันเองก็ไม่อยากเชื่อก็เถอะ ฮ่าๆ ”
ในหนึ่งฤดูหาปลานั้น กัปตันที่ดีจะหาปลาได้มูลค่ามากที่สุดก็ประมาณหนึ่งแสนสี่หมื่นถึงห้าหมื่นเหรียญ โดยทั่วไปแล้วก็ไม่เกินหนึ่งแสนเหรียญ อีกอย่าง เงินนี่ก็ไม่ใช่ของกัปตันคนเดียว ส่วนใหญ่เรือแทบจะทุกลำต่างก็จ้างคนงานไม่ก็ทำงานด้วยกันสองสามีภรรยา ทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น
ไม่นานเรือของพวกอาร์บีเอฟเอฟก็เทียบท่า สีหน้าพวกเขาดูไม่ได้เลย มีคนแอบด่าเสียงเบาด้วย
ตาแก่เคนต์ที่ขายปลาเสร็จแล้วเดินผ่านมา เมื่อเห็นทุกคนกำลังหัวเราะกันอยู่จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้รู้ถึงคำพูดของฉินสือโอวที่พูดเมื่อกี้ เขาชี้นิ้วไปที่นักตกปลาพวกนั้น แล้วพูดว่า “ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่จับปลาได้ดีที่สุด พอถึงเดือนกันยายนกับเดือนตุลาคมแล้ว คงต้องเหมือนไอ้หน้าโง่พวกนั้น กลับมามือเปล่าทุกวันแน่เลย”
ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย การหาเลี้ยงปากท้องโดยการพึ่งพาทะเลนั้น ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ฉินสือโอวถามว่าคืนนี้จะจัดงานสังสรรค์กันหรือเปล่า ชาลส์และคนอื่นๆ ต่างก็พากันส่ายหัว เฟล็บส์ตบท้องตัวเองแล้วพูดอย่างคาดหวังว่า “กินปลาย่างและแฮมเบอร์เกอร์มาสามวันแล้ว ฉันในตอนนี้คิดถึงสลัดผลไม้และข้าวผัดหมูสับฝีมือของเดเลียมากเลย ต้องรีบกลับไปกินชุดใหญ่ๆ แล้วล่ะ”
“กินแต่ข้าวเหรอ กินคนด้วยหรือเปล่า?” มีคนพูดขึ้น
ไม่นาน เหล่าคนเถื่อนพวกนี้ก็พากันหัวเราะร่าขึ้นมา
พูดตามตรง ฉินสือโอวเองก็กินแฮมเบอร์เกอร์ ปลาย่างจนเบื่อแล้ว ยิ่งเบื่อกับการนอนบนเตียงเล็กๆ ที่โยกไปมาด้วย คืนนี้เขาต้องไปบ้านวิสเติลเพื่อกินอิ่ม นอนอุ่นเสียแล้ว
เขาขึ้นเงินแล้วไปบ้านวิสเติล แม่ของวิสเติลเข้าครัวไปทำอาหาร ฉินสือโอวให้เงินเธอไปห้าร้อยเหรียญ บอกเธอว่า ขอแค่ไม่ใช่ปลา จะทำเมนูอะไรก็ได้
เมื่อไม่มีอะไรทำ ฉินสือโอวจึงเปิดโทรศัพท์มือถือเช็กข้อความ บนทะเลนั้นไม่มีสัญญาณ ตอนนี้เขามีทั้งสายไม่ได้รับและข้อความที่สะสมไว้ถึงสามวัน คนที่โทรและข้อความมามากสุดคือวินนี่ ส่วนคนที่รองลงนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกใจ เพราะเป็นการโทรและส่งข้อความมาจากบิลลี่ สเต็มเมอร์
เขาโทรศัพท์หาวินนี่ก่อน ทั้งสองคนพูดหยอกล้อกันไปสักพัก หลังจากพูดคำหวานที่สื่อว่า ‘รัก’ และทำท่าทางที่สื่อว่า ‘ส่งจูบ’ แล้ว เขาก็เปลี่ยนไปโทรกลับหาบิลลี่ สเต็มเมอร์
“มีอะไรเหรอ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเร่งด่วน?” ฉินสือโอวถาม
หลังบิลลี่รับสายของเขาแล้วก็โล่งอกทันที พูดว่า “ให้ตายเถอะ ฉิน ต่อไปอย่าหายตัวไปอีก โอเคไหม? นายทำฉันตกใจเลย ฉันถึงกับโทรไปหาคุณทนายเออร์บัก ถึงได้รู้ว่านายออกทะเลไป”
“โอเค เพื่อไม่ให้เสียเวลา รัฐบาลสเปนสารเลวพวกนั้นยอมประนีประนอมแล้วนะ ฮ่าๆ ไอ้พวกชั่วพวกนั้น นายไม่ได้มาเห็นสีหน้าพวกมัน หลังจากที่ได้เข้าไปตรวจเช็คประวัติการเดินเรือของเรือดังเคิลออสเตียสแล้ว สะใจสุดไปเลย ทำหน้าอย่างกับไปกินขี้หมามาอย่างนั้นแหละ…”
คำพูดหลังจากนั้นล้วนเป็นคำพูดที่ด่ารัฐบาลสเปนและคำพูดสะใจทั้งหมด แต่ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่า ไอ้หมอนี่ไม่ได้เป็นห่วงที่เขาติดต่อไม่ได้ แต่คงเป็นห่วงตัวเองที่หาคนแบ่งปันความสุขนี้ด้วยไม่ได้มากกว่า
ดั่งคำที่ว่าขัดขวางเส้นทางทำมาหากินก็เหมือนกับไปฆ่าพ่อแม่ของคน โดยรวมแล้วบิลลี่เป็นเด็กที่มารยาทดีคนหนึ่ง อย่างน้อยก็นอกจากเรื่องรัฐบาลสเปนแล้วก็ไม่เคยพูดคำหยาบ แต่พอได้พูดถึงรัฐบาลสเปนเท่านั้น คำด่าที่ออกมานั้นก็พรั่งพรูออกมาราวกับเพลงแร็บของเอ็มมิเน็มอย่างไรอย่างนั้น
หลังฉินสือโอวปล่อยให้เขาระบายเสร็จแล้ว ก็พูดว่า “ก็ไม่เลวนะ รัฐบาลสเปนทำงานได้ถือว่าเด็ดขาดดีเหมือนกันนะ…”
พอพูดจบ ฉินสือโอวก็รู้สึกเสียใจทันที เขาไม่ควรพูดชมรัฐบาลสเปนต่อหน้าบิลลี่นี่นา ให้ตายเถอะทำไมตัวเองถึงได้โง่อย่างนี้ โง่เง่าจริง นี่คงต้องโดนคำด่าระเบิดใส่แน่เลย!
“เด็ดขาดอะไรกัน ไอ้เลวพวกนั้นสมควรที่จะไปกินยาถ่ายเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรคือเด็ดขาดต่างหาก! การไปเจรจาต่อรองกับคนสารเลวพวกนี้ยากพอๆ กับการกินขี้หมาเลย ทุกวันพวกเขาทำตัวเหมือนกับต้องไปทำแท้ง…”
แว้ดๆ แว้ดๆ ฉินสือโอวฟังคำด่าจนหน้าซีดชา คำด่าทอระเบิดอยู่ห้านาที ทำให้เขาได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่เง่าแค่ไหนลงไป
ดีที่ฉินสือโอวแก้เกมทัน เขารีบเปลี่ยนจุดยืนไปร่วมเออออด่ารัฐบาลสเปนกับบิลลี่ต่อ ด่าว่าพวกเขาเป็นพวกเหยียดผิว พวกเขามีรักร่วมเพศเยอะ พวกเขาเน่าเฟะ พวกเขาป่าเถื่อน รวมๆ คือด่าว่าอย่างสาดเสียเทเสีย
ความจริงเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ เขาเป็นลูกชายคนรองของบริษัทโอดีสซีย์ บ้านของบิลลี่นั้นถูกรัฐบาลสเปนริบเงินไปถึงสามร้อยห้าสิบล้านเหรียญสหรัฐเลย สามร้อยห้าสิบล้านเลยเชียว แถมยังเป็นเงินเหรียญสหรัฐอีก หากคิดเป็นเงินหยวน ก็เท่ากับสองพันล้านเลย!
………………………………….