ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 277 การต่อสู้ของมาร
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ฉินสือโอวพบว่ากวางมูสตัวน้อยกำลังพยายามอย่างมากที่จะลุกขึ้นยืน
แต่แขนขาของมันถูกหนีบด้วยไม้กระดาน ไม่สามารถลุกขึ้นได้ แค่ขยับพักเดียวก็หายใจหอบเหนื่อยแล้ว และเมื่อรู้สึกเหนื่อยมันก็จะไปเลียน้ำในถังข้างๆ
ซึ่งทำให้ฉินสือโอวรู้ว่าเจ้าตัวเล็กฟื้นตัวได้ดี และคาดว่ามันสามารถลุกยืนได้แล้วหลังจากที่ถอดไม้กระดาน แต่เขาทำอย่างนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ เมื่อคืนขาหักไปแล้ว แค่คืนเดียวก็ฟื้นตัวแล้วเหรอ?
เขากังวลว่าถ้ากวางมูสน้อยดื้อดึงอย่างนี้จะทำให้ไม้กระดานหัก ฉินสือโอวมอบหมายให้หู่จือและเป้าจือดูเจ้าตัวเล็กนี้ให้ดี ให้มันอยู่นิ่งๆ
หู่จือและเป้าจือทำภารกิจนี้ด้วยความภักดี เด็กน้อยทั้งสองก้าวไปข้างหน้า ถ้ากวางมูสน้อยขยับ พวกมันก็จะแยกเขี้ยวใส่มันและทำเสียงพึมพำจากลำคอเพื่อทำให้ตกใจ
กวางมูสน้อยยังเด็กมากจริงๆ เมื่อเทียบกับกวางมูสตัวเต็มวัยที่มีความสูงระดับไหล่สองเมตร และมีความยาวลำตัวสามเมตรแล้ว มันยังเป็นแค่เด็กน้อยจริงๆ อย่างไรก็ตามเผ่าพันธุ์ของมันคือเจ้าแห่งกวาง
รูปร่างเล็ก อายุน้อย ความกล้าหาญก็น้อยนิด แค่หู่จือและเป้าจือแยกเขี้ยวใส่ มันก็ม้วนตัวและซ่อนตัวในต้นเมเปิลไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว
ฉินสือโอวเฝ้าสังเกตอยู่พักหนึ่ง เขาเพิ่งเคยเห็นกวางมูสขนทองครั้งแรก นี่เป็นขนสีทองจริงๆ ไม่ใช่ขนสีเหลือง ดูเหมือนว่าได้ทาด้วยสีทองหนึ่งชั้น เมื่อแสงอาทิตย์ส่องประกาย ราวกับว่ามันก็สามารถเปล่งประกายได้ด้วยตัวมันเอง
ชาร์คและซีมอนสเตอร์ก็เพิ่งเคยเห็นกวางมูสที่มีขนสีอย่างนี้ครั้งแรกเหมือนกัน ทั้งสองปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง และลงความเห็นว่า “คงเพราะมันเป็นกวางเผือกเลยถูกฝูงกวางไล่ออกฝูง พอไม่มีที่ไปเลยลงจากเขามา เมื่อคืนถูกแสงไฟของบอสดึงดูดเลยพุ่งเข้าใส่”
กวางมูสน้อยมีจิตวิญญาณของมนุษย์อย่างสูง เมื่อชาร์คและคนอื่นกำลังพูดถึงมัน มันก็เงยหน้าขึ้นมามองสองคนนั้น
ฉินสือโอวถามว่า “เจ้าตัวนี้อร่อยไหม?”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ กวางมูสน้อยหดคออย่างระมัดระวังทันที มันมุดหัวเข้าไปในหญ้ารอบๆ ต้นเมเปิล
อันที่จริงสำหรับกวางมูสน้อยตัวนี้แล้ว ฉินสือโอวปวดหัวกับมันจริงๆ เมื่อมีมันอยู่ ผู้หญิงเหล่านั้นก็จะมีเหตุผลที่จะมาที่ฟาร์มปลาของเขา คาดว่าสิ่งล่อใจในอนาคตข้างหน้าน่าจะไม่น้อย
ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ฉินสือโอวได้รับโทรศัพท์ของวินนี่อย่างกะทันหัน แอร์โฮสเตสขาสวยได้บอกข่าวดีหนึ่งกับเขาว่า “เสี่ยวฉิน อีกสองวันฉันก็สามารถไปหาคุณได้แล้วนะ”
“คุณลาอีกแล้วเหรอ?” ฉินสือโอวถาม
แอร์โฮสเตสขาสวยยิ้มอย่างมีชัยและพูดว่า “ไม่ ครั้งนี้ไม่ได้ลา แต่ลาออกเลย!”
ฉินสือโอวดีใจมากและพูดว่า “ในที่สุดคุณก็เต็มใจที่จะเป็นภรรยาเต็มเวลาแล้วใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ แอร์โฮสเตสขาสวยทำเสียง ‘หึ’ และพูดว่า “ไม่ใช่ภรรยาเต็มเวลา แต่เป็นไกด์นำเที่ยว เมื่อวานคุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเกาะแฟร์เวลไม่มีไกด์นำเที่ยว คุณเลยต้องทำพาร์ทไทม์ ฉันไม่อยากให้คุณเหนื่อยอย่างนี้ เพราะงั้นให้ฉันได้แบ่งเบาความกดดันของคุณเถอะ”
ได้ ฉินสือโอวเข้าใจในทันทีแล้วว่าสาวน้อยคนนี้กลัวตนเองจะยุ่งกับสาวสวยในประเทศบ้านเกิด
แต่โดยรวมแล้วฉินสือโอวไม่ได้เป็นคนบ้ากาม สำหรับเขาแล้ว การเพลิดเพลินกับชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าวินนี่ยอมแต่งงานกับเขา แค่มีภรรยาที่ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่และสง่าอย่างนี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ
ตามที่คิดไม่มีผิด ในช่วงเช้าตอนที่ฉินสือโอวไปรับเหล่านักท่องเที่ยวนั้น สาวๆ ต่างจะไปดูกวางมูสน้อยที่ฟาร์มปลาของเขา
ฉินสือโอวถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณต้องการแค่ไปเยี่ยมเยียนกวางมูสน้อยเหรอ?”
สาวๆ พยักหน้ากันอย่างเด็ดขาด พวกเธอคงพูดไม่ได้หรอกว่าตัวเองกำลังจะไปสำรวจสินทรัพย์ของขุนนางฉิน ต้องนิ่ง รักนวลสงวนตัว ห้ามทิ้งสองข้อนี้เด็ดขาด
ฉินสือโอวพาพวกเธอออกจากที่พัก มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งยืนยิ้มให้พวกเธอข้างนอก ข้างๆ ชายร่างใหญ่คือรถกระบะ กวางมูสสีทองนอนมองสาวๆ จากท้ายกระบะด้วยสายตาบริสุทธิ์
สาวๆ ยังไม่ยอมตายใจ พวกเธอต้องการให้เปลี่ยนโปรแกรม บอกว่าวันนี้จะไปอาบแดดและสกีน้ำริมทะเล
ความยุติธรรมอยู่เหนือความชั่วเสมอ ฉินสือโอวรับคำขอของพวกเธอ พาพวกเธอไปที่ชายหาดของพื้นที่ประมงสาธารณะ ที่นั่นได้เตรียมเจ็ทสกีและเรือหัวกว้างไว้แล้ว…
คราวนี้สาวๆ หมดหนทางแล้ว ยังไงพวกเธอก็ไม่ควรเปลี่ยนโปรแกรมอีกครั้งใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือกับฉินสือโอวได้ เมื่อมาถึงริมทะเล ก็ต้องเปลี่ยนมาใส่บิกินี่กัน
นิวฟันด์แลนด์เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตะวันออกสุดของแคนาดา ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 46 และ 61 องศาเหนือ เกาะแฟร์เวลตั้งอยู่ทางใต้สุดของนิวฟันด์แลนด์ ใกล้กับละติจูด 45 องศาเหนือ ตามหลักแล้ว ในสถานที่แห่งนี้มีอากาศที่ไม่ร้อนเกินไปในฤดูร้อน
แต่เนื่องจากกระแสน้ำอุ่นในเม็กซิโก ทำให้สภาพภูมิอากาศของเกาะแฟร์เวลเป็นสภาพภูมิอากาศทางทะเลทั่วไป ที่จะอบอุ่นในฤดูหนาว และร้อนมากในฤดูร้อน ความร้อนที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผา แต่กระแสลมอุ่นเองที่มีผลต่ออุณหภูมิของอากาศ
อากาศร้อน และอยู่ริมทะเลด้วย หญิงสาวถอดชุดของตนออกอย่างไม่อายใคร เผยให้เห็นชุดว่ายน้ำบิกินี่ที่หลากหลายสีสัน
ฉินสือโอวตกตะลึง ดูเหมือนหญิงสาวเหล่านี้มีการเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีใครต้องไปเปลี่ยนชุดเลย
เจ็ทสกี เรือหัวกว้าง และเรือเด็คล้วนแต่ถูกคิดรวมในเงินมัดจำของสาวๆ พวกเธอได้ไปเช่าสเก็ตบอร์ดและสกีน้ำที่ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาด้วย
ฮิวจ์เป็นคนฉลาด เขาได้เตรียมเครื่องดื่มบนท่าเรือด้วย ล้วนแต่เป็นน้ำผลไม้ปั่นสดหรือไม่ก็ไวน์ ต้นทุนต่ำ แต่ราคาแพง
ฉินสือโอวหยิบไอซ์ไวน์มาขวดหนึ่ง ฮิวจ์ยื่นมือมาแล้วพูดว่า “ห้าสิบดอลลาร์ เพื่อน”
“นายไปปล้นธนาคารเถอะ” ฉินสือโอวปฏิเสธ และโยนเงินให้หนึ่งดอลลาร์ แล้วเดินจากไปอย่างภาคภูมิใจ
ฮิวจ์คนน้องยังคงไม่ยอมตายใจจากสาวๆ เห็นพวกเธอสวมบิกินี่เล่นสกีน้ำและอาบแดดแล้ว เขาก็เดินหน้าไปร่วมด้วย แจกครีมกันแดดขวดเล็กไปด้วยคุยโม้ตัวเองไปด้วยว่า “นี่เป็นครีมกันแดดสูตรพิเศษ มีเงินมากเท่าไรก็หาซื้อไม่ได้ เป็นสูตรลับเฉพาะของชาวบีโอธัคเรา ไม่เพียงแต่สามารถป้องกันแสงแดดได้ ยังสามารถบำรุงผิวได้อีกด้วย…”
“ชาวบีโอธัคคืออะไร?” สาวสวยคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย ฮิวจ์คนน้องบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว สำหรับชนเผ่าอื่นๆที่ไม่รู้จัก คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกสงสัย
ฮิวจ์คนน้องได้หมวกขนไก่ฟ้าจากชนเผ่าซูในเทือกเขาร็อกกี เขาพูดว่า “เห็นหมวกใบนี้ไหม? นี่เป็นหมวกของหัวหน้าเผ่าชาวบีโอธัคของเรา สำหรับเผ่าพันธุ์ของเรา เรื่องมันยาวมาก”
ฉินสือโอวหัวเราะอยู่ข้างๆ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฮิวจ์คนน้องกำลังเริ่มพล่ามอีกครั้ง
เกี่ยวกับชาวบีโอธัค ฉินสือโอวก็พอรู้อยู่บ้าง เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากในนิวฟันด์แลน เป็นชนเผ่าเร่ร่อน โดยทั่วไปแล้ว ในฤดูร้อนจะใช้ชีวิตในพื้นที่ชายฝั่งทะเล และในฤดูหนาวจะย้ายเข้าฝั่ง
เมื่อนักสำรวจชาวอังกฤษที่เดินทางไปที่นิวฟันด์แลนด์ครั้งแรก ชนพื้นเมืองกลุ่มแรกที่นักสำรวจได้คลุกคลีก็คือพวกเขา และเรียกพวกเขาว่า ‘เผ่าอินเดียนแดง’ เพราะพวกเขาชอบสวมชุดสีแดง
เช่นเดียวกับเผ่าซู ในตอนท้ายชาวบีโอธัคถูกชาวอังกฤษฆ่า ชาวอังกฤษต้องการยึดครองพื้นที่ล่าสัตว์ของพวกเขา จึงขับไล่พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ราบ เมื่อต้นศตวรรษที่ 19 คนผิวขาวมีอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้น สามารถสังหารพวกเขาได้ตามต้องการ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ภายใต้การเข่นฆ่าของคนผิวขาวและโรคในยุโรป ในที่สุดชาวบีโอธัคก็สูญพันธุ์ การหายตัวไปอย่างน่าเศร้านี้ยังคงมีอยู่ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์แคนาดา ถูกส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ให้เป็นบทเรียน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีชื่อเสียงมาก แม้แต่สาวๆ ในแดนไกลอย่างจีนก็รู้ ฮิวจ์คนน้องกำลังคุยโม้อยู่ หลังจากเขาคุยโม้เสร็จ ซ่งไป๋ลู่ถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “จบหรือยัง?”
ฮิวจ์คนน้องสนใจเจ๊ใหญ่ขายาวคนนี้เป็นพิเศษ จึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าคุณต้องการรู้มากกว่านี้ก็ไว้ไปที่ร้านขายของชำของผมได้นะ ผมยอมเล่าทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับชนเผ่าผมให้คุณฟัง”
…………………………………………………….