ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 282 กี่เพ้าลายคราม
ตอนนี้ฟาร์มปลาบนเกาะแฟร์เวลขาดแคลนทรัพยากรเป็นอย่างมาก มีเพียงแค่ฟาร์มปลาต้าฉินที่ได้รับการลงทุนอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ที่มีความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง ส่วนฟาร์มปลาเอกชนที่เหลืออีกสามแห่ง เจ้าของฟาร์มปลาต่างก็ออกจากเกาะแฟร์เวลไปอยู่นครเซนต์จอห์นไม่ก็โทรอนโตกันหมดแล้ว
ฉินสือโอวต้องรีบซื้อฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้และฟาร์มปลาบ้านเกิดของปลาค็อดที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกอย่างเร่งด่วน ฟาร์มปลาทั้งสองแห่งนี้ถูกกั้นด้วยฟาร์มปลาต้าฉินซึ่งตอนนี้มีดงสาหร่ายยักษ์อยู่ใกล้ๆ กัน ทรัพยากรปลาในนี้ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ถ้าหากปล่อยให้เจ้าของของฟาร์มปลาทั้งสองแห่งรู้ถึงเรื่องนี้ ต่อให้เขาอยากซื้อฟาร์มปลาทั้งสองแห่งแค่ไหน ก็คงจะค่อนข้างวุ่นวายแล้วล่ะ
เมื่อคิดแล้วเขาก็เริ่มลงมือทำทันที ฉินสือโอวขอให้แฮมเล็ตช่วยติดต่อโรบินสัน รอท เจ้าของฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท เพื่อเจรจาเรื่องการซื้อขายฟาร์มปลาแห่งนี้
ครอบครัวรอทอาศัยอยู่ที่นครเซนต์จอห์น เป็นตระกูลที่ค่อนข้างใหญ่ในพื้นที่ เช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษของฮิวจ์ พวกเขาอพยพมาจากสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกานั่นเอง
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนในแวดวงสังคมชนชั้นสูงของนครเซนต์จอห์นกันทั้งนั้น แฮมเล็ตสามารถช่วยหาโอกาสให้ฉินสือโอวได้อย่างง่ายดาย
วันที่ 25 เดือนสิงหาคม จะมีงานชุมนุมของชาวอินูเปียตในนครเซนต์จอห์น ภรรยาของโรบินสัน รอทก็เป็นชาวอินูเปียตคนหนึ่ง ดังนั้นครอบครัวของพวกเขาก็ต้องไปเข้าร่วมงานนี้อย่างแน่นอน แฮมเล็ตโทรศัพท์ไปแค่หนึ่งครั้ง ก็สามารถช่วยหาจดหมายเชิญให้ฉินสือโอวได้ และให้เขาพาวินนี่ไปร่วมงานชุมนุมครั้งนี้
พอดีกับที่ชุดถังจวง (ชุดพิธีการของจีน) ของเขายังใหม่เอี่ยมอยู่ จึงสามารถใส่ไปร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ได้
เมื่อวินนี่ทราบว่าตัวเองต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เธอก็พาฉินสือโอวไปซื้อชุดราตรีใหม่ เนื่องจากเสื้อผ้าของเธอยังไม่ได้ถูกส่งมา ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่อเมริกาอยู่เลย
ฉินสือโอวพูดกับเธอว่า “ไม่ใช่ว่าคุณเองก็เอาชุดเดรสสวยๆ มาหลายชุดอยู่เหรอครับ? คงไม่ต้องซื้อหรอกมั้ง?”
วินนี่หลุดยิ้มออกมา “คุณน่ารักจริงๆ ฉิน ชุดเดรสพวกนั้นใส่ไปร่วมงานเลี้ยงเทศกาลฤดูร้อนของชาวอินูเปียตไม่ได้หรอกนะคะ นอกเสียจากว่าคุณจะไม่อยากทำธุรกิจกับมิสเตอร์รอทแล้ว”
เมื่อเห็นฉินสือโอวค่อนข้างสับสน วินนี่จึงช่วยจัดคอเสื้อให้เขาพร้อมทั้งอธิบายให้เขาฟังว่า “วันที่ 25 เดือนสิงหาคม เป็นวันเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวอินูเปียตเป็นอันสองรองลงมาจากเทศกาลมัสแครต แจมโบรี ในเดือนมีนาคม เทศกาลฤดูร้อน มีอีกชื่อเรียกคือ เทศกาลแมวน้ำ”
ฟังที่วินนี่อธิบาย ฉินสือโอวถึงได้เพิ่งเข้าใจความเป็นมา ชาวอินูเปียตมีถิ่นที่อยู่บนเขตหนาวเย็นในขั้วโลกเหนือ พวกเขามีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่ง่ายต่อการมีชีวิตรอดเลยแม้แต่น้อย
ในทุกๆ ปีจะมีสองช่วงเวลาที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับพวกเขา หนึ่งคือในช่วงมีนาคม ที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึงและน้ำแข็งเริ่มละลาย ในช่วงนี้พวกเขาจะมีการเฉลิมฉลองเป็นเวลาสามวัน เรียกว่า ‘เทศกาลมัสแครต แจมโบรี’
ส่วนช่วงเวลาสำคัญอีกหนึ่งช่วงที่เหลือก็คือช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ยี่สิบเอ็ดถึงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ เนื่องจากเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นแมวน้ำจะเข้าสู่ช่วงจับคู่ แมวน้ำจำนวนมากจะขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นมาหาคู่ของพวกมัน อีกทั้งแมวน้ำยังเป็นอาหารที่สำคัญของชาวอินูเปียต พวกเขาจะล่าแมวน้ำในช่วงเวลานี้ จึงเกิดเป็นเทศกาลนี้ขึ้นมา
สำหรับชาวอินูเปียตแล้ว ทั้งสองเทศกาลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถล่าสัตว์และกักตุนอาหารได้อย่างสุดความสามารถ เทศกาลมัสแครต แจมโบรีและเทศกาลแมวน้ำ ต่างก็เป็นตัวแทนของความปรารถนาในชีวิตของพวกเขา
ในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองทุกๆ คนจะแต่งกายอย่างสวยหรูและร้องเพลงเต้นรำอย่างสนุกสนาน ถ้าหากคนนอกอยากจะขอเข้าร่วมพวกเขาก็ยินดีต้อนรับ เพียงแต่ต้องแต่งกายอย่างหรูหราสวยงามเพื่อแสดงถึงความเคารพต่อเทศกาลนี้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าชาวอินูเปียตเป็นคนเย็นชา
วินนี่เห็นฉินสือโอวกำลังตะลึงงัน เธอจึงพูดกับเขาว่า “คุณไม่รู้จักชาวอินูเปียต เหรอคะ?”
ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบเธอไปว่า “ผมรู้แค่ว่าพวกเขาเขามีอีกชื่อที่เรียกว่าชาวเอสกิโม…”
“พระเจ้าช่วย!”วินนี่พูดกับเขาอย่างร้อนรนว่า “อย่าได้พูดชื่อเรียกแบบนี้ต่อหน้าชาวอินูเปียตอย่างเด็ดขาดเลยนะคะ! พวกเขาไม่ชอบถูกเรียกว่า ‘ชาวเอสกิโม’ เพราะว่าวิธีเรียกแบบนี้มาจากศัตรูของพวกเขา จากภาษาของชาวอเมริกันอินเดียนอัลกอนควิน มีความหมายว่า ‘พวกกินเนื้อดิบ’ แต่ ‘อินูเปียต’ เป็นคำที่พวกเขาใช้เรียกตัวเอง มีความหมายว่า ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์’”
ฉินสือโอวรู้สึกเศร้าซึม ชาวเอสกิโมเป็นชื่อเรียกที่เขาเรียนมาจากหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เขาจึงรู้สึกว่าประเทศสังคมนิยมของพวกเราขาดความเคารพผู้อื่นมาโดยตลอด
วินนี่บอกเล่าหลายสิ่งให้ฉินสือโอวได้รู้ ชาวอินูเปียตเป็น ‘ชนกลุ่มน้อย’ ของแคนาดา มีข้อควรหลีกเลี่ยงอยู่หลายอย่าง ที่แพร่หลายที่สุดในนั้นก็คือชื่อเรียก จะเรียกพวกเขาว่า ‘ชาวเอสกิโม’ ไม่ได้
เนื่องจากพวกเขามีความเชื่อว่า ‘มนุษย์’ เป็นตัวแทนสูงสุดของอาณาจักรแห่งชีวิต ‘พวกกินเนื้อดิบ’ ชื่อเรียกนี้เป็นการดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด นี่จะต่างกับสัตว์ป่าตรงไหนกัน?
แคนาดามีปัญหาเรื่ององค์ประกอบของชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนมาก อย่าเพิ่งพูดถึงปัญหาเรื่องผู้อพยพ เอาแค่ชาวพื้นเมืองอิสระกลุ่มใหญ่ทั้งสาม ชนพื้นเมืองอเมริกันที่เข้ามาตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรก ชาวเมทิส ชาวอินูเปียต
คนพวกนี้มีจำนวนทั้งหมดแปดแสนคน คิดเป็นสามเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในแคนาดา ในนั้นมี 69% ที่เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มแรก มี 26% ที่เป็นชาวเมทิส ส่วนชาวอินูเปียตมีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น ในจำนวนนั้น มีชาวอินูเปียตในนครเซนต์จอห์นอยู่ไม่ถึงหนึ่งพันคน เป็นเพียงเผ่าพันธุ์ขนาดเล็กเท่านั้น
แต่ก็มักจะเป็นเช่นนั้นที่ว่า เผ่าพันธุ์ยิ่งเล็กยิ่งมีประชากรน้อยเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งให้ความสำคัญกับความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง ถ้าหากถูกดูหมิ่นก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงแน่นอน
นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก คนทั่วไปมักจะพูดว่าประเทศที่ยิ่งใหญ่จะยิ่งมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ ทำไมน่ะเหรอ? ยิ่งประเทศมีขนาดใหญ่ มีทรัพยากรจำนวนมาก มีกำลังที่เข้มแข็ง ก็ย่อมมีความเชื่อมั่นมากเป็นธรรมดา เมื่อประสบกับการดูถูกเหยียดหยามก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่
ก็เหมือนกันกับคน คนที่มีความยอดเยี่ยมพวกนั้น ล้วนแต่ไม่สนใจคำวิจารณ์ของผู้อื่น นานๆ ครั้งเมื่อพี่ใหญ่พวกนั้นพบเจอกับผู้คนหรือสิ่งที่ไม่ให้ความเคารพพวกเขา พวกเขาก็จะหัวเราะอย่างไม่ถือสา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นแค่คนธรรมดา ความเคารพตนเองก็จะยิ่งมาก นี่ก็มักจะมีสาเหตุมาจากการขาดความมั่นใจของพวกเขาเอง
ดังนั้นตลอดทั้งการเดินทาง วินนี่จึงไม่หยุดที่จะเน้นย้ำกับฉินสือโอว นอกจากการเจรจาธุรกิจแล้ว ก็ไม่ควรที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกผูกพยาบาทได้อย่างง่ายดาย
ในห้างร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในนครเซนต์จอห์น วินนี่กำลังเลือกซื้อชุดกี่เพ้าทำมืออยู่ในร้านกี่เพ้าหลงเฟิ่ง เพื่อให้เข้าคู่กันกับชุดถังจวงของฉินสือโอว
ชุดที่วินนี่เลือกคือชุดกี่เพ้ายาวแบบช่วงสาธารณะรัฐจีน มีพื้นสีขาว ปักด้วยลายดอกบัวสีคราม
ลายครามของกี่เพ้าชุดนี้ไม่ใช่ลายดอกไม้สีเขียว แต่เป็นหนึ่งชื่อเรียกของศิลปะเครื่องลายครามจีน อย่างเช่นเครื่องเครื่องเคลือบราชวงศ์หยวน และเครื่องเคลือบลายครามประเภทต่างๆ ในวงการเครื่องเคลือบของแคนาดา ลายครามก็ถูกยกย่องว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติจีน แต่ความจริงแล้ว ลวดลายพวกนี้จะเป็นสีน้ำเงิน
พื้นสีขาวดุจหิมะและลวดลายเมฆสีครามขับส่งสีสันงดงามให้แก่กัน เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความสง่างามอย่างยิ่งยวด วินนี่ที่มีรูปร่างสูงโปร่งเมื่อสวมกี่เพ้าตัวนี้ พร้อมทั้งม้วนมวยผมดำสลวยที่ปักปิ่นปักผมรูปดอกบัวสีขาวนวล สวมถุงน่องสีเนื้อเข้าคู่กับรองเท้าส้นสูงเปิดหน้าเท้าสีน้ำเงิน การสั่นสะเทือนเท่านั้นที่จะสามารถนำมาพรรณนาถึงสิ่งนี้ได้
วินนี่เดินออกมาแล้วหมุนตัวหนึ่งรอบ ดวงตาของผู้ชายบางคนในห้างก็แทบจะทะลวงออกมา ฉินสือโอวส่ายหัวไปมาไม่หยุด วินนี่จึงขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า “ไม่สวยเหรอคะ? หรือว่าคุณไม่ชอบ?”
“ไม่ครับ ไม่อยากจะเชื่อเลย!”ฉินสือโอวกล่าว
วินนี่ยื่นมือออกไปดึงริมฝีปากล่างของฉินสือโอว เธอหัวเราะคิกคักแล้วพูดกับเขาว่า “ปากคุณหวานจังเลยนะคะ ถ้ากลับไปแล้วฉันจะให้รางวัลนะ”
เจ้าของร้านกี่เพ้าเฟิ่งหลงเป็นหญิงสาวท่าทางอ่อนโยนเธอแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางอย่างอ่อนๆ ตอนที่ฉินสือโอวกำลังจ่ายเงินแทนวินนี่ เธอก็ถามวินนี่ว่าสนใจที่จะถ่ายรูปโฆษณาให้กับที่ร้านบ้างไหมอยู่ตลอด สำหรับรูปลักษณ์ที่งดงามของวินนี่ในตอนที่สวมกี่เพ้าตัวนี้แล้ว ทำเอาเธอถึงกับชมออกมาอย่างไม่ขาดปาก
วินนี่ปฏิเสธเธอไปด้วยความสุภาพ แล้วเดินกอดแขนของฉินสือโอวออกมาจากห้างสรรพสินค้า ไม่ได้สนใจหญิงชายคนอื่นบนท้องถนน เธอมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
ฉินสือโอวเชิดหน้าพร้อมทั้งยืดอกตรง เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างถึงที่สุด นี่ทำให้เขามีหน้ามีตายิ่งกว่าขับรถพอร์ช 918 เสียอีก
………………………………..