ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 315 เด็กโง่โกรธแล้ว
ฉินสือโอวเคยคาดฝันถึงครั้งแรกของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาคิดว่าไม่ว่าจะเคยคาดฝันไว้ยังไง ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะสมบูรณ์แบบเท่าตอนนี้แล้ว
เมื่อสิ้นสุดลงเขาก็นอนกอดวินนี่อยู่บนเตียง กอดเธอเอาไว้แน่นๆ ทั้งสองคนอิงแอบแนบชิดจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้มาเมื่อก่อนจากคำบอกเล่าของรุ่นพี่บนเว็บไซต์ยอดนิยมของผู้ชาย เมื่อร่วมรักกันเสร็จแล้ว โดยเฉพาะครั้งแรก ต้องกอดเธอเอาไว้อย่างเข้มแข็ง จะทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
วินนี่พยายามเงยใบหน้างดงามของเธอขึ้น เธอพูดกับเขาอย่างจนใจว่า “ที่รักคะ ฉันใกล้จะถูกรัดตายแล้ว…”
พอได้ยินอย่างนี้ ฉินสือโอวก็รีบคลายอ้อมแขน แล้วแอบด่าพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้มีประสบการณ์อยู่เงียบๆ ในใจ ขี้คุยจริงๆ
ปรากฏว่า พอเขาคลายอ้อมแขน วินนี่ก็มุดใบหน้าเล็กเรียวของเธอลงไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ๆ คุณกอดฉันไว้แบบเมื่อกี้นี้ ที่รักคะ ไม่ต้องปล่อยมือนะ”
แสงแดดด้านนอกส่องสว่าง ทว่าฉินสือโอวก็นอนกอดเกยกันอยู่บนเตียงจนถึงเที่ยง ถึงค่อยลุกขึ้นจากเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์
วินนี่ที่สวมแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวของฉินสือโอวก็กระโดดลงมาจากเตียง สะบัดผมสวยสีดำไปไว้ด้านหลัง แล้วมัดรวบไว้อย่างง่ายๆ เธอหันหน้ากลับมาส่งยิ้มหวาน ฉินสือโอวก็รู้สึกเหมือนตัวเองเมาเหล้าอีกแล้ว
ตั้งแต่วันนี้ไป เขาไม่ได้อยู่ที่แคนาดาตัวคนเดียวแล้ว ฉินสือโอวคิดอย่างมีความสุข เขารู้สึกเต็มอิ่มไปทั้งใจ
ในตอนนี้ เขารู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากเมื่อก่อนเขาไม่ได้เลือกที่จะยืนหยัดความยึดมั่นจากส่วนลึกของใจไว้อย่างแน่วแน่ แต่เลือกที่จะไปยุ่งกับผู้หญิงในงานปาร์ตี้ของเบลค ที่บาร์ของกลอสเตอร์ หรือทำตามอำเภอใจกับสาวสวยชาวจีนที่มาในตอนนั้น ก็คงจะไม่มีทางได้สัมผัสความสุขจากการที่ได้กอดวินนี่แน่นๆ เหมือนเมื่อสักครู่นี้
เมื่อก่อนเขาเคยอิจฉาเบลค บิลลี่ สเต็มเมอร์หรือแม้กระทั่งนีลเซ็นกับชาร์คและคนอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างอิสระ แต่ว่าถ้าให้เขาเลือกอีกครั้ง เขาก็จะยังเลือกอยู่ตัวคนเดียว ยืนหยัดเพื่อรอคอยให้วันนี้มาถึงอย่างซื่อสัตย์
ได้ผสานทั้งจิตวิญญาณและร่างกายกับวินนี่ ทำให้เขาได้รู้ว่า ก่อนหน้านี้ที่เขายอมยืนหยัดมามันคุ้มค่ากันแล้ว ขอแค่แบบนี้ ทุกอย่างก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ในช่วงบ่ายทั้งสองคนจูงมือกันไปเที่ยวเล่นในเมืองเล็ก ยามเดินไปบนถนนที่โบราณและเรียบง่าย ทั้งสองคนก็มักจะสบตากันแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมาอยู่เสมอ ณ ช่วงเวลานั้นในใจของฉินสือโอวก็เหมือนกาลเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ
แสงแดดเป็นประกายสดใส ฟ้าใสอากาศปลอดโปร่ง บางครั้งจะมีรถขับผ่านมาข้างๆ มักจะมีคนออกมาเดินเล่นอยู่เสมอ มีคนในพื้นที่ แล้วก็มีนักท่องเที่ยว แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือแม้กระทั่งรถราที่ขับผ่านไป ฉินสือโอวก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายที่เหนือกว่าทั้งโลก
เดินทอดน่องมาเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็มาถึงท่าเรือลาร์ค ฮาร์เบอร์ของคอร์เนอร์ บรูค ที่นี่คือบริเวณปากแม่น้ำฮัมเบอร์ที่มีความยิ่งใหญ่งดงาม น้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากจะไหลมารวมกันที่มหาสมุทรแอตแลนติก
มองดูแม่น้ำที่เชี่ยวกราก อยู่ดีๆ วินนี่ก็ยิ้มออกมา เธอกอดฉินสือโอวไว้แล้วพูดว่า “ตอนที่ฉันเพิ่งจะเริ่มทำงานเป็นแอร์โฮสเตส ฉันเคยสับสนมากๆ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยากมีชีวิตแบบไหน ตอนนั้นพี่สาวน้องสาวของฉันหลายคน ก็หลงทางเหมือนกันกับฉัน เพราะว่าพวกเราได้เจอดาราหล่อๆ กับนักการเมืองชื่อดังและเศรษฐีที่ดูมีระดับเยอะแยะไปหมด”
“มีพี่สาวน้องสาวบางคน ที่เคลิบเคลิ้มไปกับความสัมพันธ์คลุมเครือของคนดังกับนักธุรกิจที่ร่ำรวยพวกนั้น ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยโทรศัพท์หาคุณย่าของฉัน คุณย่าพูดกับฉันมาหนึ่งประโยค ตอนนี้ฉันรู้สึกขอบคุณคำพูดประโยคนั้นของท่านจริงๆ”
“พูดว่าอะไรเหรอครับ? หรือว่าท่านดูดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน พอนับนิ้วทำนายแล้วก็พบว่าบุรุษแห่งโชคชะตาของคุณคือหนุ่มหล่อแซ่ฉิน?” ฉินสือโอวยิ้มพร้อมทั้งพูดจาหยอกเย้า
วินนี่ตีเขาอย่างโกรธเคือง แล้วพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “ฉันจริงจังอยู่นะคะ”
“โอเคครับภรรยาที่รัก ผมจะตั้งใจฟังแล้ว”
“คุณย่าของฉันพูดว่า วินนี่ ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจะได้เจอกับคนที่ใช่แค่หนึ่งคนเท่านั้น ตอนที่ได้เจอกับเขา จะเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ถ้าหนูไม่สามารถรักษาชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดไปจนถึงช่วงที่สวยงามที่สุดของชีวิต ก็คงจะรู้สึกเสียดายมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวเงียบไปพักหนึ่ง เขากระชับกอดเธอไว้แน่นแล้วพูดกับเธอว่า “ใช่แล้ว วินนี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ผมได้เผยตัวเองในแบบที่ดีที่สุดให้คุณได้เห็นในเวลาที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะต้องเสียใจภายหลังมากมายแค่ไหน”
เดิมทีคิดไว้ว่าคงจะอยู่ที่เมืองเล็กแห่งนี้แค่สองวัน แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันแล้ว จากสองวันก็กลายเป็นสามวันและจากสามวันก็กลายเป็นสี่วัน
ในช่วงเวลาเหล่านี้ ทั้งสองคนรักกันหวานซึ้งราวกับน้ำผึ้ง เวลาทานข้าวก็ไม่ได้ทานของใครของมัน แต่ยังผลัดกันป้อนอีกด้วย
ประเพณีของสังคมในเมืองเล็กค่อนข้างจะมีความอนุรักษนิยม ทว่าชาวตะวันตกมีทัศนคติที่ดีต่อความรักของชายหญิง เห็นท่าทางรักกันหวานชื่นของทั้งสองคน เจ้าของร้านอาหารก็ได้มอบของขวัญเล็กน้อยสำหรับคู่รักให้กับพวกเขา
เมื่อก่อนฉินสือโอวรำคาญเพื่อนที่ชอบอวดความรักในโมเมนต์[1]ที่สุด วันนี้มาถึงคราวของเขาแล้ว เขาเขียนโพสต์ลงในนั้นมากกว่าใคร ทำร้ายพวกคนโสดอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่มานานเกินไป ท้ายที่สุดพาวลิสก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงโทรศัพท์มาหาเขาพร้อมกับทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “ฉงต้า หู่จือกับเป้าจือพวกมันไม่ยอมกินอาหาร แถมยังร้องครวญครางทั้งวันทั้งคืนอีก พระเจ้า พวกเราใกล้จะบ้าตายแล้ว! พวกคุณจะกลับมาเมื่อไรเหรอครับ? ถึงจะยังไม่กลับ ก็วิดีโอคอลหาพวกมันหน่อยเถอะครับ ช่วยปลอบเจ้าพวกโง่นี่หน่อยเถอะ!”
ได้ยินข่าวนี้ ฉินสือโอวกับวินนี่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านยังมีสัตว์เลี้ยงอยู่อีกกองโต ช่วงนี้ดันลืมพวกมันไปซะอย่างนั้น เร่งรีบขับรถเพื่อออกเดินทาง เร่งความเร็วเต็มที่กลับเกาะแฟร์เวล
สำหรับการจากไปโดยที่ไปได้บอกลา แถมทั้งสองคนยังใช้เวลาอยู่นอกบ้านนานถึงสี่วันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เจ้าพวกโง่ทั้งหลายจึงแสดงออกถึงความโมโหอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน
หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่ลงมาจากรถ หู่จือ เป้าจือ ฉงต้า ต้าป๋าย ปอหลัว เสี่ยวหมิง เชสเตอร์ บุช เหล่าสัตว์เลี้ยงก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ กัน ไม่มีใครโผเข้าไปต้อนรับพวกเขาเหมือนที่เคยทำเลยสักตัว อีกทั้งยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น หลบอยู่ใต้ร่มไม้แล้วเล่นด้วยกันเอง
“เฮ้ เด็กๆ คุณแม่ผิดไปแล้ว คุณแม่ลืมไปว่ายังมีพวกหนูที่รอคุณแม่อยู่ที่บ้าน มา เข้ามากอดแม่เถอะนะ แม่ไม่เคยคิดจะทิ้งพวกหนูเลย”
วินนี่เข้าไปกอดพวกมันตัวนั้นตัวนี้ด้วยความรักสุดหัวใจ ทั้งขอโทษทั้งให้คำสัญญา เหล่าสัตว์เลี้ยงไม่ยอมรับคำขอโทษ หู่จือเป้าจือถึงกับกลายมาเป็นพันธมิตรกับอริเก่าอย่างปอหลัว พวกมันพิงอยู่ด้วยกัน แล้วมองมาที่วินนี่ด้วยแววตาโกรธเคือง
ฉงต้าใช้อุ้งเท้ากดเข้ากับท้องแฟบๆ ของตัวเองแล้วส่งเสียงร้องครวญคราง วินนี่เข้าไปกอดก็ถูกมันผลักออก แล้วก็ร้องไห้ครวญครางต่อ ทั้งยังใช้อุ้งเท้าตบลงไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์โกรธเคืองของมัน
วินนี่พูดขึ้นมาอย่างจนปัญญาว่า “พระเจ้า เด็กๆ พวกนี้พากันโกรธแล้ว ทำยังไงดีล่ะ?”
นีลเซ็นยักไหล่น้อยๆ แล้วตอบเธอว่า “วินนี่ คุณจริงจังเกินไปแล้ว พวกมันเป็นแค่สัตว์เลี้ยงนะ ไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันกับคนหรอก ผมว่า ตอนนี้พวกมันก็แค่…”
“เงียบนะ นีลเซ็น อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆ พวกเขาก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของเราเหมือนกัน เหมือนกับพวกนาย เหมือนกับพวกเราทุกคนนั่นแหละ” วินนี่พูดอย่างจริงจัง
นีลเซ็นยักไหล่ ส่วนเบิร์ดก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า “มาดามพูดถูก ถ้านายทำเหมือนพวกมันเป็นแค่สัตว์ ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็จะเป็นแค่สัตว์ตลอดไป”
“โอเค บิ๊กเบิร์ด ฉันเข้าใจที่นายจะสื่อ ถ้านายมองว่ามันเป็นหมา มันก็จะเป็นแค่หมา ไม่มีทางกลายเป็นนักรบได้ ใช่ไหม?” นีลเซ็นกล่าว
ประโยคนี้คือคำพูดเตือนสติของกองนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อ มาสคอตของกองทัพที่เกรียงไกรที่สุดในโลก อย่างสุนัขพันธุ์บูลด็อกที่มีชื่อว่า เอสจีที เชสตี้ ระหว่างที่สุนัขตัวนี้ยังอยู่ในตำแหน่งมันเคยได้รับ ‘รางวัลนาวิกโยธินผู้สร้างคุณูปการ’ ‘เหรียญเกียรติยศแห่งนาวิกโยธิน’ และเกียรติยศในด้านต่างๆ จนในที่สุดก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นสิบโทของทั้งกองนาวิกโยธินและกองทัพบก
เรื่องราวของสิบโท เอสจีที เชสตี้ สามารถเขียนหนังสือขึ้นมาได้เป็นเล่มๆ กล่าวโดยสรุปแล้ว สุนัขตัวนี้มีตำแหน่งพิเศษในกองทัพอเมริกา
เนื่องจากการดำรงอยู่ของมันทำให้ปัญหาความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในกองทัพได้รับการให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงเกิดประโยคนี้ขึ้นมา ‘ถ้านายมองว่ามันเป็นหมา มันก็จะเป็นแค่หมา ไม่มีทางกลายเป็นนักรบได้’ คำว่า ‘หมา’ ในประโยคนี้ ไม่ได้มีความหมายว่าหมาแท้ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายโดยนัยที่หมายถึงคนผิวเหลืองและคนผิวดำอีกด้วย
เห็นวินนี่แสดงอาการหนักอกหนักใจ ฉินสือโอวก็ยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า “ไม่ต้องกังวลนะครับ รอดูผมเถอะ จัดการกับเจ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรใช่ไหม? ถ้ายังจะทำอารมณ์ไม่ดีใส่พ่ออีก แค่เดี๋ยวเดียวพ่อจะทำให้รู้ว่าคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนมันเป็นยังไง!”
……………………………………
[1] โมเมนต์ ฟังก์ชันการใช้งานในแอพพลิเคชัน WeChat สำหรับการแชร์รูปภาพ วิดีโอและข้อความ