ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 363 ได้รับชัยชนะกลับคืนมา
นิมิตส์กัดไม่ปล่อยจึงทำให้นกอินทรีทองเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา มันใช้จะงอยปากอันแหลมคมและกรงเล็บของมันเปิดการโจมตีอย่างดุเดือดจนทำให้นิมิตส์ได้รับบาดเจ็บหนักอีกครั้ง
ทันใดนั้นนิมิตส์ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถต้านทานพลังของนกอินทรีทองได้ นิมิตส์สะบัดปีกอย่างแรงแล้วหันหัวกลับเพื่อหลบหนี อินทรีทองคาดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ที่ไม่กลัวตายมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้อย่างนิมิตส์จะหลบหนีอย่างกะทันหัน มันจึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นิมิตส์อาศัยช่องว่างนี้เร่งความเร็วในการบิน ในขณะเดียวกันมันก็เชิดหัวขึ้นและบินมุ่งตรงไปทางทิศใต้
วินนี่มองมันด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอจับมือฉินสือโอวไว้แน่น ฉินสือโอวเองก็ผิวปากเพื่อเรียกนิมิตส์กลับมา หากสู้ต่อไปนิมิตส์อาจตายได้! เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อตอนที่นิมิตส์มาถึงที่ฟาร์มปลาครั้งแรก ครั้งนั้นมันเกือบถูกนกอินทรีทองฆ่าตายเหมือนกัน!
นิมิตส์บินไปทางทิศใต้ ปีกทั้งคู่ของมันกระพือขึ้นลงด้วยความเร็วสูง และเมื่อมันบินมาถึงตำแหน่งทางทิศใต้ มันก็สะบัดปีกแล้วหันกลับมา
ฉินสือโอวรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดและตะโกนออกมา “อย่าสู้อีกเลย นิมิตส์”
เบิร์ดตาสว่างขึ้น เขาดึงฉินสือโอวและตะโกนขึ้น “บอส นิมิตส์ได้ตำแหน่งทองแล้ว”
”ตำแหน่งทองอะไร?”
“ตำแหน่งทองของการต่อสู้ทางอากาศ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีการต่อสู้ด้วยเครื่องบินรบ ทั้งสองฝ่ายต้องแย่งชิงตำแหน่งที่ได้เปรียบด้านความสูงและหันหลังให้ดวงอาทิตย์ นี่คือตำแหน่งทอง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชิงตำแหน่งนี้ได้ ก็จะสามารถใช้ความได้เปรียบของแสงอาทิตย์ในการจู่โจมให้อีกฝ่ายถึงตายได้!”
เป็นอย่างที่เบิร์ดพูดไว้ เมื่อลำตัวของนิมิตส์ครองความได้เปรียบทางตอนใต้มากที่สุดเอาไว้แล้ว ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงักลง สายตาที่มองออกไปยังคงเย็นชา มันบินนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเพื่อออมกำลังไว้ ปีกทั้งคู่กางออกด้วยความโกรธ กล้ามเนื้อขยายขึ้นเหมือนกับสายธนูที่ง้างออก
นกอินทรีทองไล่ตามมาด้านหลังอย่างไม่ลดละ ดวงตาของมันฉายแววโหดร้ายออกมา ขอเพียงจับคู่ต่อสู้ได้อีกครั้ง มันก็พร้อมจะฉีกคู่ต่อสู้ออกเป็นชิ้นๆ!
ทว่าการที่มันตามนิมิตส์อยู่ด้านหลังทำให้เมื่อมันเงยหน้าขึ้นและกำลังคิดจะบินตามนิมิตส์ไป ในกรอบสายตาของมันก็มีแสงอาทิตย์แสบตาสาดส่องเข้ามาเต็มๆ
ด้านทิศใต้ ดวงอาทิตย์กำลังส่องสว่างจ้าและตำแหน่งนั้นก็ทำให้นิมิตส์ได้เปรียบเป็นอย่างมาก
แสงแดดที่แยงตาทำให้นกอินทรีทองลดระดับศีรษะลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์โดยไม่รู้ตัว แล้วในที่สุดนิมิตส์ที่เคยหลบหนีในช่วงก่อนหน้านี้ก็ออมกำลังได้มากพอแล้ว
มันพุ่งตัวออกไปเหมือนลูกธนูที่เทพแห่งดวงอาทิตย์ยิงออกไป นิมิตส์กรีดร้องและบินโฉบลงไปก่อนจะใช้ปากจิกลงไปดั่งสายฟ้าโดยมีเป้าหมายคือดวงตาข้างซ้ายของนกอินทรีทอง
ดวงตาของนกอินทรีทองถูกแสงอาทิตย์แผดเผาอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากดวงตาของมันไวต่อแสงเป็นพิเศษทำให้มันสามารถหาตัวกราวด์ฮอกได้ในระยะทางสี่กิโลเมตร และมันก็ทำให้ม่านตาของมันสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวเมื่อมองไปยังแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า
นี่คือการโจมตีตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้ ความอดทนของนิมิตส์กลายเป็นกุญแจสำคัญ ปากอันแหลมคมของมันจิกเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายของนกอินทรีทองอย่างโหดเหี้ยมจนได้ยินเสียงกรีดร้องจากปากของนกอินทรีทอง ทันใดนั้นศักดิ์ศรีและอำนาจอันน่าเกรงขามก็ได้หายวับไป จากนั้นอินทรีทองก็กระพือปีกบินไปบนท้องอย่างบ้าคลั่ง
เพียงอึดใจเดียวมันก็บินไปได้ไกลถึง 1000 ไมล์
หลังจากการต่อสู้ถึงชีวิต นิมิตส์ก็หันตัวบินกลับมา นกอินทรีทองที่คลุ้มคลั่งบินวนอยู่บนท้องฟ้าหลายรอบจนในที่สุดผู้พ่ายแพ้ก็เก็บกรงเล็บของมันและบินเอียงศีรษะหนีไปบนท้องฟ้าสูง ดวงตาข้างหนึ่งของมันบอดและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
ฉินสือโอวและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเชียร์ ทั้งฉงต้า หู่จือและเป้าจือต่างส่งเสียงร้องขึ้นมาเช่นกัน นิมิตส์สมควรได้รับเกียรติให้เป็นราชาแห่งท้องฟ้า เพราะมันได้ปกป้องท้องฟ้าซึ่งเป็นที่อยู่ของมัน!
บุชกระพือปีกไปมาอยู่บนพื้นดิน ในที่สุดมันก็รู้สึกถึงเสน่ห์ของท้องฟ้าแล้ว และนี่ก็ปลุกความปรารถนาที่จะโบยบินในสายเลือดของมันขึ้นมา
นิมิตส์ไม่ได้บินลงมาทันที มันบินอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับบาดแผลและรอยฟกช้ำเพื่อป้องกันไม่ให้นกอินทรีทองหวนกลับมาอีก
แต่นกอินทรีทองได้รับบาดเจ็บสาหัส มันบินหนีไปแล้วจริงๆ และมันยังไม่ใช้เล่ห์กลการต่อสู้ใดๆ ทั้งนั้น
เมื่อแน่ใจแล้วว่านกอินทรีทองจะไม่กลับมาอีก นิมิตส์จึงบินลงมา เมื่อบินมาถึงด้านหลังมันก็รู้สึกเหนื่อยจนหมดแรง ท่าบินจึงไม่ได้สง่างามอีกต่อไป มันบินส่ายไปมา และเมื่อถึงพื้นก็เกือบจะเอาหัวของมันโหม่งพื้นเลยทีเดียว
ฉินสือโอวและพรรคพวกรีบวิ่งไปหา ตอนนี้นิมิตส์ดูหมดสภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า ขนร่วงเกือบทุกที่โดยเฉพาะด้านหลังและหน้าท้อง แต่ละจุดต่างก็มีบาดแผลยาวสี่ถึงห้าเซนติเมตร อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมาด้วย!
วินนี่อุ้มนิมิตส์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง บุชกระพือปีกและกระโดดอยู่ด้านข้าง นิมิตส์ยืดลำคออันเหนื่อยล้าของมันออกไปแล้วใช่จะงอยปากจิกลงบนปีกของบุชราวกับการส่งต่ออำนาจการควบคุมท้องฟ้าให้แก่บุช
เบิร์ดช่วยพันแผลให้นิมิตส์ เขาทำความสะอาดบาดแผลของนิมิตส์ด้วยน้ำยา จากนั้นก็ใส่ยาผงสมานแผล และพันแผลด้วยผ้าพันแผลแล้วรอให้ร่างกายของมันฟื้นตัว
ฉินสือโอวเทน้ำลงไปในชามให้นิมิตส์ได้ดื่มน้ำอย่างช้าๆ เขาใช้โอกาสนี้ถ่ายทอดพลังของโพไซดอนเข้าไปด้วย
จากการต่อสู้อันดุเดือดในครั้งนี้ นิมิตส์สามารถขับไล่นกอินทรีทองไปได้ ชัยชนะที่ได้มาทำให้ฟาร์มปลากลับมาสงบสุขอีกครั้ง
สองวันหลังจากนั้น ฉินสือโอวและวินนี่ก็ดูแลนิมิตส์เป็นอย่างดี นกฟรีเกตไม่ใช่นกนักสู้อย่างนกอินทรีทองหรือนกอินทรีหัวขาว สภาพร่างกายของนิมิตส์นั้นแย่กว่านกอินทรีมาก หากไม่ได้รับการดูแลก็อาจทำให้บาดแผลลามลงไปถึงกระดูกและตายได้
เมื่อถึงตอนเที่ยง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จฉินสือโอวจะพานิมิตส์ไปอาบแดดข้างนอก บุชกระพือปีกอยู่บนขั้นบันไดแล้วกระโดดลงมาก่อนจะล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กระนั้นมันก็ยังคงปีนขึ้นไปบนบันไดแล้วก็กระโดดลงมาอีกครั้ง
หลังจากการฝึกฝนไปไม่กี่วัน บุชก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก รูปร่างของมันไม่มีไขมันอ้วนป่องอีกต่อไปแล้ว แต่มันกลับมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ขนสีน้ำตาลเหลืองก็มีชั้นน้ำมันเคลือบอยู่ ต่อมน้ำมันของมันเริ่มมีการพัฒนาขึ้นแล้ว
ขนที่ปกคลุมบนร่างกายของนกเปรียบเหมือนเสื้อขนนก นกอินทรีหัวขาวมีเสื้อขนนกที่แข็งและหยาบเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ขนนกจะนับเป็นเครื่องป้องกันชั้นดี แต่มันกลับไม่มีความมันเงาจึงทำให้มีความต้านทานอากาศมากขึ้นและเพิ่มความยากลำบากในการบินของพวกมันขึ้นไปอีกด้วย
ดังนั้นตรงหางของนกอินทรีหัวขาวจึงมีต่อมพิเศษเกิดขึ้น นั่นก็คือต่อมน้ำมัน
เมื่อกดที่ต่อมน้ำมัน มันจะหลั่งของเหลวออกมา นกอินทรีหัวขาวจะใช้น้ำมันนี้ทาลงไปบนขนนก มันไม่เพียงแต่จะช่วยให้ขนนกเป็นระเบียบ แต่มันยังสามารถช่วยให้ขนมันวาวสวยงามและลดความต้านทานอากาศได้ด้วย
เมื่อนกอินทรีหัวขาวเริ่มหลั่งสารที่ต่อมน้ำมันและเรียนรู้ที่จะจัดการกับขน นั่นหมายความว่ามันพร้อมที่จะบินแล้ว
สิ่งที่บุชไม่มีในตอนนี้คือโอกาสในการบิน
ฉินสือโอวกำลังคิดว่าจะหาโอกาสนั้นอย่างไรดี แต่แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขามองเห็นเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โทรเข้ามา หลังจากรับสาย ปลายสายก็พูดขึ้นมา “สวัสดีครับ คุณคือคุณฉินสือโอวจากบริษัทกู้ภัยทะเลน้ำลึก เสี่ยวอวี๋ โอเชี่ยน เอ็กซ์โพลเรชั่น ใช่ไหมครับ? ผมคือเฟอร์ดินัน คลาวด์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของพอร์ชครับ”
เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของอีกฝ่าย ฉินสือโอวก็รู้ว่ารถพอร์ช 918 ของเขามาถึงแล้ว เขาทำการยืนยันตัวตน จากนั้นทางบริษัทก็บอกเขาว่าตอนนี้รถอยู่ที่สนามบินของเมืองเซนต์จอห์นและขอให้เขาไปเซ็นรับ
ถึงเขาจะบอกว่าเขาไม่สนใจรถสปอร์ต แต่เมื่อรถซูปเปอร์สปอร์ตมาถึงจริงๆ ฉินสือโอวก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี สำหรับผู้ชายแล้วการมีรถซูเปอร์สปอร์ตถือเป็นความฝันอย่างหนึ่งเลย
เขาบินตรงไปที่สนามบินเมืองเซนต์จอห์นโดยเครื่องบิน AC-310N และเมื่อลงจากเครื่องบิน ชายวัยกลางคนผมสีทองก็รอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว นอกจากนี้ยังมีพนักงานหลายคนที่กำลังดูแลรถสปอร์ตสีฟ้าน้ำทะเลอยู่คันหนึ่งด้วย มันเป็นรถพอร์ช 918 นั่นเอง
………………………………………………………………