ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 412 กั้งตั๊กแตนเจ็ดสี VS หอยนางรมลอย
น่านน้ำบริเวณแนวปะการังเป็นเขตทะเลจุดศูนย์กลางของฟาร์มปลา ที่นี่มีสิ่งที่เป็นสมบัติล้ำค่าอาศัยอยู่เยอะที่สุด อย่างเช่นหอยนางรมลอย
เมื่อสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ไอซ์สเกตกับบอลหิมะก็ว่ายน้ำเข้ามา ฉินสือโอวเล่นกับพวกมันทั้งสองตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปตรวจสอบสภาพการเจริญเติบโตของหอยนางรมลอยต่อ
ดูจากปฏิกิริยาของลีฟ ไดม์เลอร์ หัวหน้านักออกแบบของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคแล้ว ฉินสือโอวก็คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องปกป้องหอยนางรมลอยพวกนี้ไว้ให้ดี หอยนางรมลอยมีราคาแพง โดยเฉพาะหอยนางรมลอยที่มีความสมบูรณ์ หลังจากถูกออกแบบให้เป็นเครื่องประดับแล้ว ราคาของมันย่อมไม่ด้อยไปกว่าวัตถุโบราณแน่นอน
เขาจะทำให้หอยนางรมลอยกลายเป็นไพ่ไม้ตายที่นำฟาร์มปลาเข้าสู่สังคมชั้นสูง อัตราการประสบความสำเร็จก็มีสูงมาก หอยนางรมลอยกว่าร้อยตัว ก็นับว่าเพียงพอต่อการรองรับตลาดสินค้าหรูหราขนาดเล็ก
เดิมทีหอยนางรมลอยจะอาศัยอยู่บริเวณน่านน้ำด้านเหนือของแนวปะการัง ฉินสือโอวอยากจะย้ายพวกมันมาไว้ที่บริเวณศูนย์กลางของแนวปะการัง ที่นั่นจะปลอดภัยกว่า
การขยายตัวของแนวปะการังมีกฎเกณฑ์อยู่ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่สามารถหนีห่างจากแสงอาทิตย์ได้ การสร้างปะการังก็เช่นกัน พวกมันมีเงื่อนไขเกี่ยวกับอุณหภูมิที่สูงมาก ความต้องการแสงแดดก็มากเช่นกัน
เนื่องจากน้ำทะเลและการดูดซับแสงอาทิตย์ของแพลงก์ตอนกับดินทรายที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ การดูดซับลำแสงจะเพิ่มขึ้นตามระดับความลึกของน้ำทะเล แม้จะอยู่ในน้ำทะเลที่ใสเป็นพิเศษอย่างทะเลของออสเตรเลียในตอนนี้ แต่ก็มีปะการังแบบเฮอมาไทปิคอยู่ไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำทะเลที่มีระดับความลึกกว่าหนึ่งร้อยเมตร
ถ้าพูดถึงจำนวนของโพลิป ระดับความลึกเจ็ดสิบแปดสิบเมตรก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ในฟาร์มปลาของฉินสือโอว ถึงแม้ว่าโพลิปจะได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้ว แต่ก็สามารถอยู่ในระดับน้ำที่ลึกที่สุดแค่ราวๆ ห้าสิบเมตรเท่านั้น
แท้จริงแล้ว การที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีแนวปะการังได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ เส้นฝั่งทะเลของประเทศแคนาดาทั้งประเทศล้วนแต่อยู่ในพื้นที่น้ำของเขตอบอุ่นและเขตหนาวเย็น โดยทั่วไปแล้วน่าจะไม่มีแนวปะการังเลยด้วยซ้ำ
โพลิปของฟาร์มปลาต้าฉินน่าจะถูกนำเข้ามาโดยหัวใจโพไซดอนของฉินหงเต๋อเจ้าของฟาร์มปลารุ่นที่แล้ว ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว พอเริ่มดำเนินงานในฟาร์มปลาสู่บริเวณทะเลลึก ก็มีร่องรอยของแนวปะการังอยู่เป็นจำนวนมาก น่าเสียดายที่โพลิปในปะการังพวกนั้นตายไปหมดแล้ว
เมื่อลองคาดคะเนดู ก็คงจะเป็นเพราะตอนที่ฉินหงเต๋อยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ใช้พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนหล่อเลี้ยงโพลิปไว้ ต่อมาหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปได้สิบกว่าปี พวกโพลิปจึงพากันตายลง เหลือไว้เพียงซากปะการังที่ตายจนหมดแล้วกับโพลิปผืนเล็กบางส่วนที่ฉินสือโอวได้พบเมื่อตอนที่เขามาถึง
ต่อมาฉินสือโอวใช้โพลิปที่ยังมีชีวิตอยู่ผืนนั้นเป็นฐานในการสร้างขยายแนวปะการัง แต่โพลิปจะเคลื่อนย้ายไปทางใต้และบริเวณแถบชายฝั่งทะเลมากเป็นพิเศษ เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของพวกมัน ยิ่งเข้าใกล้แสงอาทิตย์ทางใต้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น น้ำยิ่งตื้นเท่าไร แสงอาทิตย์ก็ยิ่งส่องผ่านได้มากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกหอยนางรมลอยจึงสามารถอาศัยอยู่ที่พื้นที่ริมขอบด้านเหนือเท่านั้น
เมื่อจิตสำนึกแห่งโพไซดอนผ่านเข้าไป เขาก็ต้องตกใจจนตัวโยน ไม่นานมานี้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่มายังฟาร์มปลาพร้อมกับนกจมูกหลอดหางสั้นได้ค้นพบหอยนางรมลอยที่มีรสชาติอร่อยพวกนี้ จึงพากันล้อมเข้ามา เคาะก๊อกๆ แก๊กๆ เตรียมตัวกินหอยนางรมลอยเข้าไป
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีมีรูปโฉมภายนอกที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่งดงามของพวกมันคือจิตใจที่ป่าเถื่อนรุนแรง พวกมันดุร้ายทารุณและมีปฏิกิริยาที่ว่องไว มีลักษณะการโจมตีและการรักษาอาณาเขตที่แข็งแกร่งมาก ที่ฟาร์มปลาต้าฉิน สัตว์ขนาดเล็กอย่างพวกมันกลับเป็นนักฆ่าเบอร์หนึ่งที่สมควรได้รับคำกล่าวขาน
ทำไมถึงพูดอย่างนี้น่ะเหรอ? กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีมีก้ามที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี เรียกว่ากำปั้น กำปั้นของมันที่เป็นหนามแหลมอยู่หน้าสุด ส่วนปลายมีลักษณะแหลมคมเหมือนสิ่ว ส่วนที่เชื่อมกับร่างกายก็นูนหนาขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่พวกมันพับซ้อนตัวเข้าหากัน ส่วนที่หนานูนขึ้นมาก็จะเป็นเหมือนค้อนที่สามารถทุบเปลือกของสัตว์พวกกุ้งกั้งปู หอยที่มีเปลือกแบบตลับ และหอยจำพวกหอยโข่งและสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่มีเปลือกแข็งได้ อีกทั้งเมื่อมันยืดตัวออก ก็สามารถแทงทะลุเนื้อเยื่อของสัตว์นิดต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
ขณะโจมตีเหยื่อ ภายในห้าสิบวินาทีกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีจะสามารถแทงกำปั้นที่อยู่ด้านหน้าออกมาหนึ่งครั้งได้ ความเร็วสูงสุดมากกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระดับการเร่งอัตราความเร็วมากกว่าปืน 0.22 สามารถสร้างแรงโจมตีได้สูงถึง 60 กิโลกรัม แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตาเดียวทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนทำให้น้ำบริเวณรอบๆ เกิดประกายไฟขึ้นได้!
นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เคยมีนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือแม้จะสวมถุงมือขณะจับมันก็ตาม เลือดไหลก็ออกมาไม่หยุด นอกจากนี้ยังมีบันทึกจากห้องทดลองหลายครั้ง ที่ระบุไว้ว่าเหล่านักสมุทรศาสตร์จับกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีกลับไปใส่ไว้ในกระบอกตวงของห้องทดลอง แต่ทว่ากระบอกตวงพวกนั้นก็ถูกมันทุบจนแตก…
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีพวกนี้ก็กระโดดไปกระโดดมาเมื่อหาหอยนางรมลอยจนเจอก็พากันตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที พวกมันมีขอบข่ายของอาหารที่กว้างมาก ตั้งแต่สัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ช้าอย่างหอยที่มีเปลือกเป็นตลับ หอยโข่ง ไปจนถึงกุ้งปูที่เดินผ่านมันไป ตลอดจนสัตว์จำพวกปลาถ้าหากมันอยากจะนำมาเติมให้เต็มท้อง ขอแค่กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีหมายตาไว้ พวกมันก็จะเข้าไปปล่อยหมัดให้กับเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมแน่นอน
อีกทั้งในบรรดาอาหารของพวกมัน หอยชนิดต่างๆ ก็เป็นอาหารที่พวกมันโปรดปรานที่สุด
จุดบอดข้อเดียวของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีก็คือความเร็ว พวกมันคลานได้ไม่เร็ว ดังนั้นพวกมันจึงชื่นชอบสัตว์ประเภทหอยที่เคลื่อนที่ได้ช้ากว่าพวกมันเป็นพิเศษ นอกจากนี้ เนื้อของหอยชนิดต่างๆ ยังนุ่มมากอีกด้วย ขอเพียงแค่ทุบเปลือกให้แตก พวกมันก็จะกินได้อย่างเอร็ดอร่อยแล้ว
เมื่อล้อมหอยนางรมลอยเอาไว้แล้ว กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีก็เริ่มเปิดการโจมตี มันขดก้ามเข้าหากันแล้วเคาะลงไปบนเปลือกของหอยนางรมลอย
พวกหอยนางรมลอยมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีนัก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่มีความสามารถในการโต้ตอบกลับ
ใช้เปลือกหอยที่แข็งแรงเพื่อการป้องกัน หอยนางรมลอยบางส่วนเปิดเปลือกออกเล็กน้อยจนปรากฏเป็นรอยแยก มีกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีใจร้อน บุ่มบ่ามอยากจะรีบมุดเข้าไป
แต่ปรากฏว่าพอพวกมันกำลังจะมุดตัว ‘ขวับ’ แค่แป๊บเดียว หอยนางรมลอยก็ปิดงับเปลือกด้วยความรวดเร็ว คราวนี้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีจึงตกอยู่ในสภาพน่าเวทนา ไม่มีอะไรเหนือความคาดคิด พวกมันเหล่านั้นถูกตัดออกเป็นสองท่อน กล้ามเนื้อยึดฝาของหอยนางรมลอยขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเป็นหอยนางรมลอยที่ได้รับการดัดแปลงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาแล้วด้วย
หอยนางรมลอยตัวใหญ่มีเปลือกที่หนาเป็นพิเศษ กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีทุบไม่แตก ดังนั้นพวกมันจึงเลือกโจมตีหอยนางรมลอยขนาดเล็ก
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันแล้ว ตอนที่ฉินสือโอวมาถึง หอยนางรมลอยยี่สิบกว่าตัวพวกนั้นตายไปขณะที่กำลังต่อสู้ เหลือไว้เพียงเปลือกแต่ละชิ้นที่แตกหัก
หอยนางรมลอยตัวใหญ่รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว จึงคิดจะหาทางหนี
พวกมันลองเชิงด้วยการยื่นกลีบขาออกไป คิดจะเคลื่อนย้ายตัวเพื่อหนีไปที่อื่น หลังจากกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีบางส่วนที่มีไหวพริบดีพบเข้า ก็ยืดหมัดแหลมคมออกไปทันที ‘ฉึก’ แค่ครู่เดียวก็ตอกตัวหอยนางรมลอยติดอยู่ด้านนอก
คราวนี้หอยนางรมลอยจึงตกอยู่ในอันตรายแล้ว พวกมันปิดงับเปลือกหอยไม่ได้ และดูเหมือนว่าแค่กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีมุดเข้ามาตามรอยแยกของเปลือกหอยก็จะสามารถลิ้มรสความอร่อยของหอยนางรมลอยได้แล้ว
แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น พวกหอยนางรมลอยฉลาดมาก เมื่อรู้ว่ากลีบขาของตัวเองถูกตอกยึดไว้ด้านนอก พวกมันก็ปิดงับเปลือกหอยตัดเอาร่างกายส่วนที่ยื่นออกไปด้านนอกจนขาดออกทันที!
เห็นหอยนางรมลอยถูกรังแกแบบนี้ ฉินสือโอวก็เจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด นี่เป็นแหล่งทำเงินของเขาเลยนะ กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีพวกนี้ทำกันเกินไปแล้ว!
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนปะทุอารมณ์โกรธ มวลน้ำวนใต้มหาสมุทรโจมตีกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีพวกนี้พัดไปอีกฝั่ง จากนั้นเขาก็เรียกปลาใหญ่ที่อยู่รอบๆ ให้เข้ามากินมัน!
ฉลามกบเจ็ดพี่น้องกำลังทำเยี่ยมๆ มองๆ รับเอาพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่ด้านหลัง เมื่อได้รับคำสั่งจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน พอเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นเพียงกุ้งฝอยตัวเล็กๆ พวกมันก็รีบบุกเข้ามา ทำงานที่ได้รับมอบหมายทันที
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีล้วนแต่มีขนาดค่อนข้างเล็ก โดยทั่วไปแล้วมักจะมีความยาวประมาณเจ็ดแปดเซนติเมตร ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดราวๆ สิบเซนติเมตรเท่านั้น ในสายตาของพี่น้องฉลามกบแล้ว พวกนี้คืออาหารที่ย่อยค่อนข้างยาก หากต้องรับมือก็คงไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?
มหาสมุทรเป็นสนามล่าเหยื่อที่อันตรายที่สุด หากสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่ถูกธรรมชาติกำจัดทิ้ง ถึงแม้จะเป็นกุ้งแดงก็ยังไม่ควรดูแคลน แล้วนับประสาอะไรกับกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่เลื่องชื่อว่ามีกำลังสู้รบเป็นอันดับหนึ่งล่ะ?
………………………………………………………..