ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 427 นิมิตส์ผู้ชี้นำ
พายุมักจะมาคู่กันกับฝนหรือหิมะที่ตกหนัก แต่เนื่องจากอุณหภูมิของมหาสมุทร จึงปรากฏพายุหิมะได้ไม่บ่อยนัก มักจะมีแต่พายุฝนที่น่ากลัวยิ่งกว่า
หลังจากเรือฮาวิซทเทียบท่าได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พายุฝนห่าใหญ่ก็ส่งเสียงร้องคำรามสาดซัดเข้ามา เหมือนพระเจ้าเปิดก๊อกน้ำในสวนหลังบ้าน น้ำฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
ผู้รอดชีวิตกับบรรดาชาวประมงถูกส่งไปที่โรงแรมบนท่าเรือแล้ว โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์บาสก์ส่งทีมหมอและพยาบาลที่เก่งกาจมาให้การบริการแก่พวกเขา หลังจากเข้ามาในโรงแรมแล้ว ก็มีพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาแต่ละคนทันที
เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวไม่ได้สวมหน้ากากออกซิเจน พยาบาลคนหนึ่งก็พูดกับเขาด้วยความเด็ดขาดว่า “มิสเตอร์ คุณต้องรับผิดชอบชีวิตของคุณนะคะ กรุณาสวมหน้ากากออกซิเจนด้วยค่ะ!”
นิมิตส์ร้องกู๊ๆ ออกมา พยาบาลคนนั้นก็ตกตะลึงทันที เธอร้องเสียงดังว่า “พระเจ้า ทำไมถึงได้มีนกอยู่ในนี้?”
ทันใดนั้นพนักงานโรงแรมก็รีบเข้ามาบอกให้ฉินสือโอวปล่อยนิมิตส์ออกไปข้างนอก เมื่อเห็นเช่นนี้ ไม่ต้องรอให้ฉินสือโอวพูดอะไรออกมา บรรดาผู้รอดชีวิตก็เข้ามาล้อมเอาไว้ด้วยความตื่นตัวทันที คนกลุ่มแรกที่ล้อมเข้ามาก็เป็นชาวอาหรับที่สวมชุดคลุมสีขาวพวกนั้น
“หลบไป พวกนอกศาสนาสมควรตาย! นี่ไม่ใช่นกทะเล! นี่คือผู้ชี้นำของพระเจ้า! เป็นผู้ชี้นำที่อัลเลาะฮ์ส่งมาเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา! วิญญาณของกัปตันและผู้ช่วยกัปตันเรือก็ถูกผู้ชี้นำที่ยิ่งใหญ่พาไปส่งที่สรวงสวรรค์แล้ว!”
ชาวแคนาดาเองก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน “น่ารังเกียจจริงๆ! ในตอนที่พวกเราตกอยู่ในสภาพอับจนพวกคุณไปอยู่ที่ไหนกัน?! เป็นนิมิตส์ต่างหากที่บินฝ่าคลื่นลมนำทางพวกเราให้หนีออกมาได้ เขาเป็นฮีโร่ที่แท้จริง! พวกคุณจะไล่ฮีโร่ของพวกเราไปเหรอ?!”
“ถ้าไม่มีนิมิตส์ พวกเราคงพากันตายห่าอยู่ในทะเลไปตั้งนานแล้ว! ตอนนี้ขึ้นฝั่งได้แล้ว จะให้พวกเราไล่เขาไปอย่างนั้นน่ะเหรอ? จะให้ไล่เขาออกไปอยู่ท่ามกลางพายุฝนด้านนอกนั่นน่ะเหรอ?”
“ไม่มีอะไรเหลวไหลไปกว่านี้อีกแล้ว! เวรเอ๊ย ถ้าใครกล้าไล่นิมิตส์ ฉันจะให้มันได้ลิ้มรสหมัดของฉันว่ารสชาติมันเป็นยังไง!”
ฉินสือโอวอาศัยโอกาสนี้พูดออกไปว่า “ที่จริงแล้วเป็นนิมิตส์ที่พบเรือของพวกคุณ เขาเป็นคนนำทางเรือฮาวิซทให้ไปตามหาพวกคุณ…”
เขาคิดจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลทั้งหมดโยนไปให้นิมิตส์ แค่บอกไปว่านิมิตส์พาพวกเขาผ่านคลื่นทะเลมา ส่วนเรื่องห้าธาตุพิชิตมังกร? ช่างมันเถอะ อันนั้นเอาไว้หลอกแลนซ์กับพวกก็พอแล้ว
“ฮีโร่! นิมิตส์! ฮีโร่! นิมิตส์!”
เหล่าผู้รอดชีวิตที่กำลังมุงอยู่รอบๆ ก็โบกแขนตะโกนออกมา นิมิตส์ตกใจจนขวัญเสีย มันร้องกู๊ๆ พร้อมทั้งหลบอยู่ในอ้อมอกของฉินสือโอว แต่ปรากฏว่าเจ้านายแย่ๆ อย่างฉินสือโอวกลับยกมันขึ้นมาเหนือหัว ส่งมันขึ้นไปบนกระแสลมของเสียงปากที่แหลมคมอีกครั้ง
กระแสลมในครั้งนี้ เป็นกระแสลมแห่งเกียรติยศ
น้ำทะเลหนาวเหน็บ ลมพายุหนาวบาดผิวกาย บรรดาผู้รอดชีวิตต่างก็ติดไข้ไทฟอยด์ในระดับที่ต่างกัน กลุ่มแพทย์จึงเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้พวกเขากระจายตัวกันเพื่อรับการตรวจอาการ
ฉินสือโอวเป็นคนที่ยังแข็งแรงดีที่สุด ถึงแม้ว่าตอนที่เพิ่งขึ้นฝั่งเขาจะดูน่าสงสารที่สุด ทว่าพอสูดออกซิเจนเข้าไปสองครั้งกับดื่มซุปบีทรูทร้อนๆ เข้าไปอีกนิดหน่อย ร่างกายของเขาก็อบอุ่นขึ้นจนแข็งแรงและมีพละกำลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายที่เขาใช้พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปจนหมดจึงทำให้สภาพจิตใจของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ตำรวจทะเลเข้ามาซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทะเล เหล่าผู้รอดชีวิตก็เอาวิดีโอกับรูปภาพที่บันทึกไว้ออกมาให้คนพวกนี้ดูด้วยความตื่นเต้น
ในคลิปวิดีโอที่สั่นไปมา นิมิตส์กำลังบินอยู่เหนือหัวเรืออย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ใช้ลำตัวที่บอบบางของมันปะทะกับคลื่นลม พาเรือประมงฝ่าออกมาจากคลื่นยักษ์ที่น่าหวาดกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า…
เมื่อได้ดูวิดีโอพวกนี้ คนในบริเวณนี้ต่างก็ตกอยู่ในความตะลึง ตำรวจทะเลอาวุโสคนหนึ่งก็พูดอย่างตื่นตกใจว่า “นี่เป็นผู้ชี้นำแห่งมหาสมุทรที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ!”
มีนักข่าวยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ถ่ายภาพนิมิตส์ที่อยู่ในอ้อมอกของฉินสือโอว ‘แชะๆๆ’ ฉินสือโอวที่เพิ่งจะสังเกตเห็นคนพวกนี้ ก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “มีสื่อมวลชนมาด้วยเหรอครับ?”
ตำรวจทะเลที่อยู่ข้างๆ จึงอธิบายว่า “แน่นอนครับ กัปตันที่เคารพ พายุในมหาสมุทรเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ท่าเรือเสียหายย่อยยับ สื่อเลยพากันมาทำข่าวใหญ่นี้”
พวกตำรวจทะเลเริ่มดำเนินการตรวจสอบ แค่ครู่เดียวความจริงของเหตุการณ์ก็คืนสู่สายตาของพวกเขา
เรือแนสแกส เรือบรรทุกโดยสารน้ำหนักห้าร้อยตัน บรรจุผู้โดยสารจำนวนเจ็ดสิบคนออกเดินทางจากท่าเรือเซตตีลในรัฐควิเบก สถานที่ปลายทางคือแมรีส์ทาวน์ แต่ปรากฏว่าระหว่างทางประสบกับพายุจนหลุดออกนอกเส้นทาง ในตอนสุดท้ายจึงชนเข้ากับโขดหิน
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ นิมิตส์ก็พบเข้ากับเรือใหญ่ที่ชนเข้ากับโขดหินลำนี้ จึงนำทางเรือฮาวิซทให้เข้าใกล้เพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสาร หลังจากนั้น ก็เป็นนิมิตส์ที่ช่วยนำทางอีกครั้ง เรือฮาวิซทจึงหลบหลีกคลื่นทะเลที่แผดเสียงคำรามได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าอันตรายและรอดชีวิตมาได้อย่างนับครั้งไม่ถ้วน จนเข้าสู่ท่าเรือได้ในที่สุด
“กัปตันเรือของเราคอยบังคับเรือให้นิ่งอยู่ในห้องขับเรือโดยตลอด ส่วนต้นหนของพวกเราก็พยายามใช้วิทยุสื่อสารกับโทรศัพท์ดาวเทียมเพื่อขอความช่วยเหลือ ในตอนสุดท้ายพวกเขาหนีออกมาไม่ทัน เรือถูกคลื่นยักษ์บ้านั่นตีจนแตก!” ส่วนรองต้นหน ก็คือชายหนุ่มโบกแท่งไฟที่ร้องไห้โฮเมื่อก่อนหน้านี้
สีหน้าของฉินสือโอวก็เศร้าสลดลงเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักกัปตันเรือและต้นหนของเรือลำนี้ แต่ทั้งสองคนก็เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง พวกเขาปกป้องเกียรติและความภาคภูมิใจของชาวเรือไว้แม้ตัวจะตาย คู่ควรกับการยกย่อง!
ตำรวจทะเลหยิบเอาวอดก้าที่เตรียมไว้ออกมารินให้พวกเขาทุกคน คนละแก้วเล็กๆ เครื่องดื่มชนิดนี้สามารถทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ รอจนทุกๆ คนได้รับแก้วเหล้าไปครบแล้ว ก็มีคนยกแก้วเหล้าขึ้นมาเหนือศีรษะ แล้วพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “แด่กัปตันและต้นหนผู้ยิ่งใหญ่ สวรรค์อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ขอให้ใจของพวกคุณได้อยู่ในที่สงบ อาเมน!”
ฉินสือโอวยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แอลกอฮอล์ร้อนแสบคอ สดชื่นสุดๆ!
ผู้รับผิดชอบท่าเรือเป็นคนนำทีมกู้ภัยด้วยตนเอง เขารีบตามเข้ามาทันที เมื่อหาฉินสือโอวเจอแล้วก็โค้งคำนับพร้อมทั้งจับมือทักทาย “ผมได้ฟังวีรกรรมความดีของคุณมาแล้ว! เป็นกัปตันที่น่าสรรเสริญจริงๆ! ขอขอบคุณคุณกับลูกเรือของคุณที่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติของชาวเรือแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้! คุณกับลูกเรือของคุณเป็นวีรบุรุษด้วยกันทั้งหมด!”
ฉินสือโอวตบนิมิตส์ที่กำลังใช้ปากจัดการขนของตัวเองเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ผมทำในสิ่งที่กัปตันควรทำ เขาต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายตัวจริง โอเค หรือบางทีเธออาจจะเป็นผู้หญิง แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็คือฮีโร่!”
จนถึงตอนนี้ ฉินสือโอวก็ยังไม่รู้เพศของนิมิตส์เหมือนกัน วินนี่บอกว่าเธอเป็นน้องสาว แต่ชื่อที่ฉินสือโอวตั้งให้ดันเป็นชื่อของผู้ชาย
หลังจากผ่านการต้อนรับอย่างเรียบง่ายไปแล้ว ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันเข้าห้องพักของโรงแรม นักข่าวที่มาทำข่าวเบียดกันอยู่ในห้องโถงอย่างแน่นขนัด ล้วนแต่เป็นนักข่าวที่อยากจะสัมภาษณ์ฉินสือโอวกันทั้งนั้น ทางโรงแรมจึงต้องให้ยามเข้ามาขวางทางเข้าตึกไว้ ผู้รับผิดชอบท่าเรือขอร้องให้บรรดาผู้สื่อข่าวอยู่ในความสงบ เพื่อให้เวลาผู้รอดชีวิตได้พักผ่อนและรับการรักษา
พายุรอบนี้มาไว และก็จากไปด้วยความรวดเร็วเช่นกัน หลังจากฝนที่เทกระหน่ำลงมาทั้งคืนหายไป ท้องฟ้าก็กลับกลายเป็นสดใส เมฆครึ้มถูกขับออกไป แสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมาบนผิวทะเลอีกครั้ง
มหาสมุทรทอแสงเป็นประกาย ทว่าสิ่งที่ฉินสือโอวสัมผัสได้เป็นอย่างแรก คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามนี้ มันคือความโกรธเกรี้ยวของทรราช ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่ต้องตายเพราะความเกรี้ยวกราดของมัน!
ตื่นเช้าวันต่อมา ฉินสือโอวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรจะโทรไปบอกคนที่บ้าน พอเขาคลำหาโทรศัพท์ก็หาไม่เจอแล้ว เขารู้ได้ทันทีว่ามันน่าจะตกลงไปในทะเลตอนที่หัวเรือกำลังโคลงเคลง ใจของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที
เขารีบใช้โทรศัพท์ของห้องพักต่อสายไปหาวินนี่ ทางฝั่งนั้นก็แทบจะรับสายโทรศัพท์ในทันที เสียงสั่นๆ ของวินนี่ก็ดังขึ้นมา “ฟาร์มปลาต้าฉินเมืองแฟร์เวล นครเซนต์จอห์น ฉันคือแฟนของฉินสือโอวกัปตันเรือฮาวิซทค่ะ ขอถามว่า…”
“วินนี่ผมสบายดีครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ท่าเรือบาสก์ เมื่อคืน…” ฉินสือโอวพูดแทรกเสียงวินนี่
ยังไม่ทันได้พูดจนจบ วินนี่ก็ร้องเสียงแหลมพูดขัดขึ้นมาอีกครั้ง “พระเจ้าคุ้มครอง! ที่รักคะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?! สวรรค์ เมื่อคืนพวกเราฟังพยากรณ์พายุของอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์จนขวัญเสียไปหมดแล้ว! ทำไมคุณถึงเพิ่งโทรศัพท์มาตอนนี้ล่ะคะ?! ฉันโทรไปหาคุณเป็นร้อยรอบแล้ว ไม่มีคนรับสายเลย!”
ฉินสือโอวจึงรีบปลอบเธอ บอกเธอว่าเขาปลอดภัยดี ขอให้เธอไม่ต้องเป็นกังวล
ทางฝั่งวินนี่พูดๆ อยู่ก็ร้องไห้ออกมา ฉินสือโอวไม่เข้าใจนัก ต่อมาเออร์บักจึงรับโทรศัพท์ไปคุยต่อ แล้วพูดด้วยความรู้สึกหนักอึ้งว่า จากสถิติของท่าเรือบาสก์ พายุลูกนี้ทำให้มีคนต้องตายอย่างน้อยยี่สิบคน!
“นี่เป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวมาก เป็นภัยพิบัติทางทะเลที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นมากว่าสิบปีแล้ว!” เออร์บักพูดด้วยความเศร้าโศก
………………………………………………………..