ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 443 กลับก่อน
ใต้ทะเลอันเงียบงัน เรือสามเสากระโดงลำใหญ่เอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เรือลำนี้มีอายุหลายปีแล้ว สาหร่ายขึ้นปกคลุมทั้งลำเรือ ดูเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีสีสันสวยงาม
ฉินสือโอวจะปัดสาหร่ายออก ทว่าจิตสำนึกโพไซดอนไม่มีแรงพอควบคุม เรือไม้ถูกกระแสน้ำซัดใส่จนข้างเรือถล่มลงมา รอบข้างอยู่สภาพที่จะพังมิพังแหล่
ตอนนั้นเองฉินสือโอวถึงพบว่า เรือทั้งลำนี้ทำมาจากไม้ทั้งหมด เป็นเรือที่ใช้แรงงานคนในการขับเคลื่อนซึ่งนิยมในช่วงศตวรรษที่สิบหกสิบเจ็ด ดูจากที่ไม่มีแม้แต่เตาไอน้ำบนเรือ
เขามองรอบๆ แต่หาชื่อของเรือไม้นี้ไม่เจอ จิตสำนึกโพไซดอนเข้าไปข้างใน เปิดประตูห้องเรือแล้วพบกับร่างไร้วิญญาณสิบกว่าร่าง
ถ้าไม่ใช่บางพื้นที่ที่อยู่ใกล้ความร้อนใต้พิภพจากภูเขาไฟใต้ทะเล อุณหภูมิน้ำในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ก็ค่อนข้างต่ำทั้งปี โดยเฉพาะก้นทะเล
ด้วยสภาพน้ำที่อุณหภูมิต่ำ ทำให้ศพพวกนี้ไม่เน่าเปื่อย และเพราะห้องโดยสารปิดกั้นแน่นหนาจึงไม่มีปลากุ้งเข้ามากัดกิน ร่างของศพเลยค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ก็ยังเกิดปฏิกิริยาทางเคมีอยู่ ศพโดนน้ำจนบวมซ้ำๆ แล้วแห้งกลายเป็นมัมมี่ในน้ำที่พบเห็นได้ยาก
ในห้องโดยสารด้านในสุด หญิงสาวสองคนโอบกอดลูกของตัวเองไว้ ศพพวกนี้มีสภาพบิดเบี้ยวจากการกลายเป็นมัมมี่ ด้วยท่าทางที่น่าสยดสยอง เขารับรู้ได้ถึงความกลัวและความสิ้นหวังของพวกเขายามเรือล่ม และความทรมานก่อนตาย
เรือลำนี้เป็นเรือสินค้า แต่ก็โดนน้ำทะเลและเวลาโจมตีเสียจนเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงไปหมด ในห้องโดยสารมีเครื่องประดับบางส่วนบนร่างของผู้เคราะห์ร้าย แต่ฉินสือโอวไม่ได้แตะต้อง
เขารู้สึกว่าในสถานการณ์นี้เป็นการดีกว่าที่จะไม่ไปรบกวนวิญญาณของผู้ล่วงลับ
หลังได้เห็นท่าทางการตายอย่างทรมานของผู้เคราะห์ร้าย ฉินสือโอวก็รู้สึกหดหู่มาก กระทั่งตอนเก็บเกี่ยวกรงดักกุ้งยามเที่ยงจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
แลนซ์กับบูลดึงกรงดักกุ้งขึ้นมา กรงแรกปรากฏล็อบสเตอร์หนักสี่ปอนด์คู่หนึ่ง ยังขยับก้ามจัดการกับปลาหมึกอีกครึ่งหนึ่งในกรง
“ดูเจ้าพวกตะกละนี่สิ!” บูลหัวเราะเสียงดัง “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพวกมันน่ารักขนาดนี้ได้นะ?”
“หรือไม่นายก็เห็นพวกมันเป็นแลนด์โรเวอร์” แลนซ์เอ่ยพลางหัวเราะ ในใจเขายินดีเสียยิ่งกว่าบูล เขาคาบกล้องยาสูบพ่นวงแหวนควันวงใหญ่
อารมณ์ของชาวประมงคนอื่นๆ เองก็คงไม่ดีไปยิ่งกว่านี้แล้ว มีคนทำหน้าที่ดันรถขนเข้าห้องแช่แข็ง ที่เหลือก็ยุ่งอยู่กับการจับล็อบสเตอร์มัดก้ามโตด้วยยาง แบ่งงานกันชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
มีอยู่กรงหนึ่งที่ด้านในเป็นปลาไหลเนื้อแน่น บูลใช้มีดหั่นม้นเป็นชิ้นๆ ฉินสือโอวผิวปาก แล้วนิมิตส์ก็บินลงมาคว้าไปกิน
ล็อบสเตอร์ที่เก็บเกี่ยวได้จากเชือกร้อยกรงเส้นนี้ ไม่มากไม่น้อย เป็นล็อบสเตอร์ยักษ์ทั้งหมดห้าสิบตัว แต่ละตัวตัวค่อนข้างใหญ่ จึงประมาณที่หกสิบกิโลกรัมก็เป็นหนึ่งร้อยสามสิบปอนด์
กรงที่เหลือถูกดึงขึ้นมา คราวนี้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์มาก ล็อบสเตอร์สองพันกว่าปอนด์โยนเข้าไปในถังน้ำแข็ง สุดท้ายเหลือกุ้งตัวเล็กร้อยกว่าตัว
ล็อบสเตอร์ขนาดเล็กที่ตัวใหญ่ที่สุดตัวแค่ฝ่ามือ ซึ่งถือว่าโชคร้ายมากที่มาติดในกรงหรืออาจโดนลากมาด้วย
ตามกฎหมายล็อบสเตอร์ตัวเท่านี้ไม่สามารถส่งขายได้ ปกติชาวประมงจะโยนลงทะเลคืนปล่อยให้พวกมันโตต่อไปหรือไม่ก็เอากลับไปให้เพื่อนบ้านกิน
ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องแบคทีเรีย ฉินสือโอวคงโยนพวกมันคืนไปแล้ว แต่ตอนนี้ถึงปล่อยไปก็คงมีโอกาสรอดชีวิตไม่มาก จึงเอาไปต้มซุปแทน
อย่างที่รู้กันว่า กระบวนการเจริญเติบโตของล็อบสเตอร์คือต้องผ่านการลอกคราบ ทุกครั้งที่ลอกคราบ ไคตินที่เคลือบเปลือกล็อบสเตอร์ก็จะหนาขึ้น และเนื้อแน่นขึ้นตาม
พวกมันจะลอกคราบสิบครั้งในหนึ่งปีแรก และเปลี่ยนเป็นปีละครั้งเมื่อพวกมันโตเต็มวัย
ทั้งตัวของล็อบสเตอร์นั้นมีค่า รวมถึงเปลือกของมันด้วย แต่ต้องเป็นเปลือกกุ้งที่ยังไม่โตเต็มวัยเท่านั้น สามารถนำไปเคี่ยว ต้มเป็นซุปน้ำใสหรือซุปชั้นยอดก็ได้
บดล็อบสเตอร์ตัวเล็กโดยไม่ต้องแกะเปลือกแล้วไปต้มในหม้ออัดแรงดัน ต้มจนได้ที่ก็กลายเป็นซอสกุ้งเข้มข้น ใช้ซอสกุ้งนี้ไปผสมกับอาหารเย็นๆ กิน ก็จะได้อาหารชั้นหนึ่ง!
ฉินสือโอวไม่เคยทำ ชาร์ลเมอร์เลยอาสาทำเอง เขาเป็นพ่อครัวชาวประมง มีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม ยิ่งเขาออกทะเลมาตั้งแต่เด็กเพื่อฝึกความชำนาญในการทำอาหารทะเล
เอากุ้งบดกับแครอท หัวหอม ขิง โนริสาหร่ายใส่รวมในหม้ออัดแรงดันอุ่นจนได้ที่ ชาร์ลเมอร์ หัวเราะพลางกล่าวว่า “ไว้รอถึงตอนเย็นพวกเรามาค่อยชิมความอร่อยของซอสกุ้งผสมผักกัน”
ล็อบสเตอร์ตัวเล็กร้อยกว่าตัว ทีแรกฉินสือโอวคิดว่าจะมีเหลือ เขาตั้งใจจะทำล็อบสเตอร์ผัดเผ็ด ปรากฏชาร์ลเมอร์ใช้ทั้งหมด แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า “ยิ่งใช้เยอะ น้ำซุปยิ่งเข้มข้น และอร่อยขึ้นด้วย”
ฉินสือโอวไม่มีแรงจะเถียง เอาเถอะเอาเถอะ เพื่อให้รสชาติมันอร่อยขึ้นนี่นะ
ช่วงบ่ายบอลหิมะกับไอซ์สเกตทำการข้ามทะเลเหนือจรดใต้ หาปลาแฮดดัคตามที่ฉินสือโอวบอก
พอมีหมาล่าเนื้อทะเลก็จับปลาได้มีประสิทธิภาพขึ้น บอลหิมะกับไอซ์สเกตแยกกันตามหาสองทาง และเจอฝูงปลาแฮดดัคอย่างรวดเร็ว
ฉินสือโอวสั่งการ ขับเรือฮาวิซทไป ลงอวนจับ สุดท้ายก็ได้ปลาค็อดมาพันกว่ากิโลกรัม
ตลอดการจับปลาและเก็บกรงดักกุ้ง เรือฮาวิซทยังคงรักษาประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนฉินสือโอวไม่ได้ทำอะไรมาก จนตกเย็นเลิกงาน พวกชาวประมงต่างเหนื่อยล้ากันถ้วนหน้า
ฉินสือโอวรู้สึกว่าแบบนี้ไม่น่าดี จึงชะลอการจับปลาลง แต่พวกชาวประมงกระหายความรู้สึกที่จะได้ทำเงิน พวกเขาฝืนยันตัวเอง ปากตะโกนว่าไม่เหนื่อยไม่เป็นไร แล้วลงอวนจับปลาต่อ
จากสภาพของชาวประมง ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้าใจว่าทำไมฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ที่ใหญ่โตถึงเปลี่ยนให้ทะเลว่างเปล่าได้ ความโลภในจิตใจมนุษย์ช่างน่ากลัวจริงๆ
แน่นอนว่าที่เขาบ่นแบบนี้ได้ เพราะทรัพย์สินตระกูลเขา ไหนจะขุมทรัพย์ฟาร์มปลาที่รอให้เขาไปตักตวงอีก เลยเกิดความรู้สึกปลงขึ้นได้
ถ้ายังยากจนแบบเมื่อก่อน แล้วฉินสือโอวจะได้เงินไม่กี่หมื่นดอลลาร์จากการวางอวนจับปลา เขาย่อมตะบี้ตะบันทำ 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่พักไม่กินน้ำเช่นกัน
เดิมตั้งใจว่าออกทะเลครั้งนี้จะอยู่สามวันครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าสองตัว ทำให้การจับปลาจับกุ้งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก เพียงสองวันครึ่งก็จับล็อบสเตอร์มาได้ห้าพันกว่าปอนด์และปลาทะเลอีกห้าหกตัน…ซึ่งเป็นแฮดดัคทั้งหมด!
ด้วยเหตุนี้ พอเห็นสภาพชาวประมงที่เหนื่อยจนกินอะไรไม่ลง ฉินสือโอวก็โบกมือสั่งให้เดินทางกลับ!
พวกบูลไม่พอใจตะโกนว่า “บอส ห้องแช่แข็งพวกเรายังว่างอีกตั้งครึ่งหนึ่ง ไปจ่ออีกสักสองวันเถอะครับ”
ฉินสือโอวกลอกตา เอ่ยว่า “ขอโทษด้วย แต่พวกนายเหนื่อยกันมากแล้ว ร่างกายทำงานหนักเกินไป ที่จริง พวกเราก็เก็บเกี่ยวมาเยอะพอสมควรแล้ว เดินทางกลับได้ และสุดท้ายที่สำคัญสุด พวกเรายังต้องเตรียมเข้าร่วมงานไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากพายุคราเคนด้วย”
พลังของการเก็บเกี่ยวช่างทรงพลัง ขนาดชาร์คยังพูดอย่างสะเทือนใจว่า “พวกเราอยู่ห่างจากท่าเรือบาสก์แค่นี้เอง ใช้เวลาเดินทางหกเจ็ดชั่วโมงก็ถึงแล้ว ทำไมรีบกลับจังครับ?”
ฉินสือโอวชี้เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมอยู่ “ดูพวกนายแต่งตัวเข้าสิ ว่าก็ว่านะพวก พวกนายตั้งใจจะไปร่วมงานไว้อาลัยด้วยชุดนั้นจริงๆ เหรอ?”
ชาวประมงสวมชุดยางกันน้ำทั้งตัว ตามผมตามตัวเปื้อนพวกคราบเลือดคราบเกล็ดปลา สภาพไม่น่าดูนัก
ต่างคนต่างยืนนิ่งมองกันและกัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
…………………………………………