ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 447 ความรุ่งโรจน์ของมนุษยชาติ
เช้าวันต่อมา ฉินสือโอวกับวินนี่ที่ตื่นแล้วต่างสวมชุดทางการ อากาศหนาวเย็น แน่นอนว่าชุดแพรไหมของเขาใส่ไม่ได้แล้ว วินนี่จึงช่วยเขาซื้อสูทสีดำตัวหนึ่ง ปักลายสีเงินด้านข้าง ทำให้ดูจริงจังลึกลับเล็กน้อย
วินนี่สวมสไตล์เรียบๆ แต่สง่า ด้านบนคลุมด้วยเสื้อกันหนาวไหมพรมสีดำ เข็มกลัดสีเงินตรงหน้าอกเป็นประกายโดดเด่น ด้านล่างสวมถุงน่องสีดำไว้… ที่ยุโรปอเมริกา วัฒนธรรมผ้าไหมสีดำนั้นเชื่อมโยงกับงานจำพวกงานศพ งานไว้อาลัย
สถานที่ที่จัดงานไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตจากพายุคราเคน18 ถูกเลือกจัดที่จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในท่าเรือบาสก์ รยัลอิเพรสชั่นพาร์ค
เป็นสวนแบเปิดแห่งหนึ่ง มีพื้นที่หนึ่งร้อยเอเคอร์ขึ้นไป ต้นไม้ด้านในถูกผู้ไว้ด้วยดอกไม้ขาว ทางผู้ร่วมงานก็ถือดอกไม้สีขาวอย่างกุหลาบขาว ดอกพุดซ้อน ดอกบัว หรือดอกไม้อื่นๆ
ตอนฉินสือโอวเข้าไปในสวน วินนี่ช่วยเขาเลือกดอกเบญจมาศมาดอกหนึ่ง เขาถามว่ามันหมายถึงอะไร วินนี่ตอบ “เป็นการรำพึงถึงคุณธรรมและเกียรติของผู้เคราะห์ร้าย จดจำดวงวิญญาณที่จากไป”
ฉินสือโอวแกล้งหยิกแขนวินนี่ เขารู้สึกว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ของขวัญที่มีค่าที่สุดที่พระเจ้ามอบให้ ไม่ใช่จิตสำนึกโพไซดอน แต่เป็นวินนี่
ทั้งสองพาพวกชาวประมงเข้าไปยังจัตุรัสในสวน แล้วก็มีคนมารับพวกเขา พาไปยังด้านหลังของจัตุรัส ซึ่งมีคนอยู่ในนั้นส่วนหนึ่งแล้ว เช่นเจ้าชายเฮนรี
เจ้าชายเฮนรีพาผู้หญิงมาด้วยคนหนึ่งเหมือนกัน ผมสีทองผิวขาว มีความสง่า แม้เธอจะยังอายุไม่มาก แต่แค่มองก็รู้ได้เลยว่าเป็นผู้ดีมีการศึกษา
พอเห็นพวกฉินสือโอว เจ้าชายเฮนรีก็พยักหน้าอย่างสุภาพ แล้วแนะนำหญิงสาวที่ตามมาด้วย “นี่คือเพื่อนของเรา เลดี้แคโรไลน์ ควินติน่า เซาล์เบิร์ท เบทส์”
“เชิญเรียกฉันว่าแคโรไลน์เถอะค่ะ คุณกัปตัน” สาวสูงศักดิ์ส่งยิ้มพร้อมจับมือกับฉินสือโอว แล้วยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงแอบถามวินนี่เบาๆ ว่า “ทำไมถึงเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า ‘เลดี้’ ล่ะ? เขาแต่งงานแล้วเหรอ?”
วินนี่อธิบายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “คุณคนโง่ที่รัก เลดี้ในที่นี้คือเป็นคำนำหน้า พวกคนชั้นสูงคำนำหน้าของชนชั้นสูงอังกฤษมันก็จะยุ่งยากหน่อย แต่พูดง่ายๆ คือ พวกภรรยาของลอร์ดปกติจะเรียกว่า เลดี้ ตามที่คุณเข้าใจ แต่ลูกสาวของพวกเขาก็เรียกเลดี้ด้วยเหมือนกัน แล้วเรียกรวมกันทั้งชื่อนามสกุล”
ฉินสือโอวกระจ่างทันที แล้วเขาก็ถามอีก “แต่ตอนเจ้าชายเฮนรีแนะนำตัวกับผม เหมือนเขาจะชื่อเฮนรี(Henry)นะ ทำไมถึงเรียกเขาว่าฮันรี(Hanry)กันล่ะ”
วินนี่ตอบ “มันก็แค่วิธีอ่านอีกแบบหนึ่ง แล้วแต่ใครถนัดแบบไหน ส่วนใหญ่ก็จะขี้เกียจแก้กัน และที่จริงชื่อทางการของเจ้าชายก็คือเจ้าชาย เวลส์ เฮนรี”
ฉินสือโอวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่วินนี่ขยิบตาให้เขา “ไม่ว่าจะเรียกยังไง เขามันก็แค่ไอ้บ้าคนหนึ่งเท่านั้น! ถ้าไม่ได้ไปเข้ากองทัพมาสิบปีนะ ป่านนี้เขาคงทำขายขี้หน้าจนเสียชื่อเจ้าชายหมดแล้ว”
ฉินสือโอวหัวเราะหึหึ วินนี่นินทาผู้ชายกับเขา จะไม่ดีใจได้ยังไง
จากนั้นอาฟิฟก็มา เขาพาเด็กสาวโลลิต้ามาด้วย ดูอายุราวสิบสี่สิบห้า ส่วนสูงพอๆ กับเชอร์ลี่ย์ ผมสีดำตาสีดำ มีสายเลือดอาหรับแท้ๆ
แต่ต่างจากเด็กสาวอาหรับส่วนใหญ่ ตรงที่ใบหน้าของโลลิต้ามีความสวยอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งอายแชโดว์โดยธรรมชาติและขนตาที่งอนยาวซึ่งหาได้ยากในผู้หญิงเอเชีย ด้วยรายละเอียดของหางตาบนและล่างทำให้ดวงตาของเธอดูลุ่มลึก
เจอฉินสือโอวรอบนี้ อาฟิฟกอดเขาแทนการจับมือ
กอดกันเสร็จ อาฟิฟก็แนะนำเด็กสาวข้างตัว “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของผม เจ้าหญิงซาลามาห์ เป็นเด็กสาวที่สวยมาก จริงไหมครับ?”
ฉินสือโอวเห็นด้วย “ใช่เลย สวยมาก โดยเฉพาะตาของเธอ ยังกับนางฟ้าเลย”
เขารู้ว่าประเทศอาหรับคุ้นเคยกับการแต่งงานในเครือญาติ เลยอนุมานว่าเจ้าหญิงโลลิต้าน่าจะเป็นคู่หมั้นของอาฟิฟที่เตรียมไว้ เจ้าหมอนี่ช่างโชคดีในความรัก ส่วนเจ้าหญิงน้อยก็สวยจริงๆ
พวกเขากระซิบพูดคุยกัน กระทั่งบาทหลวงคนหนึ่งเดินขึ้นเวที แล้วเริ่มพิธีไว้อาลัย
ผู้เสียชีวิตจากพายุทั้งหมด 25 คน พนักงานนำรูปขาวดำของพวกเขาวางไว้ด้านหลังแท่น สมาชิกครอบครัวของ 25 คนนั้นถูกเชิญมายังจัตุรัส พวกเขาต่างร้องไห้โอบกอดกันอย่างเศร้าโศก
ขั้นแรกคือผลัดกันมอบดอกไม้ ฉินสือโอวมอบดอกเบญจมาศสีขาวของตัวเองให้ภรรยาของแคสแมน กัปตันเรือแนสแกส วินนี่ที่เดินตามอยู่ด้านข้างกอดเธอพร้อมบอกว่า “ร้องให้เต็มที่เลยนะคะ คุณนาย กัปตันแคสแมนเป็นกัปตันที่ดีที่สุดที่ฉันเคยรู้จักเลยค่ะ เขาเป็นคนดี และได้เป็นแบบอย่างให้กับแฟนของฉันด้วยค่ะ”
งานดำเนินต่อไป จากนั้นก็เป็นการขึ้นพูด เจ้าชายเฮนรีในฐานะราชวงศ์อังกฤษและต่อด้วยรัฐบาลแคนาดาขึ้นพูดต่อ แล้วจึงเป็นฉินสือโอว ที่ขึ้นพูดในฐานะเรือฮาวิซท
วินนี่เตรียมบทให้เขาแล้ว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอย่างนี้ ตอนขึ้นเวทีจึงไม่ค่อยประหม่าเท่าไร เริ่มด้วยการคุยเรื่องทั่วไปก่อน
“อย่างแรก ผมขอแสดงความเคารพต่อแคสแมนกัปตันเรือแนสแกส คุณต้นหนกิลเบิร์ตและยืนไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตอีก 25 ท่าน…”
“ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด ตอนที่เรือโดยสารวางเรือชูชีพ พวกผู้ชายพาเด็กและผู้หญิงลงไปในชูชีพก่อน”
“เท่าที่ผมทราบ มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘กฎบนทะเล’ ที่บอกผู้ชายพวกนั้นทำการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ แล้วให้พวกเขารอความช่วยเหลือเป็นกลุ่มสุดท้าย พวกเขาทำไป แค่เพราะในฐานะที่ผู้แข็งแกร่งปกป้องผู้อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันหมดไม่ว่าบนแผ่นดินหรือทะเล แต่นั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาเลือก”
“ยิ่งไม่มีทางลืมกัปตันแคสแมนที่ปักหลักจับเชือกเรือยางเอาไว้จนต้องตายและต้นหนกิลเบิร์ตที่ช่วยร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด พวกเขาเลือกที่จะเป็นแบบอย่างทำสิ่งที่กัปตันควรทำ ความรับผิดชอบนั้นสำคัญเกินกว่าจะมาคิดเล็กน้อย!”
“…ท่านสุภาพบุรุษท่านสุภาพสตรีครับ กัปตันและคุณต้นหนได้ยืนหยัดที่จะปกป้องคุณค่าของมนุษย์ที่แม้เก่าแก่แต่ก็เยาว์วัยเสมอจนถึงที่สุด พวกเขาเชิดชูจิตวิญญาณแห่งอารยธรรมของมนุษย์ และจะไม่มีใครมองข้ามปณิธานของวีรบุรุษได้ เพื่อช่วยชีวิตลูกเรือและผู้โดยสาร พวกเขาต่างมุ่งมั่นกันจนวินาทีสุดท้าย!”
“…ต้องขอบคุณการเสียสละของพวกเขา ที่ทำให้เราได้เห็นคุณค่าและยังความสวยงามในตัวของมนุษย์อยู่ ขอบคุณครับ”
เมื่อฉินสือโอวพูดไว้อาลัยจบ ก็โค้งคำนับ แล้วคนด้านหลังก็เข้ามาพูดต่อ
กระทั่งคนที่เหลือกล่าวไว้อาลัยหมดแล้ว ครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายจึงดึงผ้าสีขาวที่คลุมรูปปั้นยักษ์กลางจัตุรัส เผยให้เห็นนกฟรีเกตตัวหนึ่งที่บินโฉบลงมา
รูปปั้นนกฟรีเกตสูงสองเมตรครึ่ง และปีกที่กว้างสองเมตรกว่า รูปปั้นทั้งตัวทำมาจากหินอ่อน การแกะสลักดูดุดันน่าเกรงขาม หัวของมันเชิดขึ้น ปีกทรงพลังสองข้างกางออก ขนบนตัวยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย แต่ไม่ดูรก มีแต่ความห้าวหาญ!
ฉินสือโอวสะกิดนิมิตส์ให้ดูรูปปั้นนกฟรีเกต มันกางปีกบินไปรอบๆ รูปปั้น สุดท้ายก็ร่อนลงบนรูปปั้นด้วยความสงสัย
พวกนักข่าวยืนเบียดกันเพื่อถ่ายภาพ
……………………………………………………