ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 465 กลับบ้านฉลองปีใหม่
บูลรีบยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ อย่าๆ อย่าลงมือนะ โอเค ผมลงเรือ! พระเจ้า ผมเคยสาบาน ผมจะไม่ไปเจอแอนนาอีก…”
“อย่าพูดมาก ลงเรือไปขอโทษแอนนา แล้วคุยกับเธอดีๆ ถ้านายตีเธออีก งั้นฉันก็จะเห็นแก่พระเจ้าให้อีวิลสันไปคุยกับนายสักหน่อย” ฉินสือโอวพูด
บูลทำหน้าลำบากใจ ฉินสือโอวรู้ว่าเรื่องหัวใจไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้าใจได้ง่ายๆ เขาไม่ได้อยากเป็นพระเจ้า แล้วก็ไม่มีพลังจะเป็นพระเจ้า แค่รับผิดชอบในฐานะกัปตันเท่านั้น
“บูล ถ้านายเคยทำผิดต่อแอนนาก็ขอโทษ! มันจะยากไปกว่าการที่เราเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งท่ามกลางพายุหรือไง? ยังจำคำวิจารณ์ของสื่อที่มีต่อนายได้ไหม? ชายฉกรรจ์ที่เหยียบไหล่เทพแห่งความตาย!”
คำวิจารณ์นี้ได้มาเพราะตอนนั้นบูลกับอีวิลสันเหยียบบันไดที่โอนเอนไปช่วยคน ตอนนั้นลมแรงคลื่นก็ลูกโต แต่เรือฮาวิซทยังคงไม่ไหวติง บันไดก็ลื่นเหลือเกิน ถ้าไม่ระวังตกลงไปก็จะถูกคลื่นกลืนกินทันที
ได้ยินคำของฉินสือโอวบูลก็พยักหน้ารัวก่อนจะเอ่ยปาก “ขอบคุณ กัปตัน ผมรู้แล้วว่าควรจะทำยังไง!”
ฉินสือโอวลงจากเรือส่งเหล่าชาวประมงกลับ เขากับวินนี่และคนอื่นๆ พูดคุยหัวเราะกันพลางเดินไปทางคฤหาสน์ วินนี้พูดยิ้มๆ “ฟาร์มปลาไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว ตอนที่คุณไม่อยู่น่ะแย่มากๆ เลย”
ที่ทำเอาฉินสือโอวจนใจก็คือ หลังจากนี้คฤหาสน์คงจะเงียบเหงากว่าเดิม เพราะเดี๋ยวเขาก็ต้องพาวินนี่กลับบ้านฉลองปีใหม่แล้ว
สำหรับคนก็ไม่เท่าไร เพราะฉินสือโอวจะพาวินนี่ เออร์บักและเชอร์ลี่ย์ รวมถึงเด็กๆ ทั้งสี่กลับบ้าน ฉลองปีใหม่นี่นา ที่สำคัญคือบรรยากาศ คนยิ่งเยอะยิ่งสนุก พ่อแม่ก็จะยิ่งดีใจ
แต่เจ้าพวกตัวเล็กทำไง? หู่จือ เป้าจือหรือกระทั่งเสี่ยวหลัวปอก็ยังไม่เท่าไร พาหมาเข้าออกนอกประเทศไม่มีปัญหาอะไร ฉงต้ากับปอหลัวล่ะ? พวกมันเข้าจีนไม่ได้แน่
ที่ดีหน่อยก็คือ ฉงต้าตอนนี้ไม่ค่อยกระดี๊กระด๊าเท่าไร กลับไปถึงคฤหาสน์ก็หาที่อุ่นๆ หมอบลงนอน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่พามันกลับบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต
“ฉงต้าจะจำศีลฤดูหนาวเหรอ?” ฉินสือโอวถาม
วินนี่หัวเราะออกมา “จำศีล? ไม่ ฉันไม่คิดว่าอย่างนั้นนะที่รัก รอถึงตอนกินข้าว คุณก็จะรู้เองว่ามันร่าเริงกว่าใครเพื่อน!”
เชอร์ลี่ย์อธิบาย “คือแบบนี้นะคะฉิน ครึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้เราดูรายการเกี่ยวกับหมีสีน้ำตาล ในนั้นบอกว่าหมีสีน้ำตาลจะนอนจำศีล เหมือนว่าฉงต้าจะดูเข้าใจ ตั้งแต่วันนั้นทุกครั้งที่กินอิ่มมันก็จะนอนที่ด้านล่างเตาผิงไม่ก็แอร์”
ฉินสือโอวหยิบปลาแซลมอนแอตแลนติกที่ตั้งใจเก็บไว้ตัวหนึ่งออกมาโบกไปมาเหนือหัวฉงต้า จมูกของฉงต้าขยับฟุดฟิดทันที มันลืมตามองดูแล้วรีบหลับตาลงอีกก่อนจะกรนเป็นจังหวะต่อ
“ไอ้เจ้านี่นี่!” คราวฉินสือโอวจะยังไม่เข้าใจเป้าหมายของเจ้านี่อีกเหรอ? เขาลากมันขึ้นมาแล้วหยิกหูให้มันไปวิ่งในสวน
ฉงต้าไม่อยากไป กอดขาของฉินสือโอวร้องงอแงอู้อี้ ดูท่าทางน่าสงสาร แต่พอฉินสือโอวเผลอ มันก็กระโดดขึ้นมากินปลาแซลมอนแอตแลนติกทำเอาฉินสือโอวหัวเสีย
ในตอนเย็นที่ปักกิ่งยังไม่ถึงกลางวัน ฉินสือโอวโทรหาเหมาเหว่ยหลงถามว่าถ้าเขาจะเอาหมีตัวหนึ่งกลับจีนจะทำเรื่องตรวจสัตว์เข้าออกประเทศให้เขาได้ไหม
เหมาเหว่ยหลงตอบอย่างจนใจ “ขอแค่แกผ่านด่านศุลกากรสนามบิน ทางฉันก็ทำให้แกได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นต่อให้ฉันออกหน้าก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้นายไม่รู้หรอกว่ากฎหมายในประเทศเคร่งยิ่งกว่าเดิมมาก”
ฉินสือโอวได้แต่วางสาย หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงเอี๋ยนตงเหล่ยจึงถามเขาว่ามีวิธีไหม
หลังจากเรื่องพายุคราเคน เอี๋ยนตงเหล่ยเคยโทรหาเขา ชมเขาว่าเขาสร้างชื่อเสียงให้คนจีนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บอกว่าการที่เขาช่วยชีวิตคนไว้ทำให้คนจีนในนิวฟันด์แลนด์อยู่ง่ายขึ้นเยอะ
ได้รับโทรศัพท์จากเขา เอี๋ยนตงเหล่ยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ศุลกากรด่านตรวจโรคเข้าออกประเทศจัดการเรื่องนี้ใช่ไหม? เดี๋ยวฉันติดต่อให้ คุณไปทำใบรับรองการเลี้ยงเซนต์จอห์น แบบนี้เอาหมีไปด้วยก็ไม่เป็นไร”
เอี๋ยนตงเหล่ยเป็นคนสุขุม ฉินสือโอวมั่นใจในตัวเขามาก ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ งั้นก็ต้องไม่มีปัญหาแน่
ปอหลัวก็หมดหนทางแล้ว ได้แต่วานทางบ้านของชาร์คกับซีมอนสเตอร์ให้ช่วยดูแลให้ ดีที่เจ้านี่พยศเป็นปกติ ไม่เหมือนกับหู่เป้าฉงสามตัวที่น่าห่วง พอห่างจากฉินสือโอวก็ร้องงอแง
กลางเดือนกุมภาพันธ์ ฉินสือโอวเก็บกวาดคฤหาสน์เตรียมตัวกลับบ้าน ฟาร์มปลามีชาร์คกับซีมอนสเตอร์คอยคุม นอกจากนี้แลนซ์ยังพาชาวประมงอีกเก้าคนเข้าอพาร์ตเมนต์ของฟาร์มปลาแล้ว มีเรื่องอะไรก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
กลับบ้านตอนปีใหม่จะขาดของขวัญไม่ได้ ฉินสือโอวกับวินนี่ซื้อของเยอะแยะ โสมอเมริกาหลายสิบแท่ง ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือแห้งสิบกว่ากรัม ของทะเลแห้งที่ควรมีก็มีหมด นอกนั้นยังมีน้ำเชื่อมเมเปิล น้ำมันแมวน้ำ น้ำมันปลาทะเลลึกเป็นต้น แต่ละขวดใหญ่ๆ ทั้งนั้น
สุดท้ายมาคิดๆ ดู ฉินสือโอวก็ซื้อนมผงอีกลังใหญ่ วินนี่ถามเขาว่าจะให้ใคร เขาบอกว่าเตรียมไว้ให้เพื่อน
กลับบ้านคนเยอะแถมยังพาพวกหมา หมี และนกอินทรีไปอีก ฉินสือโอวเลยโทรหาเจนนิเฟอร์ให้เหมาเครื่องบินให้เขา บินตรงจากเซนต์จอห์นไปถึงปักกิ่ง พอตรวจแล้วไม่มีปัญหาก็บินไปที่สนามบินจังหวัดซึ่งใกล้กับบ้านเกิดมากที่สุด
เพราะคอนเนคชั่นเลยทำได้ราบรื่น ฉินสือโอวเลยสามารถวางใจเอาพวกเหล้าบุหรี่ไปด้วย ไอซ์ไวน์ ไวน์ รัม เขาเอามาอย่างล่ะหน่อย ตอนฉลองปีใหม่ก็เอามารับแขกได้
บริษัทเอ็กซ์เพรสใหญ่จริง วันที่สองหลังจากที่ฉินสือโอวโทรศัพท์ไป เจนนิเฟอร์ก็ติดต่อหาเครื่องบินโดยสารชั้นยอดมีชื่อให้ได้แล้ว เครื่องบินบอมบาร์เดียร์ ชาเลนเจอร์ 350!
เครื่องบินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินเอกชนรุ่นที่ดีที่สุดผลิตโดยผู้นำทางการบินบอมบาร์เดียร์ มีที่นั่งทั้งหมด2+16ที่ พื้นที่กว้างขวางแน่นอน ความยาวตัวเครื่อง21เมตร ความยาวปีก22เมตร เป็นตัวเต็งในหมู่เครื่องบินส่วนตัว
พื้นที่กว้างพอ ฉินสือโอวเลยพาเบิร์ดไปด้วย เจ้านี่ไม่ค่อยพูดแถมฉลาด กลับบ้านเหมาะให้เป็นคนขับรถ ยาม ไม่ก็คนงาน บนเครื่องยังเป็นคนขับเครื่องสำรองได้ด้วย
การเช่าจากเซนต์จอห์นไปสนามบินจังหวัดครั้งนี้ทั้งหมดสองแสนหนึ่งดอลลาร์ บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสลดได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ก็แสนหกดอลลาร์แคนาดา เปลี่ยนเป็นเงินหยวนก็คือแปดแสน
ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่แพงเลยสักนิด คนเยอะขนาดนี้ถ้านั่งชั้นหนึ่งก็ต้องใช้เงินแสนหกดอลลาร์ แถมตอนนี้พวกเขาเหมาเครื่องด้วย
ที่จริงแล้วยังมีเครื่องบินที่ราคาเช่าถูกกว่านี้ อย่างเช่นแอร์บัส 350 ฟอลคอน 2000 บินครั้งหนึ่งค่าเช่าไม่ถึงแสนดอลลาร์ด้วยซ้ำ
แต่ว่าระยะการบินพวกนี้ใกล้เกินไป เซนต์จอห์นห่างจากบ้านเกิดมากๆ ตั้งหนึ่งหมื่นหกพันกว่ากิโลเมตร ระยะบินของเครื่องบินพวกนี้มีแต่สามพันกิโลเมตร ห้าพันกิโลเมตร บินครั้งหนึ่งต้องลงจอดเพื่อเติมน้ำมันหลายครั้ง ยุ่งยากเกินไป
ระยะบินของชาลเลนเจอร์ 350 คือ 12,000 กิโลเมตร จากเซนต์จอห์นบินไปเติมน้ำมันที่เมืองแวนคูเวอร์ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็บินตรงไปปักกิ่งเอาเครื่องลงทำการตรวจสอบทางศุลกากร
อีกอย่างเครื่องบินนี้ก็เร็วมาก สามารถถึง 82 มัค แค่ 15-16 ชั่วโมง ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็กลับถึงบ้านแล้ว
ขึ้นเครื่องจากสนามบินเซนต์จอห์น มีพนักงานขนสัมภาระเข้าใต้ท้องเครื่อง ฉินสือโอวแค่ต้องพาทุกคนไปพักผ่อน
วินนี่เคยได้รับการฝึกเครื่องบินส่วนตัว รู้จักเครื่องรุ่นชาเลนเจอร์เป็นอย่างดี พอขึ้นเครื่องเธอก็ปรับที่นั่งให้เป็นเตียงเล็กๆ ให้เด็กๆ ทั้งสี่ขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ช่วยเออร์บักดึงจอแสดงตรงหน้าออกมาแล้วเปิดละครที่เขาชอบ
มองวินนี่ทำโน่นทำนี่ ฉินสือโอวกอดอกพิงประตูดูอยู่ด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกแบบนี้ดีจริงๆ เหมือนกับวินนี่กำลังทำโน่นนี่ให้ลูกของตัวเอง
………………………………………