ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 474 งานเลี้ยงรวมตัวก่อนปีใหม่
ฉินสือโอวรับปากว่าจะลงทุนในการสร้างโรงงาน ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มระอุขึ้นมา กลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้านต่างก็ทยอยพากันยกแก้วดื่มให้กับพ่อของฉินสือโอว คำพูดชมเชยฉินสือโอวนั้นมีมากเสียจนตัวเขาฟังจนแทบจะอ้วกแล้ว แต่คุณพ่อกลับเต็มไปด้วยสีหน้าพอใจ
“ตั้งแต่เสี่ยวโอวเด็กฉันก็เห็นแล้วว่าเด็กคนนี้น่ะเก่ง ตอนประถมก็เรียนได้ที่หนึ่งของหมู่บ้านมาตลอด เก่งมาก มา ดื่มกัน”
“ตอนเสี่ยวโอวสอบเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็บอกกับคนในหมู่บ้านนะว่าเราต้องได้รับบารมีจากเสี่ยวโอวแน่นอน ดูสิ ฉันพูดถูกใช่ไหม? มา ดื่มอีกแก้ว”
“เสี่ยวโอวเก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเรียนจบยังเคยทำงานในบริษัทน้ำมันด้วยนี่ใช่ไหม? นี่นะ เด็กจบใหม่สมัยนี้จะมีกี่คนกันที่ได้เข้าทำงานในที่ดีๆ แบบนั้นใช่ไหม? งานดีแบบนั้นแต่เสี่ยวโอวยังไม่อยากทำเลย มา พอละ!”
“ต้าเผิง อย่ามัวแต่เอาแต่กิน นายน่ะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเสี่ยวโอว ฟังคำพี่นะ ต้องเรียนรู้จากเสี่ยวโอวเยอะๆ พอแล้ว หยุดกินไส้กรอกเลือดได้แล้ว ขนาดพี่ยังไม่สวาปามกินเลย”
ฉินเผิงหมดคำจะพูด สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “งั้นผมช่วยอีกแรง จากนี้ไปผมรับผิดชอบเรื่องการซ่อมรถขนส่งของโรงงานผลไม้กระป๋องของเราเอง ไม่คิดเงินด้วยซ่อมให้ฟรี โอเคไหมครับ?”
เลขาหมู่บ้านพยักหน้าจริงจัง พูดว่า “ต้าเผิง เด็กคนนี้ก็ไม่เลว แม้ว่าเขาจะเปิดแค่อู่ซ่อมรถเทียบกับเสี่ยวโอวไม่ได้ แต่ว่าก็ทำได้ไม่เลว ฉันได้ยินคนในเมืองพากันพูดว่า ปลอดภัยต้องไปทางตะวันตก แต่ซ่อมรถต้าเผิงจากหมู่บ้านตระกูลฉินเป็นที่หนึ่ง!”
เหวินซูพอได้ฟังเลขาหมู่บ้านพูดแบบนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย ตบบ่าฉินเผิงแล้วพูดว่า “ตั้งหน้าตั้งตาทำงานนะ น้องชาย อีกหน่อยถ้าโรงงานผลไม้กระป๋องของหมู่บ้านแบ่งเงินปันผลให้นายแล้ว นายก็เอาไปขยายร้าน เอาให้เป็นอู่ซ่อมรถที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเลย”
ฉินเผิงยิ้มขื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ “โอเค จากนี้ไปผมจะไม่มากินมื้อหมูปีใหม่อีกแล้ว นี่มันเวรกรรมชัดๆ ”
ดื่มเหล้ากันชุ่มคอ กินอาหารกันหนำใจแล้ว ฉินสือโอวก็พูดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “คุณน้า คุณลุง พี่ ผมอยากสอบถามเรื่องหนึ่งครับ พวกคุณว่าถ้าผมอยากรับเหมาแม่น้ำไป๋หลงมาทำฟาร์มปลา จะสามารถรับเหมาแม่น้ำในเขตหมู่บ้านเราได้ไหมครับ?”
ความจริงก่อนเขาจะกลับบ้าน ก็คิดว่าจะลงทุนช่วยหมู่บ้านให้หาเงินได้มากขึ้นอีกนิด แผนที่วางไว้ตอนแรกคือฟาร์มเลี้ยงปลา ทำการล้อมแม่น้ำไป๋หลงในเขตหมู่บ้านตระกูลฉินไว้ น่าจะทำกำไรได้ก้อนหนึ่ง
ตอนนี้ในหมู่บ้านจะสร้างโรงงานผลไม้กระป๋องอยู่แล้ว อีกอย่างแทบจะทุกครัวเรือนในหมู่บ้านก็มีสวนผลไม้ทั้งบนเขาและพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านอยู่แล้ว งั้นการเลี้ยงปลาในแม่น้ำไป๋หลงก็ไม่ต้องให้หมู่บ้านแล้ว เก็บไว้ให้ตัวเองแล้วกัน
ที่ฉินสือโอวคิดไว้ การเลี้ยงปลาในแม่น้ำไป๋หลงน่าจะทำกำไรได้มากกว่า ก็งานนี้เป็นงานถนัดเขานี่นา อีกอย่าง ในแม่น้ำไป๋หลงยังมีเงินตำลึงสมัยราชวงศ์หมิงอยู่คู่หนึ่งด้วย ไว้มีโอกาสไปงมขึ้นมาแล้วหาวิธีจัดการเสียหน่อย ตอนนั้นเงินลงทุนอะไรก็กลับมาหมดแล้ว
เมื่อได้ฟังคำพูดเขาแล้ว เลขาและหัวหน้าหมู่บ้านปัดมือ แล้วพูดว่า “เรื่องเล็ก นายไปรับเหมาได้เลย ไม่ต้องจ่ายค่ารับเหมาอะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนเล็กน้อยที่นายช่วยให้คนในหมู่บ้านมีชีวิตดีขึ้นแล้วกัน”
ในเมื่อตกลงกันได้แล้วแล้ว ฉินสือโอวตัดสินใจแล้วว่าหลังปีใหม่จะไปเลี้ยงปลาน้ำจืดในแม่น้ำไป๋หลง แบบนี้ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยากไปทำงานในโรงงาน งั้นก็ไปดูแลฟาร์มปลาแทน สรุปคือต้องไม่ให้พวกเขาต้องไปเหนื่อยในสวนอีก
วันที่สองหลังอาหารมื้อนั้น ฉินสือโอวไปธนาคารในเมืองทำบัตรกดเงินสดให้คุณพ่อหนึ่งใบ ในบัตรมีเงินหนึ่งล้านหยวน เขาให้คุณพ่อดูแลเงินจำนวนนี้ แบบนี้ทุกครั้งที่หมู่บ้านต้องการใช้เงินก็ต้องมาหาพ่อ ให้เขามีหน้ามีตามากขึ้น
ข่าวที่ฉินสือโอวสนับสนุนเงินทุนสร้างโรงงานผลไม้กระป๋องนั้นได้แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน ตอนนี้ไม่ว่าบ้านไหนฆ่าหมูปีใหม่ ก็จะเชิญฉินสือโอวกับคุณพ่อไปด้วยทั้งนั้น บางครั้งยังให้เขาพาภรรยาไปด้วย ทำเอาวินนี่กลัวไปเลย ฉลองปีใหม่แค่ปีเดียวเท่านั้น น้ำหนักจะขึ้นมาเท่าไรกัน?
วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง เป็นตรุษจีนเล็กตามธรรมเนียมของประเทศจีน จากวันนี้เป็นต้นไป ก็จะมีบางบริษัทที่ทยอยให้พนักงานหยุดกลับบ้าน
ฉินเผิงเป็นคนนำจัดงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัยมัธยมต้น ให้ไปกินข้าวร้องเพลงกันในเมือง แน่นอนว่าฉินสือโอวเองก็ต้องไปร่วมงานด้วย
ขับรถไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคาร์ฟูร์เพื่อเตรียมซื้อของที่จะใช้ในมื้อคืนปีใหม่ จากนั้นก็ไปที่โรงแรมที่นัดกันไว้ ฉินสือโอวเพิ่งลงรถโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา เขาเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์ที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศจึงรับสาย
หลังรับสายแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู “ไฮ สวัสดี ฉินใช่ไหม? ผมคือเจมส์ เจมส์ คาเมรอน หวังว่าผมจะไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณนะครับ”
ทำไมอยู่ดีๆ ก็ได้รับสายจากผู้กำกับฮอลลีวูด? ฉินสือโอวประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็พูดทักทายกับคาเมรอนสักพัก
หลังจากทักทายกันจบแล้ว คาเมรอนก็พูดว่า “คือแบบนี้นะครับ สองปีก่อนผมก็มีความคิดที่อยากจะถ่ายทำหนังเกี่ยวกับภัยพิบัติของมหาสมุทรอยู่แล้ว แต่อย่างที่คุณทราบ ‘ไททานิก’ เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จมาก ผมเลยรู้สึกประหม่ามาก”
“แต่ตอนนี้หลังจากมีข่าวเรื่องภัยมรสุมคราเคน18 แล้ว ทำให้ผมมีความคิดใหม่ขึ้นมา ผมอยากนำเรื่องราวของพวกคุณไปทำเป็นภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าคุณสนใจไหมครับ? ที่ผมพูดคือให้คุณมอบอำนาจให้ผม ผมจะเป็นคนแก้ไขเรื่องราว ผมกับแฟรงค์ ดิลเลนกำลังเขียนบทกันอยู่”
แฟรงค์ ดิลเลนเป็นผู้ช่วยเขียนบทที่คาเมรอนร่วมงานด้วยเป็นประจำ มีชื่อเสียงในฮอลลีวูดมากเช่นกัน อย่างภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูดเช่น ‘ไททานิก’ ‘คนเหล็ก’ ‘เอเลี่ยน’ ‘คนเหล็ก ผ่านิวเคลียร์’ ก็เป็นผลงานของเขาเช่นกัน
นี่ก็คือการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศในยุโรปและอเมริกา อย่างเรื่องจากชีวิตจริงแบบนี้หากว่าจะนำไปแก้ไขทำเป็นเกม นิยาย หรือภาพยนตร์แล้ว จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้คนในเหตุการณ์ก่อน ไม่อย่างนั้นก็รอรับหมายศาลได้เลย
ฉินสือโอวคิดทบทวนสักพัก รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ตกลงไปก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร แต่ก็ควรจะระวังหน่อยดีกว่า จึงพูดว่า “ขอเวลาผมคิดได้ไหมครับ? เดี๋ยวผมให้ทนายของผมคุณเออร์บักติดต่อกลับไปหาคุณ เพื่อแจ้งการตัดสินใจของผมนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
พอฉินสือโอววางสาย เขาก็ถูกคนตบตัวจากทางข้างหลัง เขาหันกลับไปมองปรากฏว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้นที่ไม่เจอมานานคนหนึ่ง จึงเข้าไปกอดอย่างตื่นเต้นดีใจ ถามว่า “เบอร์เกอร์ตอนนี้นายไปรวยอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”
ชื่อเพื่อนของเขาคนนี้คือหานเป่าเป่า ตอนนั้นก็สนิทกันพอสมควร เพราะว่าฉายาได้กระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน คนหนึ่งคือฉินโซ่ว คนหนึ่งคือแฮมเบอร์เกอร์
หานเป่าเป่าหัวเราะแล้วพูดว่า “รวยอะไรกัน เป็นลูกจ้างอยู่เลย ลำบากน่าดูเลย ได้ยินว่านายมีชีวิตที่ดีไม่เลวเลยนี่นา เมื่อกี้ใครโทรมาหานายเหรอ เหมือนฉันจะได้ยินนายพูดภาษาอังกฤษด้วยใช่ไหม?”
ฉินสือโอวยื่นมือถือให้ดูแล้วพูดว่า “เจมส์ คาเมรอนน่ะ คุณลุงผู้กำกับจากฮอลลีวูดคนนั้นนั่นแหละ”
ห่านเป่าเป่าชูนิ้วโป้งให้เขาแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่อวดรวยได้อย่างมีระดับจริงๆ ข้าน้อยคนขี้อวดมือใหม่ขอคารวะ”
ฉินเผิงเรียกคนมาทั้งหมดสิบห้าคน มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ครึ่งหนึ่งต่างก็แต่งงานแล้ว ฉินสือโอวมองดูเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาอย่างน้อยก็สิบปีแล้วก็มีความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
เวลาผ่านไปไวจริงๆ
ฉินเผิงนำรูปสมัยมัธยมต้นมาด้วยจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงรูปที่ถ่ายวันจบการศึกษาด้วย เมื่อได้เห็นรูปพวกนี้ฉินสือโอวก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เขารีบแย่งรูปไปแล้วพูดว่า “นายยังเก็บของพวกนี้ไว้อีกเหรอ? เลวจริงๆ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยให้ฉันดูเลย!”
ฉินเผิงมีสีหน้าหดหู่ ฉินสือโอวรู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนละเอียด ในบ้านคงยังเก็บของสมัยเด็กไว้อีกมากมายไว้ทีเดียว ในตอนนี้ของพวกนี้เป็นของมีค่ามากเลย เสียดายที่ฉินสือโอวเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบ ของต่างๆ จึงถูกเขาทิ้งไปตั้งนานแล้ว
ฉินสือโอวเรียนมัธยมต้นในหมู่บ้านชาวไร่ สุดท้ายได้เข้าเรียนมัธยมปลายแล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ในห้องเรียนมีกันแค่หกถึงเจ็ดคน ในงานเลี้ยงครั้งนี้กลับมีเขาแค่คนเดียว เพื่อนคนอื่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต่างก็ต้องทำงานกันหมด กลับมาไม่ได้
คนพวกนี้ส่วนมากก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว ดังนั้นในงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้จึงกลายเป็นการเปรียบเทียบลูกตัวเองกัน การเลื่อนโทรศัพท์ในงานเลี้ยง ล้วนแต่เป็นรูปของลูกๆ ทั้งนั้น
ทางฝั่งฉินสือโอวทำอะไรไม่ถูก จึงตบโต๊ะแล้วตะโกนว่า “ตอนนี้ฉันเป็นเศรษฐีบ้านนอกแล้ว แถมยังเป็นเศรษฐีบ้านนอกรายใหญ่ที่โอนสัญชาติแล้วด้วย ให้ฉันอวดหน่อยไม่ได้เหรอ?”
………………………………..