ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 494 เจอศัตรู
เมื่อคืนตอนที่ทอดไข่ ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกจมูกหลอดหางสั้นจำนวนมากในเครื่องฟักไข่ เขาบอกว่าตอนนี้นอกจากไข่ห่านแล้ว อย่างอื่นมีครบหมดแล้ว
แต่ยังพูดไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไข่ห่านก็ปรากฏแล้ว
เป้าจือรนหาที่ตายเอง อะไรคือความแตกต่างระหว่างการแย่งไข่ของห่านขาวและการต้องการฆ่าพวกมันล่ะ? ดังนั้นเหล่าห่านขาวจึงไล่ตามมันไม่หยุด ได้ยินที่เสียงร้อง ‘ก้าบก้าบ’ ของห่านขาวที่ไล่ล่าเป้าจือทุกวิถีทาง จนสภาพของเป้าจือดูน่าสงสารมาก
เดิมทีความเร็วในการวิ่งของเป้าจือนั้นเร็วมาก แต่การคาบไข่ห่านฟองใหญ่ในปากทำให้มันรู้สึกไม่สบายเท่าไร อีกอย่างคือ ไข่ห่านหนักมาก มันวิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็เหนื่อยเสียแล้ว นี่ก็เป็นตัวแปรที่ทำให้ความเร็วของมันลดลงเหมือนกัน
หู่จือเดินหน้าไปร่วมมือ มันมักไม่รู้จักจำ เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่มันไม่ได้ต่อสู้กับห่านขาว มันลืมเทพเจ้าแห่งสงครามในฟาร์มปลาแล้วล่ะ
หู่จือโค่นห่านขาวตัวหนึ่งล้ม จากนั้นห่านที่อยู่รอบๆ ก็เข้ามาล้อมหู่จือผู้โชคร้ายเอาไว้…
แค่ฟังเสียง ‘ก้าบก้าบ’ ที่โกรธจัดของห่านขาว เสียงกรีดร้องอันเศร้าโศกของหู่จือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กน้อยผู้น่าสงสารอยากวิ่งหนีออกไป แต่จากประสบการณ์การต่อสู้ครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาของห่านขาว ทำให้มันรู้จักล้อมศัตรูเอาไว้หลายๆ ชั้น ทำให้หู่จือไม่สามารถหนีออกไปได้
ส่วนเป้าจือนั้นพ้นจากการรายล้อมของห่านขาว มันวิ่งไปหาฉินสือโอวอย่างสบายใจ มันคายไข่ห่านออกมา แต่ยังคงอ้าปากค้าง เนื่องจากคาบไข่มานาน ทำให้ไม่สามารถหุบปากได้
ฉินสือโอวรีบนวดปากให้เป้าจือเพื่อให้มันสามารถหุบปากได้ เพราะการอ้าปากค้างไว้นั้นทำให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย เมื่อจัดการกับเป้าจือแล้วเสร็จ ฉินสือโอวก็ต้องไปช่วยหู่จือด้วย
เขาผิวปากเพื่อต้องการเรียกนิมิตส์หรือบุช มาสักตัวเรื่องก็ง่ายแล้ว
แต่เจ้าสองตัวนั้นไม่รู้ว่าบินไปถึงไหนกันแล้ว ฉินสือโอวจึงจำต้องจัดการด้วยตนเองโดยการเตะฝูงห่านออกและดึงหู่จือออกมา
หลังจากช่วยหู่จือแล้ว ฉินสือโอวพาเป้าจือวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ฝูงห่านไล่ล่าอยู่ด้านหลังไม่ห่าง วิ่งตามไปเป็นระยะทางหลายไมล์ก่อนที่จะหยุด
ฉินสือโอวมองหน้าหู่จือและเป้าจือแล้วพูดเสียงหอบว่า “ฉัน ฉัน ปีก่อนฉันซื้อหม้อมาใบหนึ่ง! คืนวันนี้ คืนนี้ กินห่านตุ๋นกัน! แล้วก็ แล้วก็ไข่ห่านเฮงซวย ผัด ผัดมันกิน”
หู่จือและเป้าจือส่งเสียงร้องโฮ่งๆ พวกมันสนใจในการกินห่านต้ม เพราะมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน
เมื่อถูกห่านขาวก่อกวน ฉินสือโอวก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเดินเล่นอีกต่อไป เขาเดินกลับอย่างไม่มีความสุข เดิมทีเขาอยากเก็บไข่ห่านใบนั้น แต่เมื่อดูจากระยะไกลแล้ว มีห่านขาวนั่งอยู่บนไข่ห่าน
เอาเถอะ แกฟักไข่ไปเถอะ ฉันสู้แกไม่ได้แล้วคิดว่าฉันหลบหนีแกไม่ได้เหรอ? ฉินสือโอวถ่มน้ำลาย แล้วพาหู่จือและเป้าจือเดินอ้อมกลับบ้าน
เพิ่งนั่งลงในห้องนั่งเล่น ฮิวจ์คนน้องก็โทรเข้ามาพอดี และพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับว่า “ฉิน มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกนาย…”
“เกี่ยวกับเรื่องที่จะไปเผ่าซูในเทือกเขาร็อกกีใช่ไหม? ขอโทษ เพื่อน ดูเหมือนว่าปีนี้จะไปไม่ได้แล้วล่ะ ฉันสามารถเลื่อนออกไปได้ไหม? ไปในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงฤดูหนาวละกัน” ฉินสือโอวคิดว่าฮิวจ์คนน้องกำลังจะพูดถึงเรื่องที่จะไปเที่ยวเผ่าซู ก่อนหน้านี้เขาสัญญากับฮิวจ์แล้วว่าจะไปในเดือนมีนาคม
ฮิวจ์พูดว่า “ไม่ๆ ๆ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา พวกเขาก็กำลังชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าอยู่เหมือนกัน เรายังไม่ไปช่วงนี้ก็ดีเหมือนกัน เรื่องที่ฉันจะบอกคือ ฉิน หัวของนายเป็นสีเขียว…”
“ฟัค นายรู้ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไง?”
“อืม รู้ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ทางที่ดีในควรรีบเข้าเมือง ฉันคิดว่าหัวของนายกลายเป็นสีเขียวไปแล้ว”
เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นไปอย่างคึกคักเร่าร้อน แฮมเล็ตได้จ้างครูสอนภาษาจีนมาคนหนึ่ง และจัดการอบรมภาษาจีนแก่ชาวเมืองอย่างสม่ำเสมอ ช่วงนี้ฮิวจ์เองก็เข้าร่วมการอบรมเหมือนกัน แต่เขาเป็นคนไม่ค่อยตั้งใจเรียน เมื่อได้เรียนรู้วัฒนธรรมจีนหรือสำนวนจีนก็จะใช้ตามอำเภอใจ
ฉินสือโอวคิดว่าครั้งนี้ฮิวจ์น่าจะใช้คำผิดอีกเช่นเคย แต่คำว่า ‘หมวกสีเขียว’ ค่อนข้างน่ากลัว เขาจึงรีบขับรถเข้าไปในเมือง และตรงไปที่ร้านขายของชำเผ่าซู
ฮิวจ์คนน้องกำลังต่อรองราคากับนักท่องเที่ยวชาวจีนสองคนอยู่บนเคาน์เตอร์ ระหว่างสองฝ่ายมีงานฝีมือที่ทำจากเขาวัวกระทิง พวกเขาจับมันคนละข้าง ฮิวจ์กำลังพูดคุยด้วยอารมณ์ “ไม่แพงเลยแม้แต่น้อย เพื่อน ฉันมีใบเสร็จ พบคนรู้ใจดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย เราอยู่ห่างกันเป็นซีกโลกและได้มาพบเจอกันไม่เรียกว่าพรหมลิขิตหรอกเหรอ พรหมลิขิตสู้เงินห้าสิบหยวนไม่ได้เหรอ?”
“นายต้องการจะบอกว่าหากมีวาสนาต่อกันห่างกันพันลี้ยังพบกันใช่ไหม? นี่มันเกี่ยวข้องกับพบคนรู้ใจดื่มกันพันจอกยังว่าน้อยยังไง?” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างไร้ความปรานี
เมื่อเห็นฉินสือโอว ฮิวจ์วิ่งออกไปมองหาอะไรบางอย่าง และกลับมาด้วยสีหน้าผิดหวัง “นายไม่ได้ขับรถพอร์ช 918 มาเหรอ? ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ บนถนนไม่มีหิมะและน้ำฝน ทำไมไม่ขับมาล่ะ?”
หลังจากที่ฮิวจ์คนน้องปล่อยมือจากเขาวัวกระทิง นักท่องเที่ยวคนนั้นรีบคว้ามันไปและตะโกนว่า “750 หยวน เถ้าแก่ ถ้า 750 หยวนเราจะรับมันไป!”
“เอาเถอะเอาเถอะ ถือว่าพวกนายชนะ แต่ 750 หยวนไม่มีใบเสร็จให้”
“โอเค ตกลง นี่เงิน”
เมื่อนักท่องเที่ยวสองคนเดินออกไป ฮิวจ์คนน้องสะบัดธนบัตรใบใหญ่ต่อหน้าฉินสือโอวและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ดูสิ ความสามารถของฉันเป็นยังไงบ้าง? เขาวัวกระทิงนั้นฉันแลกมาด้วยน้ำมันมะกอกเพียงถังเดียว ฮ่าๆ แต่ขายได้ถึง 750 หยวน!”
“อื้ม นายมันเก่ง แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนี้หรอก เข้าประเด็นเถอะ นายบอกว่าฉันทำไมนะ? ใส่หมวกสีเขียวเฮงซวยนั่น นายรู้ความหมายของมันไหม?” ฉินสือโอวตบเคาน์เตอร์
ขณะนั้นเอง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพอดี เมื่อได้ยินเสียงของฉินสือโอว นักท่องเที่ยวคนนั้นมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นหัวเราะแล้วเดินจากไป
ฉินสือโอวรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาจับฮิวจ์แล้วพูดว่า “นายต้องหาคำอธิบายที่น่าพึงพอใจให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนนายไปให้ฉลามกิน!”
“ในฟาร์มปลาของนายมีฉลามไหม?”
“พูดมาก เข้าเรื่องเถอะ”
“โอเค โอเค ฉิน นายอย่าใจร้อนสิ นายต้องขอบคุณฉันสิถึงจะถูก ฉันเอง แลร์รี ฮิวจ์ที่เมื่อเห็นมีคนมาจีบวินนี่ก็รีบบอกนาย นายไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกเหรอ?” ฮิวจ์พูดอย่างเสียใจ
เมื่อฉินสือโอวได้ยินก็กลอกตาใส่เขา “เป็นครั้งแรกที่นายเห็นว่ามีคนมาจีบวินนี่เหรอ?”
“ไม่ แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นว่ามีคนซื้อออดี้ คิว 5 ให้วินนี่” ฮิวจ์คนน้องมองไปทางฉินสือโอวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ให้ตายเถอะ เศรษฐีคนไหนกันที่ยอมลงทุนมากมายอย่างนี้เพื่อให้ได้ผู้หญิงคนเดียว ออดี้ คิว 5 เป็นรถเอสยูวีอเนกประสงค์ระดับสูงในประเทศจีน แต่ในแคนาดานั้นถือว่าเป็นรถเกรดธรรมดา รุ่นทั่วไปราคาเพียง 60,000 ดอลลาร์แคนาดา
แต่คนที่ยอมลงทุน 60,000 ดอลลาร์แคนาดากับผู้หญิงนั้น เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเกาะแฟร์เวลแห่งนี้ ฉินสือโอวต้องระวังตัวแล้วล่ะ แม้จะมั่นใจในตัววินนี่มาก แต่เขาไม่มีความมั่นใจในฝั่งศัตรู
เขาโทรหาวินนี่ เมื่อได้ตำแหน่งที่ตั้งก็ขับรถตรงไปที่นั่นในทันที
……………………………………………………