ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 533 กำเริบเสิบสาน
เมื่อผู้คนได้ยินถึงชื่อฉลามเสือนั้นก็ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน นอกจากเหล่าเพชฌฆาตแห่งมหาสมุทรเช่นฉลามขาว ฉลามขาวยักษ์ พวกนี้แล้ว ฉลามที่ผู้คนกลัวกันมากที่สุดเห็นจะเป็นฉลามเสือนี่แหละ
ซึ่งอันที่จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจที่ผิดเล็กน้อย เพราะถึงแม้อยู่ภายใต้สภาวะหิวโหยหรือถูกยั่วยุจากเหยื่อขนาดไหน ฉลามเสือจะไม่โจมตีมนุษย์ ถึงแม้จะเข้ามาโจมตีแต่ก็จะไม่กินมนุษย์ เพราะพวกมันคิดว่าเนื้อมนุษย์นั้นมีกลิ่นเปรี้ยวไม่อร่อย
และนี่ก็คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้ค้นพบถึงผลสรุป ในช่วงศตวรรษที่ 20 หรือยุค 30 ออสเตรเลียอควาเรียมจับฉลามเสือตัวหนึ่งได้ หลังจากนั้นประมาณสองถึงสามวันอยู่ดีๆ ฉลามเสือตัวนี้ก็ขย้อนแขนหนึ่งข้างที่ปะปนไปด้วยเลือดออกมา
ตำรวจที่เข้ามาตรวจสอบคดี ก็พบว่าแขนนี้เป็นของครูฝึกมวยที่มีชื่อเสียงในออสเตรเลียคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว จากการขย้อนแขนออกมาของฉลามเสือ พวกตำรวจก็ตรวจเจอว่าแขนนี้โดนมีดคมตัดขาดไม่ใช่โดนฉลามเสือกัดขาด จากนั้นทำการค้นหาเบาะแสจนในที่สุดก็จับตัวฆาตกรได้
และการวิจัยอาหารการกินของฉลามเสือก็เริ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในอควาเรียมพบว่าที่ฉลามเสือตัวนี้ขย้อนแขนออกมา เป็นเพราะว่ามันไม่ชอบกิน เสือใหญ่ที่โลภมากถึงกับเมินเฉยได้ แสดงว่ารสชาติต้องไม่ถูกปากมันแน่…
อาหารที่ฉลามเสือชอบก็คือพวก ปลาทูน่า ปลากระโทง ปลาแอมเบอร์แจ๊ค และแน่นอนว่าปลาอีโต้มอญยักษ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลว
แต่ตลกร้าย ฉลามเสือที่ยังไม่ทันได้แม้แต่เข้าใกล้อาหารอันโอชา ก็โดนสะกดเอาไว้ซะก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ฉินสือโอวถึงได้เข้าใจว่าจะหาอะไรในมหาสมุทรไม่ควรหาแบบงมเข็มในมหาสมุทรแต่ควรใช้เหยื่อล่อเพื่อล่อพวกมันออกมาจะดีง่ายกว่า
จากนั้นฉินสือโอวก็พาฝูงฉลามเสือกลับไปยังเกาะโอชิมะ
โดยที่เขาได้ถ่ายเทพลังแห่งโพไซดอนให้แก่เหล่าฉลามเสือจากอีกที่หนึ่งเพื่อต้านคลื่นอินฟราโซนิค ทั้งยังให้พวกมันโผล่ครีบขึ้นมาเหนือผิวน้ำราวกับเรือดำน้ำลำหนึ่งที่กำลังแล่นไปข้างหน้าอย่างดุดัน
พอเข้าสู่น่านน้ำแห่งเกาะนิจิอิมะ เหล่าฉลามเสือก็ใช้หัวชนเข้าไปในตาข่ายของบ่อเพาะเลี้ยง
ตาข่ายพวกนี้มีลักษณะเป็นเชือกที่เหมือนกับเอานิ้วหัวแม่มือของผู้ใหญ่หนาๆ บางๆ มาร้อยต่อกัน ทั้งยังเอาไปแช่ในน้ำมันพิษจากต้นถงและตากให้แห้ง แล้วทาด้วยสีน้ำมันเคลือบเอาไว้อีกหนึ่งชั้น มันจึงมีความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ ถ้าเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินขนาดใหญ่ยาวสี่เมตรทั่วไปมาชนเข้ายังไงก็ชนไม่ทะลุ
ซึ่งแน่นอนว่า แม้แต่ฉลามเสือก็ชนไม่ทะลุ แต่พวกมันมีฟันที่แหลมคมมาก หลังจากที่เข้าไปล้อมไว้แล้วฉลามเสือยักษ์สิบตัวนั้น ทั้งก่อกวนทั้งฉีกทำลายภายในเวลาอันรวดเร็วก็ทำให้ตาข่ายผืนนั้นชำรุดได้ และปรากฏเป็นรูขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรกว่า
พอฉีกเปิดตาข่ายผืนนี้แล้ว ฝูงฉลามเสือก็มุ่งไปยังเกาะโทชิมะที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนทูน่าของเกาะนิจิอิมะที่อยู่ภายใต้การสะกดของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็พากันว่ายออกจากรูรั่วด้วยความลิงโลดลงสู่มหาสมุทร จากนั้นหลบลี้อยู่ในทะเลลึก
ส่วนที่เกาะโทชิมะก็พอดีกับมีชาวประมงขับเรือมาหว่านปลาแฮร์ริ่งลงในน้ำ พอมีคนเห็นครีบของฉลามเสือที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาก็ร้องตกใจเสียงหลง “ดูนี่เร็ว! นั่นคืออะไรน่ะ? ฉลามเสือ! มันคือฉลามเสือ! ทุกคน รีบเรียกเรือจับฉลามมาเร็ว…”
ต่อหน้าชาวประมงที่เฝ้าดูอยู่ ฝูงฉลามเสือก็ได้ฉีกตาข่ายทะลวงเข้ามาในฟาร์มปลา เพื่อไล่จับพวกปลาทูน่าและพยายามกินพวกมัน แน่นอนว่าพวกมันก็ยังได้ทำการไล่ปลาส่วนใหญ่ออกจากแหล่งเพาะเลี้ยงด้วยเช่นกัน
ชาวประมงที่กระทืบเท้าและด่ากระเจิงอยู่บนเรือ พวกฉลามเสือก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เพราะเนื้อของพวกเขามีกลิ่นเปรี้ยวไม่อร่อยแล้วล่ะก็ พวกมันก็คงจะชนพวกเขาจนล้มและจับกินพวกเขาให้หมดไปนานแล้ว!
เมื่อเรือจับฉลามได้รับข้อความก็รีบนำเรือออกจากท่าชิโมะดะในทันที ฉินสือโอวเลยต้องพาฝูงฉลามหนีไป ครั้งนี้เปิดไปได้สองแห่ง เหลืออีกห้าแห่งไว้คราวหน้าค่อยมาจัดการ ถ้าปล่อยปลาทูน่าออกมาหมดในครั้งเดียวเลยมันก็จะดูผิดปกติ
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจปลาทูน่าโดยการเพาะเลี้ยงเทียมเลย แต่ต่อมาเขาก็นึกถึงว่าพันธุ์ปลาพวกนี้ต้องเดินทางไกล โดยว่ายจากมหาสมุทรญี่ปุ่นสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แน่นอนว่าระหว่างทางต้องเผชิญกับความยากลำบาก และนักล่านับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน เช่นนั้นพาแค่ปลาพวกนี้ไปก็พอ คราวหน้ามาลุยใหม่ก็ยังไม่สาย
เมื่อเรือจับฉลามแล่นเข้ามาด้วยความฮึกเหิม บนผืนน้ำก็เหลือแต่กลุ่มชาวประมงที่งงเป็นไก่ตาแตก ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉลาม
แล้วปลาทูน่าล่ะ? อืม น่าจะยังอยู่นะ ใครจะไปรู้ล่ะ? อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถลงไปค้นหาได้ด้วย
หลับอย่างสบายบนแอร์บัส 380 พอตื่นขึ้นมาก็ถึงนิวยอร์กแล้ว พวกเขาต้องเปลี่ยนเครื่องกันที่นี่ หลังจากที่ฉินสือโอวกินข้าวมื้อหนึ่งที่แพงหูฉี่แต่รสชาติห่วยแตกของสนามบินเสร็จแล้ว ก็ขึ้นเครื่องสายการบินหนึ่งอีกครั้ง
นีลเซ็นก็บ่นพึมพำตลอดทั้งทาง “สนามบินบ้าเอ้ย มีแต่ไอ้พวกชั่วใจจืดใจดำ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ส่งพวกมันลงนรกกันนะ? ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสันอิตาเลียนจานหนึ่งตั้งแปดสิบดอลลาร์ พระเจ้า ทำไมไม่ไปปล้นธนาคารเอาวะ? ได้เงินเร็วกว่าอีกไม่ใช่รึไง?”
เบิร์ดที่นั่งอย่างสุขุมมาตลอดทั้งทางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ก๋วยเตี๋ยวนายรสชาติเป็นไงบ้างล่ะ? เนื้อรมควันกับข้าวผัดแกงเขียวหวานของฉันโคตรจะห่วยแตกเลย ครั้งล่าสุดที่ได้กินของห่วยแตกแบบนี้ก็น่าจะเป็นตอนที่ไปเป็นกองกำลังทหารประจำการในแบกแดดนู่น”
อีวิลสันที่ทำปากขมุบขมิบก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออก สามารถทำให้ถังข้าวอย่างอีวิลสันรู้สึกว่าของแบบนี้รสชาติไม่เอาไหน แสดงว่าอาหารที่สนามบินต้องแย่มาก!
“กลับไปทำกินกันเองดีกว่า ต้องจัดมื้อใหญ่กินก่อนซะแล้ว!”ฉินสือโอวโมโหเล็กๆ เพราะสองสามวันมานี้อาหารญี่ปุ่นก็ทำพวกเขาขยาดกันไปเท่าไร อาหารที่สนามบินวันนี้ที่เปรียบเสมือนความหวังสุดท้ายกลับทำพวกเขาอยากอ้วกแทน
พอบินมาถึงเซนต์จอห์น ตอนที่นั่งเรือแฟร์เวลที่ชาร์คขับกลับไปถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็รู้สึกทะแม่งๆ
อันดับแรกเลย เขาเห็นบนผิวน้ำทะเลของฟาร์มปลาทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เหมือนกับมีเรือเล็กๆ กำลังสร้างตาข่ายดักปลาอยู่ รองลงมาคือที่ฟาร์มปลาแกธเธอริง เรือวิศวกรรมสองลำที่มีความยาวมากกว่า 20 เมตรกำลังแผดเสียงคำรามและแล่นอยู่บนผิวทะเลอย่างทุลักทุเล
“คนอังกฤษนั่นคิดจะทำอะไรน่ะ?” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างสงสัย “นั่นคือเรืออะไร?”
ชาร์คเกาศีรษะแล้วตอบ “หลังจากเรื่องเมื่อครั้งออกทะเลรอบที่แล้ว พวกเราก็ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ฟาร์มปลาของไอ้บ้านั่นเลย ผมจึงไม่ค่อยแน่ชัดว่าเขากำลังทำอะไรน่ะครับ เรือวิศวกรรมนั่นเหมือนกับเรือดูดทรายเลย แต่ก้นทะเลมีทรายให้เหยียบที่ไหนกัน?”
ฉินสือโอวจึงถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปรอบๆ เรือวิศวกรรมสองลำนั้น
ดูจากบนผิวน้ำก็จะเหมือนไม่มีอะไร แต่พอมองจากใต้น้ำก็เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เรือวิศวกรรมสองลำนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรือดูดทรายธรรมดาๆ แต่เป็นเรือที่ผสมการทำงานของทั้งการดูดทรายและทุบหินโสโครก
และเรือทั้งสองลำห่างกันมากกว่าสองร้อยเมตร ตรงระหว่างกลางยังได้พาดตาข่ายตัดทรายหย่อนๆ หนึ่งแผ่นไว้อีกด้วย
ตาข่ายตัดทรายเป็นชื่อหนึ่งของตาข่าย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นตาข่ายที่ถอดออกมาจากด้านล่างของชุดเครื่องจักร ความหมายของ ‘ตัด’ ตัวนี้ก็คือบดละเอียด ส่วน ‘ทราย’ ตัวนี้ไม่ได้หมายถึงหินก้อนเล็กๆ แต่เป็นหินโสโครก ตาข่ายชนิดนี้จึงนำมาใช้ตัดและเซาะหินโสโครกใต้ทะเลโดยเฉพาะ!
ไม่แปลกเลยที่ชาร์คจะพูดว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะทั้งเซนต์จอห์นไม่มีชายหาดที่มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีเรือแบบนี้มาทำการชำระหินโสโครกใต้ทะเลโดยเฉพาะ
เรือแบบนี้ก็เหมือนกับที่ไถดิน โดยไถไปตามบริเวณชายฝั่งน้ำตื้น เพื่อทะลวงหินโสโครกที่โผล่ขึ้นมาจากก้นทะเล ซึ่งโดยปกติถ้าต้องการสร้างชายหาดที่มีคุณภาพถึงค่อยใช้ของแบบนี้
ด้านหน้าใช้เครื่องจักรทะลวงหินโสโครกในก้นทะเลจนแหลกละเอียด ด้านหลังยังมีเครื่องดูดทรายที่ผสมทั้งการดูดทรายและการสูบน้ำเข้าด้วยพอสูบขึ้นมาแล้วปล่อยลงสู่เรือขนส่งลำเล็ก
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ฉินสือโอวตะลึงในความหลักแหลมของคนอังกฤษ เจ้าคนคนนี้ฉลาดในการนำของไร้ค่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ หินทรายพวกนี้ยังสามารถขนไปสร้างคฤหาสน์บนฝั่งได้อีกด้วย ช่างเป็นความคิดที่อัจฉริยะจริงๆ
แต่เดี๋ยวนะ ใครให้สิทธิ์เขาในการไปทะลวงหินโสโครกพวกนั้น? เหมือนกับที่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านั้นว่า หินโสโครกนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนกระแสน้ำจากก้นทะเลไปสู่ผิวน้ำ นี่จึงเป็นขั้นตอนขั้นสมบูรณ์ของการพัดพวกแพลงตอนกับพวกปลาที่อยู่ก้นทะเลกับผิวน้ำไหลมารวมกัน ถ้าจะให้พูดก็ถือว่ามีผลกระทบต่อฟาร์มปลาเป็นอย่างมาก!
………………………………………