ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 549 ห้าล้าน?
ในเมื่อเต่ามะเฟืองกลับมาแล้ว ฤดูร้อนก็คงจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้วสินะ?
ฉินสือโอวครุ่นคิดอย่างมีความสุข เขาหมุนตัวหันมากอดวินนี่พลางลูบผิวอันเนียนนุ่มของเธอ ค่ำคืนอันสวยงามได้เริ่มขึ้นแล้ว
วันแรงงานแห่งชาติในวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคนนั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับประเทศแคนาดา
วันแรงงานแห่งชาติของแคนาดานั้นไม่ใช่วันที่ห้าเดือนพฤษภาคม แต่เป็นวันวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนของทุกปี วันแรงงานแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นวันนั้นเช่นเดียวกัน
หลังจากกลับมาจากการวิ่งในตอนเช้าฉินสือโอวก็เปิดโทรทัศน์ดูข่าวทันที เขาเรียนรู้มาจากวินนี่ว่า เขาต้องติดต่อกับโลกภายนอกผ่านข่าวพวกนี้ เพราะเขาไม่สามารถที่จะอยู่ในฟาร์มปลาเล็กๆ ของตัวเองไปได้จนแก่เฒ่า
เป็นถึงเจ้าของฟาร์มปลาแต่กลับไม่รู้จักรัฐมนตรีกรมการประมงของประเทศ ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองเสียใหม่ เขาอยู่ที่ฟาร์มปลามาแล้วหนึ่งปี เขาบอกกับตัวเขาเองว่าเขามีความสุขกับการใช้ชีวิตแล้ว แต่ในความจริงแล้วดูเหมือนว่าเขาจะปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอยู่เล็กน้อย
แต่ข่าวช่วงเช้านั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากนี้วันนี้ยังมีแต่ข่าวเกี่ยวกับวันแรงงานแห่งชาติอันน่าเบื่ออีกด้วย เดิมทีมีพนักงานหลายคนในโทรอนโตที่ออกมาเดินขบวนประท้วง เรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายกำหนดวันหยุดวันแรงงานในวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคม
ฉินสือโอวรู้สึกเรื่องนี้เป็นเรื่องวุ่นวายที่ยากจะเข้าใจได้ วันแรงงานจะหยุดวันไหนแล้วมันต่างกันอย่างไร ไม่ใช่วันคริสต์มาสเสียหน่อย
แต่เมื่อดูข่าวไปเรื่อยๆ เขาก็เข้าใจ ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศแคนาดานั้นเป็นผู้อพยพ เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในประเทศของตนนั้นวันแรงงานต่างเป็นวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมกันหมด เพราะวันแรงงานเป็นวันหยุดพักผ่อน พวกเขาจะได้ใช้โอกาสนี้ในการกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนญาติหรือไม่ก็ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ และญาติพี่น้อง
แต่ตอนนี้วันแรงงานของประเทศแคนาดานั้นไม่ใช่วันเดียวกันกับประเทศอื่นๆ เมื่อเพื่อนส่วนใหญ่และคนในครอบครัวไม่ได้หยุดในวันเดียวกัน ก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่สามารถนัดเจอกันได้
ประเทศแคนาดานั้นถือเป็นประเทศใหม่ เทศกาลต่างๆ นั้นกำหนดขึ้นมาทีหลังอย่างช้าๆ แต่ว่าวันแรงงานนั้นถูกกำหนดมาก่อนแล้ว โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1894 ซึ่งวันแรงงานนี้อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่เหล่าคนงานนั้นต่อสู้เพื่อที่จะได้มันมา
ช่วงต้นปี1872 คนงานที่โรงพิมพ์ในเมืองโทรอนโตพากันโดดงาน เพื่อที่จะหวังว่าจะได้ทำงานห้าสิบสี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในตอนนั้นตามคำสั่งของผู้ว่า การรวมกลุ่มเพื่อก่อตั้งองค์กรหรือสหภาพใดๆ ถือว่าผิดกฎหมาย สมาชิกที่อยู่ในสหภาพนั้นจะต้องถูกคุมขัง
เรื่องนี้สร้างความโมโหให้เหล่าแรงงานเป็นอย่างมาก คนงานราวหนึ่งหมื่นคนจึงพากันออกมาเดินขบวนประท้วง เพื่อที่จะบังคับให้จอห์น เอ. แม็กโดนัลด์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในตอนนั้นยกเลิกกฎหมายต่อต้านสหภาพแรงงานและบังคับให้ปล่อยตัวสมาชิกทั้งหมด
สงครามของผู้ใช้แรงงานนั้นยังไม่จบ พวกเขานัดหยุดงานครั้งใหญ่กันอีกเป็นครั้งที่สอง โดยเรียกร้องว่าหากผ่านไปแล้วเก้าชั่วโมง หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะไม่ปล่อยตัวนักโทษ เหล่าคนงานก็ยืนหยัดที่จะประท้วงต่อไป การประท้วงนี้ดำเนินไปอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็กลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นในทุกปี
เมื่อถึงปี 1849 นายกรัฐมนตรีของแคนาดาในปีนั้นคือจอห์น ทอมป์สัน เขาได้กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน เพราะว่าในวันนี้ของทุกๆ ปีจะเป็นวันที่คนงานต่างพากันออกมาจากเดินขบวนพาเหรด
เมื่อเข้าใจถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในวันแรงงานของแคนาดาและประเทศอื่นๆ แล้ว ฉินสือโอวก็ปิดโทรทัศน์ เขาเข้าใจประเทศแคนาดามากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์สำหรับเขา จนตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่ารัฐมนตรีกรมการประมงคนนั้นเป็นใครกันแน่
หากยึดตามวันเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ประมาณเดือนพฤษภาคมก็จะรู้ถึงจำนวนผลผลิตของฟาร์มปลา บัตเลอร์ก็จะบอกการตัดสินใจของเขา ถ้าหากว่าบัตเลอร์เต็มใจที่จะหาช่องทางทางธุรกิจให้เขา เช่นนั้นฉินสือโอวก็จะยอมให้เขาจัดการเรื่องผลผลิตของฟาร์มปลา ถ้าหากเจ้าไม่ยอมล่ะก็ เขาก็จะเริ่มขยายกิจการจากตลาดอาหารทะเลที่นครเซนต์จอห์นก่อน
ตอนเช้า ในขณะที่ฉินสือโอวกำลังดื่มน้ำผลไม้พลางดูข่าวของช่องเอ็นบีเออยู่นั้น หู่จือกับเป้าจือที่อยู่หน้าประตูก็เห่าออกมา
เขาคิดว่าบัตเลอร์มาหา แต่เมื่อมองไปที่ประตู กลับเห็นสองสามคนที่เขาไม่รู้จักยืนอยู่ บุคลิกของพวกเขานั้นดูดี ไม่เหมือนคนที่มาขายของตามบ้านพวกนั้น
ฉินสือโอวผิวปากหนึ่งที หู่จือและเป้าจือก็หยุดเห่าแล้ววิ่งมาอยู่ด้านหลังเขาทันที ฉินสือโอวถามคนเหล่านั้นด้วยท่าทีเป็นมิตรว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใครเหรอครับ?”
ชายวัยกลางคนผิวขาวที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ายื่นมือออกมาพลางถามออกมาเป็นมิตรว่า “สวัสดีครับ พวกเรามาจากประเทศดัตช์ พวกเราเป็นคนของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ” ฉินสือโอวยื่นมือไปจับมือของชายคนนั้น เขากำลังสงสัยว่าทำไมคนของพิพิธภัณฑ์ถึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง
แต่เพื่อเป็นการรักษามารยาท เขาได้เดินนำคนทั้งสี่เข้าไปในบ้าน แล้วเสิร์ฟกาแฟให้พวกเขา
ชายที่เป็นหัวหน้าแนะนำตัวว่า “ขออภัยเป็นอย่างสูงที่ต้องมารบกวนคุณ คุณฉิน ผมชื่อ แมนเดลา ยัง บัคเคอร์ ผู้อำนวยของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ คนพวกนี้เป็นพนักงานของเรา พวกเราตั้งใจที่จะมาเยี่ยมเยียนคุณ”
ฉินสือโอวรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแนะนำตัวกลับเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยถามว่าที่พวกเขามาหานั้นมีจุดประสงค์อะไร
บัคเคอร์ไม่ได้ตอบคำถามของฉินสือโอวทันที เขาเอ่ยชมฟาร์มปลาของฉินสือโอว ซึ่งนั้นทำให้ฉินสือโอวยฝืนยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หรือว่าคนของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะอยากจะถ่ายทอดพื้นที่ฟาร์มปลาของเขาลงบนภาพวาดสักผืนด้วยตัวเองกันนะ? อาจจะเป็นไปได้ หากวาดออกมาสวยเขาก็จะยอมจ่ายเงินซื้อภาพนั้นมา แล้วเอามาแขวนผนังคงจะดูดีไม่เบา
คนจากดัตช์พวกนั้นอยากจะเดินดูรอบๆ ฉินสือโอวก็ตามพวกเขาไป อีกอย่างที่นี่เป็นบ้านของเขา และเขาก็มีเวลาว่างมากมาย
จากฟาร์มปลามาจนถึงโรงยิม จากการพูดคุยถึงเรื่องอาหารการกินมาจนถึงเรื่องสัพเพเหระ ชาวดัตช์พวกนี้ไม่ยอมพูดเข้าประเด็นเสียที
ฉินสือโอวที่เดินตามด้านหลังเริ่มหมดความอดทน ในที่สุดบัคเคอร์ก็พูดประเด็นสำคัญขึ้นมา เขาถามออกมาว่า “คุณฉิน ไม่ทราบว่าคุณมีภาพวาดของแวนโก๊ะอยู่หรือไม่? ภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์น่ะครับ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัว เขานึกขึ้นมาได้ในทันทีว่า ก่อนหน้านี้เหมือนเบลคเคยพูดกับเขาเรื่องนี้เช่นกัน เขาบอกว่าทางพิพิธภัณฑ์จะส่งคนมาพูดคุยกับเขา โดยหวังว่าพวกเราจะสามารถบริจาคภาพวาดให้แก่พิพิธภัณฑ์ได้ และยังพูดถึงเรื่องส่งคืนเจ้าของเดิมอะไรนั่นอีกด้วย
ตอนนั้นฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อเห็นเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้า เขาก็นึกออกทันที เขาถามออกมาตามสัญชาตญาณทันทีว่า “ผมมีภาพวาดนั้นจริงๆ แต่พวกคุณคงไม่ได้จะมาพูดโน้มน้าวให้ผมบริจาคภาพนั้นให้แก่พวกคุณหรอกใช่ไหม?”
บัคเคอร์ยิ้มออกมา “ไม่ครับ จะเป็นไปได้อย่างไร? ตอนนี้ภาพวาดนั้นเป็นของคุณ พวกเราจะขอให้คุณบริจาคภาพนั้นแก่พวกเราฟรีๆ ได้อย่างไรกัน? อันที่จริงแล้ว พวกเราอยากจะซื้อภาพวาดนั้นครับ เรื่องราคาสามารถตกลงกันได้”
ฉินสือโอวมีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง คนพวกนี้มาซื้อภาพวาดอย่างนั้นสินะ แต่ว่าเขาตกลงที่จะขายภาพนั้นให้แก่อาฟิฟแล้ว อีกทั้งยังพูดคุยตกลงกันไปถึงขั้นตอนการจ่ายเงินแล้วด้วย ดูเหมือนว่าหากเอาภาพวาดกลับคืนมาคงจะดูไม่ดีเท่าไรหรือเปล่านะ?
เมื่อฉินสือโอวไม่พูดอะไร บัคเคอร์ก็คิดว่าเขาคงรอให้ตนเสนอราคาก่อน เขาจึงพูดออกมาว่า “คุณฉิน ไม่ทราบว่าคุณสามารถเสนอราคาให้พวกเราก่อนได้หรือไม่? หากไม่มีปัญหาอะไร พวกเราจะขอนำภาพนั้นกลับไปวันนี้”
ฉินสือโอวถามออกไปเพียงว่า “ไม่ทราบว่าพวกคุณคิดจะซื้อในราคาเท่าไรเหรอครับ?”
บัคเคอร์ตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “พิพิธภัณฑ์ของเรานั้นจัดตั้งเพื่อการกุศล ดังนั้นผลกำไรจึงไม่ค่อยดีมากนัก เงินทุนก็ไม่ได้มีมากมาย… คุณคิดว่าเงินห้าล้านดอลลาร์แคนาดานั้นเพียงพอไหมครับ?”
ฉินสือโอวมองไปยังชายคนนั้นอย่างตกตะลึง แล้วถามกลับว่า “คุณว่าเท่าไรนะครับ? ห้าล้าน? ดอลลาร์แคนาดางั้นเหรอ?”
บัคเคอร์ยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ใช่ครับ นี่เป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดที่เราจะสามารถจ่ายให้ได้ ผมรู้จำนวนของมันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่ผมหวังว่าคุณจะสามารถช่วยสนับสนุนงานการกุศลของพวกเรา โดยการส่งภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์กลับบ้าน ให้คนอีกมากมายได้เห็นถึงผลงานอันสร้างสรรค์อันน่ามหัศจรรย์ของแวนโก๊ะ”
ฉินสือโอวนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมเป็นคนธรรมดา แล้วคุณกับผมทำงานการกุศลตั้งแต่เมื่อไรกัน? หากให้ทำงานการกุศลจริงๆ ผมก็ทำได้ เงินบริจาคนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ภาพวาดน้ำมันที่มีค่าถึงห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐผืนนี้ คุณจะให้ผมให้คุณในราคาห้าล้านดอลลาร์แคนาดางั้นหรือ นี่คุณจะดูถูกผมเกินไปหรือเปล่า?
ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าตอนคุยกับเบลคนั้นค่อนข้างอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ เขายอมให้คนพวกนี้ไม่บอกราคาออกมาเสียยังดีกว่า หากบอกมาตรงๆ ว่าอยากให้เขาบริจาคภาพวาดนี้ให้ยังจะรู้สึกดีมากกว่านี้เสียอีก ราคาที่เขาเสนอมานี้ ไม่ว่าจะความรู้สึกหรือกำไรก็ไม่มีทั้งนั้น…
…………………………………………………..