ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 565 แข่งรถ
นิทรรศการนี้ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่งเท่านั้นซึ่งจะจบการแสดงงานศิลปะลงในช่วงเที่ยงวัน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะออกไปทานอาหารและงานศิลปะจะถูกจัดเก็บไว้ที่ด้านหลังของเวที เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นประมูล
ฉินสือโอวลากบิลลี่มากระซิบถาม “ฉันว่านายมีความกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ นะ ที่ปลอมแปลงสร้อยประคำของขุนนางระดับมหาเสนาบดี? หรือว่านี่ไม่มีใครเห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างในสร้อยใช่ไหม?”
บิลลี่หัวเราะเสียงดังขึ้น “ใครปลอมแปลงกัน? ฉิน นายเข้าใจผิดกี่ครั้งแล้วล่ะ ครั้งแรก สร้อยประคำหินปะการังแดงนายก็นำเอาของสมัยราชวงศ์ชิงระดับมหาเสนาบดีรวมเข้ากับระดับเสนาบดีเป็นเส้นเดียวกัน ไม่แน่ใจว่าเจ้าของเดิมของสร้อยประคำเส้นนี้ยังคงเป็นหลี่หงจางและเจิงกั๋วฟานไหม ส่วนครั้งที่สอง สร้อยประคำพวงนี้ตอนนี้ไม่ใช่แค่ของปลอม นายต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย”
“หมายความว่าไง” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย
“ไข่มุกเม็ดตรงกลางมันเป็นของจริง ฉันซื้อมันมาจากมือนักสะสมชาวจีนโบราณในซานฟรานซิสโกด้วยความยากลำบาก จริงๆ แล้วมันคือสร้อยประคำที่เจี่ยงหลินเจ้าใช้ แต่น่าเสียดายมันมีแค่หนึ่งเม็ดเท่านั้น ฉันเลยใช้ไข่มุกเม็ดนี้แอบร้อยเข้าไปในสร้อยประคำพวงนี้ ดังนั้นสร้อยประคำทั้งพวงนี้ก็เป็นของจริง ที่ประเทศจีนของนายเขาเรียกว่าอะไรนะ? ตาปลาปลอมปนไข่มุก¹เหรอ?” บิลลี่ถาม
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ ที่ประเทศของฉันเรียกมันว่าต้มตุ๋น นักต้มตุ๋น!”
ต้องยอมรับเลยว่าบิลลี่คนนี้ฉลาดจริงๆ ครั้งนี้เขาหลอกได้สำเร็จ เดิมสร้อยประคำหินปะการังแดงมีมูลค่ามากถึง 3.5 ล้านดอลล่าร์แคนาดา แล้วถ้ายิ่งมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียง มูลค่าก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทันที
บ่ายโมงตรง การประมูลได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นักประมูลที่มีประสบการณ์ท่านหนึ่งทำการส่งเสียงประมูลสินค้าล็อตแรกออกไป ฉินสือโอวไม่ได้สนใจกับของเหล่านี้เท่าไรจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูข่าว
มีข่าวเกี่ยวกับเขาในอุตสาหกรรมการประมงจำนวนมาก นอกจากข่าวเรือไดโตะโชวะมารุถูกปรับเงินและข่าวเจ้าของฟาร์มปลาแกธเธอริงวางยาและถูกลงโทษในฟาร์มแล้ว ยังมีอีกข่าวหนึ่งคืออุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงปลาทูน่าของประเทศญี่ปุ่นประกาศล้มละลายเพราะปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เพาะเลี้ยงมานานหลายปีได้หายไปหมด…
หลังจากที่ได้ทราบข่าวนี้ ราคาของปลาทูน่าครีบน้ำเงินในร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
บิลลี่ชนเข้ากับฉินสือโอวโดยบังเอิญ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าสร้อยประคำหินปะการังแดงเส้นนั้นของตนวางอยู่บนเวทีประมูลแล้ว
หลังจากนักประมูลแนะนำความเป็นมาและลักษณะพิเศษของสร้อยประคำเส้นนี้แล้วจึงประกาศราคาเริ่มต้นการประมูล “ราคาเริ่มต้นประมูลที่ 1.5 ล้านและทุกครั้งที่เสนอราคาจะต้องไม่น้อยกว่า 50,000 เชิญทุกท่านเสนอราคา… “
ตอนนี้ชาวจีนกำลังกลายเป็นตัวหลักของตลาดผู้บริโภคงานศิลปะ ชายผิวเหลืองหลายคนเริ่มเสนอราคาประมูลขึ้นทันที ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 1.5 ล้านเป็น 1.85 ล้าน การเสนอราคาประมูลผ่านไปไม่กี่รอบ ระหว่างนั้นนักธุรกิจเศรษฐีชาวรัสเซียที่เข้าร่วมก็ตะโกนเสนอราคาขึ้นเป็น 2 ล้าน
ฉินสือโอวหันไปพยักหน้ากับบิลลี่ นับว่าหมอนี่ได้สร้างผลงานความดีความชอบในครั้งนี้
ชายเชื้อสายจีนคนหนึ่งยกมือแล้วตะโกนขึ้น ‘2.05 ล้าน ’ นักธุรกิจเศรษฐีชาวรัสเซียก็ตะโกนเสนอราคาขึ้นอีก ‘2.1 ล้าน’ สุดท้ายมีชายเชื้อสายจีนอีกคนหนึ่งสู้ราคาและในที่สุดก็ตั้งราคาซื้อขายไว้ที่ ‘2. 25 ล้าน ’
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเงินของคนร่ำรวยบางครั้งมันก็ทำเงินได้ดี จึงเรียกว่ากรรมตามสนอง ทำอะไรต้องได้รับผลเช่นนั้น นายทุนเหล่านี้เคยเอาเปรียบคนงานและตอนนี้คนงานของเขาก็โกงเงินจากเหล่านายทุนคืน
เมื่อสร้อยถูกประมูลออกฉินสือโอวก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาใช้โอกาสในช่วงเวลาพักเดินออกจากงาน ในขณะที่กำลังเดินออกไปนั้น เขาก็เห็นชาวรัสเซียที่ประมูลสร้อยประคำคนนั้นมาหาบิลลี่และถามว่า “คุณคือบิลลี่ สเต็มเมอร์ใช่ไหม? ผมขอถามหน่อยครับว่าคุณเอาสร้อยประคำของผู้ว่าเจี่ยงมาจากไหน?”
ฉินสือโอวคิดว่าสร้อยประคำนี้ต้องมีความลับอะไรแน่ๆ เขาจึงหยุดอยู่ฟัง
เป็นผลให้ชาวรัสเซียกล่าวต่อว่าครอบครัวของเขามีที่มาบางอย่างกับผู้ว่าเจี่ยงท่านนี้ ตอนนั้นบรรพบุรุษของเขาถูกซาร์²รัสเซียข่มเหงและเร่ร่อนเข้าอาศัยอยู่ในราชวงศ์ชิง ผู้ว่าเจี่ยงวีรบุรุษผู้มีสายตาแหลมคมท่านนี้เป็นคนรับเขาเข้าไว้ในกองทัพทหาร ทำให้เขากลายเป็นทหารแมนจูที่หาได้ยากของกองทัพทหารราชวงศ์ชิงในเวลานั้น
ต่อมาผู้ว่าเจี่ยงได้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยและบรรพบุรุษคนรัสเซียก็กลับไปที่ไซบีเรีย ในบันทึกของเขามีการบันทึกสร้อยประคำชุดนี้อย่างรายละเอียด โดยบอกว่าสร้อยประคำนี้เป็นสิ่งที่เขาปรารถนา ชาวรัสเซียทำสิ่งนี้เพื่อตอบสนองปณิธานก่อนตายที่ยังไม่บรรลุผลของบรรพบุรุษ
หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ แต่ชาวรัสเซียคนนี้ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ สิ่งที่บรรพบุรุษของเขาปรารถนาคือสถานะที่เป็นตัวแทนของสร้อยประคำนี้ต่างหาก จากมหาเสนาบดี มาเป็นผู้บัญชาการทหารราบเก้าประตูเมือง แล้วก็มาเป็นขุนนางคนสำคัญของราชวงศ์ชิง ไม่ใช่ไข่มุกชุดเดียวหรอก
ในช่วงเย็น บิลลี่และเบลคมาหาฉินสือโอวแล้วลากเขาไปร่วมงานแข่งรถมิดไนท์ แดร็ก เรซซิ่ง
เมื่อตอนกลางวันเบลคใส่ชุดสูทสไตล์ตะวันตกพร้อมกับรองเท้าหนังมันวาว แต่ตอนนี้เขากลับแต่งตัวเป็นนักเลง ผมของเขาก็ใช้เจลเซตให้มันตั้งขึ้นอย่างกับคบเพลิง เขาสวมเสื้อหนังรัดรูปแล้วใส่สร้อยคอโซ่ มือของเขายังสวมถุงมือยางอีก ท่าทางเขาอย่างกับคนอวดดี
เบลคขับรถพอร์ชของเขามาเช่นเดียวกับฉินสือโอว ซูเปอร์คาร์สองคันที่มีรูปทรงและโมเดลเดียวกันและยังมีความเร็วที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาจากผู้คนที่เพลิดเพลินในโรงแรม ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างพอใจ “แม้ว่าต่อไปเราจะโดนดูถูก แต่ตอนนี้มีคนอิจฉาอยู่ก็ไม่เลวนะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา เบลคถามกลับด้วยความแปลกใจ “ทำไมพวกเราต้องโดนดูถูกด้วย?”
“ดูสิ เรากำลังขับรถพอร์ชนะ รถสปอร์ตที่ดูดีแบบนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เหล่านักแต่งรถมักจะดูถูกไม่ใช่เหรอ? ฉันดูหนังมา ในสนามแข่งล้วนมีแต่รถแข่งโหดๆ ของพวกนักแต่งรถทั้งนั้น” ฉินสือโอวว่า
เบลคกับบิลลี่มองเขาอย่างตกตะลึงแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้น
บิลลี่หลุดขำออกมา “นี่นายล้อเล่นหรือเปล่า? นี่คือพอร์ชนะ แม้ว่าจะไม่ใช่รถสปอร์ตชั้นนำ แต่ก็จัดว่าเป็นรถที่อยู่อันดับสูงสุด! นายว่าใครจะดูถูกรถแบบนี้? พวกนักแต่งรถเหรอ? ให้พวกเขาไปกินอึหมาเถอะ! หรือว่าวิศวกรค่าตัวแพงที่ถูกเชิญมาทำงานที่บริษัทรถพอร์ชจะสู้พวกเด็กที่ยังไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้? ล้อเล่นอะไรเนี่ย!”
เบลคตบไหล่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “นี่เพื่อน นายถูกหนังหลอกเข้าแล้วล่ะ นักแต่งรถที่ไหนจะมีฝีมือมากขนาดนั้น? ถึงต่อให้มี นายจะเอารถพอร์ชส่งให้พวกเขา พวกเขาก็ทำได้แค่เปลี่ยนท่อไอเสียกับพวงมาลัยให้แค่นั้นแหละ ถ้าจะให้เปลี่ยนอย่างอื่นเกรงว่าพวกเขาคงจะทำไม่เป็นหรอก!”
หลังจากนั้นรถพอร์ชทั้งสองคันขับตามกันไปที่เกรย์เบลล์ในเขตชานเมืองของออตตาวาที่มีสนามแข่งรถมิดไนท์ แดร็ก เรซซิ่งอยู่ที่นั่น
เกรย์เบลล์ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สร้อยคอมรกตแห่งเมืองหลวง’ เป็นพื้นที่สีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในออตตาวา ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือของเมือง ครอบคลุมพื้นที่ 18,000 เฮกตาร์และมียาวอย่างไม่ขาดสาย 45 กิโลเมตร มีถนนที่พื้นผิวเรียบและมีทางคดเคี้ยวไปมาเยอะ เหมาะแก่การใช้แข่งรถ
ผู้คนไม่กี่พันที่กำลังดูการแข่งรถผ่านจอภาพยนตร์อย่างสนุกสนาน ความจริงไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น ฉินสือโอวขับรถไปถึงชานเมืองและพบว่ามีรถจำนวนมากในสนามแข่ง มีรถสปอร์ตแค่ 60-70 คัน ส่วนใหญ่จะเป็นรถจำพวกรถเก๋งดัดแปลงธรรมดาๆ รถอเนกประสงค์ และรถออฟโรด
แต่สาวสวยที่นี่ก็มีไม่น้อยเลย นี่เพิ่งอยู่ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมเหล่าหญิงสาวทำไมถึงสวมกระโปรงสั้นเสื้อเอวลอยแล้ว แถมยังมีผู้หญิงบางคนสวมชุดชั้นในคล้ายบิกินี่โชว์ผิวเรียบเนียนและหุ่นผอมเพรียวออกมาให้เห็นอีก
รถพอร์ชทั้งสองคันขับเข้ามา ทันใดนั้นเสียงร้องตะโกนและเสียงปรบมือดังขึ้น ฉินสือโอวยังคิดว่าตัวเองจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่จำเป็นแล้ว
…………………………………………